110 ปี คีตาญชลีของรพินทรนาถ ฐากูร
2,675 views
0
0
"ตอนที่ 2"

เพลง Jana Gana Mana
เพลงชาติอินเดียประพันธ์โดย รพินทรนาถ ฐากูร เวอร์ชั่นนี้จัดทำโดย A.R. Rahman นักร้องแต่ละคนก็ปรมาจารย์ทั้งนั้น
.
สัปดาห์ก่อน เราได้พูดถึงประวัติของรพินทรนาถ ฐากูร และพูดคุยเรื่อง คีตาญชลี แบ่งออกเป็นบท ๆ ซึ่งจบที่บทกวีที่ 2 บุคคลที่เราเชิญมาพูดคุยกับเราคือ อ.กิตติพงศ์ บุญเกิด อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาฮินดีและวัฒนธรรมอินเดีย อาจารย์กิตติพงศ์เป็นผู้นำเสนอในงานที่คณะอักษรศาสตร์จัดเรื่องเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

คีตาญชลี | ภาพ: https://www.republicworld.com/
คีตาญชลี บทกวีที่ 7, 12 และ 29

แสดงถึงการสลัดทิ้งความถือตัวถือตน หรืออัสมิมานะ อันเป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า

บทกวีที่ 7
“...เครื่องประดับทั้งหลายล้วนเป็นอุปสรรคในการพบปะระหว่างข้าน้อยกับฝ่าพระบาท สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเครื่องกีดขวางกางกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสอง เสียงเครื่องอาภรณ์ดั่งกล่าวกระทบกัน จะกลบเสียงและสกัดกั้นมิให้ข้าน้อยได้ฟังพระวาจาอันแผ่วกระซิบของพระองค์ได้ ณ เบื้องพระพักตร์ของฝ่าพระบาท ความหยิ่งผยองแห่งกวีศักดิ์ของข้าน้อยต้องสูญสลายลงในท่ามกลางความอับอาย...”

บทกวีที่ 12
“...นัยน์ตาของข้าน้อยนี้หลงเหม่อมองไปไกลก่อนที่จะพลันปิดหับหลังลง แล้วพบว่า “พระองค์อยู่ที่นี่เอง”

คำปริศนาและอุทานที่ว่า “พระองค์อยู่ที่ไหน” ได้ละลายเป็นอัสสุชลสุดคณนานับ และแล้วก็หลั่งไหลเป็นอุทกภัยท่วมท้นพลโลกด้วยอัสมิมานะว่า “เราเอง”

บทกวีที่ 29
“...ข้ารู้สึกภาคภูมิใจในกำแพงอันมหึมานี้ ข้าพยายามพอกพูนความหนาแน่นของกำแพงไว้ด้วยฝุ่นและทรายอยู่เสมอ เกรงเกลือกว่าจะเกิดรูรั่วปล่อยให้แสงสว่างจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาได้ ผลตอบแทนที่ข้าน้อยได้รับจากการที่ไปหมกมุ่นอยู่กับการสร้างกำแพงนี้ก็คือ ข้าน้อยมองไม่เห็นตัวจริงของข้าน้อยเอง ฯ”
น่าพิจารณาว่า แนวคิดในบทกวี 3 บทนี้คล้ายคลึงกับ โดฮา หรือกวีสุภาษิตของกบีรทาส กวีนักบุญในศตวรรษที่ 15 ว่า “เมื่อมีฉันก็ไร้พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้มีพระผู้เป็นเจ้าจึงไร้ฉัน ความมืดมิดสิ้นไปทั้งหมด เมื่อปรากฏแสงประทีป”

คีตาญชลี บทกวีที่ 10 และ 11

สะท้อนถึงหลักการกรรมโยคะแห่งปรัชญาเวทานตะ ซึ่งสวามีวิเวกานันทะ ผู้ก่อตั้งองค์กรรามกฤษณะมิชชั่นในเบงกอลเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 มุ่งเน้นเผยแพร่

บทกวีที่ 10
“โลกนี้คือที่ประทับของฝ่าพระบาท ขออัญเชิญพระองค์ทรงร่วมชีวิตอยู