เพลง Angrezi mein kehte hain I love you
ในภาษาอังกฤษพูดว่า I love you. เป็นเพลงที่มีศัพท์ภาษาเบงกาลีอยู๋ในเนื้อร้องด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับหัวข้อในวันนี้ที่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับบังกลาเทศ
เพลง Angrezi mein kehte hain I love you
ในภาษาอังกฤษพูดว่า I love you. เป็นเพลงที่มีศัพท์ภาษาเบงกาลีอยู๋ในเนื้อร้องด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับหัวข้อในวันนี้ที่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับบังกลาเทศ
เรื่องมีอยู่ว่าเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอินเดีย นายนเรนทระ โมดี ได้ประกาศให้วันที่ 6 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันที่เรียกว่า "ไมตรีทิวัส" (วันแห่งมิตรภาพ) เนื่องจากวันนี้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว อินเดียเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เข้าไปรับรองประเทศใหม่ชื่อว่า บังกลาเทศ ซึ่งมีกระบวนการต่าง ๆ เช่น การยื่นเอกสาร การสถาปนาสถานเอกอัครราชทูต เป็นต้น
[วันที่ 3 ธันวาคม สถานเอกอัครราชทูตอินเดียและสถานเอกอัครราชทูตบังกลาเทศประจำประเทศไทยได้จัดงานเสวนาหัวข้อเดียวกัน ดังมีเนื้อความต่อไปนี้]
คำว่า Maitri Divas ตรงกับภาษาไทยว่า ไมตรีทิวัส
คำว่า "ไมตรี" เป็นคำที่ทั้งสามภาษาคือ ฮินดี เบงกาลี และไทยมีร่วมกัน จึงสามารถเข้าใจได้ตรงกันโดยไม่ต้องแปลผ่านภาษาอังกฤษ เพราะในใช้ในภาษาไทยอยู่แล้ว มีความหมายถึงมิตรภาพ ความเอื้อเฟื้อ ความเห็นอกเห็นใจ
คำว่า "ทิวัส" (เบงกาลีออกเสียง ดิโบช) ตรงกับภาษาไทยว่า ทิวา ที่แปลว่าวัน (รากศัพท์มาจาก div = แสงสว่าง หมายถึงช่วงที่มีแสงสว่าง) หนึ่งในผู้เสวนา คือ ผศ. จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์ ได้เล่าให้ฟังด้วยว่าเรามีคำอื่นที่เกี่ยวข้องกับคำนี้อีก เช่น ทุติยทิวัส (วันพรุ่งนี้) ตติยทิวัส (วันมะรืนนี้) เป็นต้น ดังนั้น “ไมตรีทิวัส” จึงแปลง่าย ๆ ได้ว่า วันแห่งมิตรภาพ นั่นเอง
ก่อนหน้านี้บังกลาเทศเคยเป็นปากีสถานตะวันออก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานตะวันออกกับตะวันตกไม่ค่อยดีนัก เพราะฝั่งปากีสถานตะวันตกกดขี่ฝั่งตะวันออกอย่างมาก จนฝั่งตะวันออกต้องขอความช่วยเหลือจากอินเดีย และประกาศเอกราชเป็นบังกลาเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อ ค.ศ. 1971 หรือเมื่อ 50 ปีก่อนพอดี
เอกอัครราชทูตบังกลาเทศกล่าวว่า สิ่งที่ภาคภูมิใจในความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับบังกลาเทศคือ ทั้งสองประเทศสู้มาด้วยกัน และเหตุการณ์ในปี 1971 ก็ได้ทำให้ทั้งสองประเทศมีมิตรภาพอันแข็งแกร่งเหนียวแน่น ดังที่ท่านทูตใช้คำว่า "cemented" คือราวกับยึดเกาะกันด้วยปูนซีเมนต์เลยก็ว่าได้
ทั้งสองประเทศสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ สังเกตได้จากตัวอย่างเช่น กลไกเชิงสถาบันที่ทำงานเชิงทวิภาคีระหว่างทั้งสอง มีมากกว่า 50 องค์กร ซึ่งหมายถึงต้องมีประเด็นความสัมพันธ์อยู่มากมาย และครอบคลุมในหัวข้อเช่น ความมั่นคง การค้าและพาณิชย์ พลังงาน การขนส่ง ความเชื่อมโยง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือแม้แต่ด้านพรมแดน เพราะบังกลาเทศกับอินเดียมีชายทะเลร่วมกันถึงประมาณ 750 กิโลเมตร และพรมแดนทางบกถึงกว่า 4,000 กิโลเมตร หน่วยงานเหล่านี้จึงต้องทำงานด้วยกันเพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
ตัวอย่างเช่น กลาโหมทั้งสองฝ่ายมีการร่วมซ้อมรบทั้งทางบกและทางทะเล และนอกจากนี้ยังมีการบริหารจัดการเกี่ยวกับเรื่องพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่น้ำที่ร่วมกันระหว่างอินเดียกับบังกลาเทศมีอยู่ทั้งหมดถึง 54 สาย และในด้านของเศรษฐกิจ ทั้งคู่เป็นคู่ค้าสำคัญต่อกันอย่างยิ่ง ช่วงก่อนโควิดบังกลาเทศส่งสินค้าออกไปยังอินเดียถึง 9.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้าประมาณ 1.22 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ประเด็นอื่น ๆ นอกจากนี้ก็มีเช่น ความเชื่อมต่อทางรถไฟ ความตกลงเกี่ยวกับการคมนาคมทางน้ำ ซึ่งจะต้องใช้เรือในการค้าขาย ประเด็นเกี่ยวข้องกับอนุภูมิภาค เช่น BBIN (บังกลาเทศ-ภูฏาน-อินเดีย-เนปาล) และการลงคะแนนเสียงสนับสนุนอินเดียในการประชุมสหประชาชาติ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการทำดวงตราไปรษณียากรที่ระลึก (Commemorative Postage Stamp) และการแต่งตั้งอาจารย์ที่มีตำแหน่งอุทิศให้ชื่อบุคคลสำคัญ และยังมีการทำภาพยนตร์อุทิศให้บิดาผู้สร้างชาติของบังกลาเทศคือ ชีค มูจิบูร์ เราะห์มาน (Sheikh Mujibur Rahman) บิดาของผู้นำคนปัจจุบัน ชีค ฮาสินา (Sheikh Hasina) และยังมีประเด็นอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่สามารถกล่าวให้หมดในเวลาอันจำกัดได้
คำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวไทยคือ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างอินเดียและบังกลาเทศ จะมีผลดีต่อไทยและต่อภูมิภาคบิมสเทคอย่างไร
บิมสเทค คือความร่วมมือระหว่างประเทศในอ่าวเบงกอล
ประเทศสมาชิกคือ ไทย พม่า ภูฏาน เนปาล บังกลาเทศ อินเดีย และศรีลังกา มีสำนักเลขาธิการอยู่ที่กรุงธากา ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกและอีกไม่กี่วันข้างหน้ากำลังจะรับตำแหน่งประธานของบิมสเทคต่อจากศรีลังกา
นัยสำคัญที่มีต่อบิมสเทคคือทิศทางของอินเดียย่อมจะมีผลต่อบังกลาเทศในระดับหนึ่ง
หากอินเดียดำเนินการอย่างไร บังกลาเทศก็มีแนวโน้มที่จะคล้อยตามด้วย แม้จะไม่ทุกเรื่อง แต่เรื่องที่ชัดเจนมากก็คือเรื่องการต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งบังกลาเทศใช้คำว่า Zero Tolerance หมายถึงจะไม่ยอมอ่อนข้อให้การก่อการร้ายเลยแม้แต่เพียงนิดเดียวก็ตาม ซึ่งอินเดียก็เห็นด้วย เพราะอินเดียเองก็ประสบภัยคุกคามหนักด้านการก่อการร้ายเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ด้านการค้าก็เป็นที่คาดการณ์ว่าจะไม่จำกัดระหว่างเพียงสองประเทศ แต่จะต้องขยายไปถึงประเทศอื่น ๆ ในฝั่งอาเซียนด้วย
ทั้งนี้เมื่อมองไปถึงความร่วมมือภายในภูมิภาคของอินเดียเองที่ชื่อว่า SAARC ก็ขับเคลื่อนได้ยาก
เพราะเหตุความขัดแย้งระหว่างปากีสถานกับอินเดีย ก่อนหน้านี้อินเดียเคยพยายามเสนอ Motor Vehicle Agreement แต่ปากีสถานก็ตีตกไป อินเดียจึงเริ่มถอยห่างเพราะตระหนักว่ายากที่จะพัฒนาต่อได้ ล่าสุดมีความพยายามเกี่ยวกับประเด็นโควิดในการประชุมออนไลน์ ประเทศเดียวที่ผู้นำสูงสุดไม่เข้าร่วมก็คือประเทศปากีสถาน
ในส่วนของบิมสเทค ณ ขณะนี้ข้อตกลงหลายเรื่องได้จบลงแล้ว
แต่บางเรื่องยังไม่จบ เช่นเรื่องต้นตอกำเนิดของสินค้า ถ้าข้อตกลงนี้เป็นที่ยุติได้เมื่อไรย่อมหมายความว่าประเทศไทยสามารถขยายตลาดได้อีกมาก
แต่อย่าลืมว่าบิมสเทคไม่ใช่เรื่องของการค้าอย่างเดียว ดังที่ อ. จิรยุทธ์ได้พูดในช่วงท้ายด้วยว่า เวลาอินเดียช่วยเหลือบังกลาเทศ เป็นมากกว่าความช่วยเหลือ มิใช่เพียงเรื่องการทูตอย่างเดียวเท่านั้น เช่น การฝึกอบรมนักวิทยาศาสตร์ การขยายฐานการผลิตวัคซีน ฯลฯ จึงชวนให้เราคิดว่า อย่าไปหลงอยู่แต่เฉพาะประเด็นเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ควรทำให้บิมสเทคมีความเอื้อเฟื้อต่อกันและกัน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันหลายอย่าง เช่นเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
นอกจากนี้ อ.จิรยุทธ์ได้กล่าวถึงอาหารบางอย่างที่ไทยได้รับอิทธิพลมาจากอ่าวเบงกอล เช่น ขนมตาล ซึ่งคล้ายกับตาลปิฐา (Tal Pitha) ของเบงกอล แม้แต่ขนมโตเกียวเองก็เหมือนกับปิฐาชนิดหนึ่ง ที่สำคัญคือข้าวหมกหรือบิรยานี แม้ว่าจะมีหลายสูตร แต่ที่บริโภคในไทยก็มักจะเป็นสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากเบงกอล งานศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลที่เข้าสู่ไทยจากทางด้านอ่าวเบงกอลนั้นยังมีน้อย ยังคงต้องมีการศึกษากันต่อไปอีกมาก
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย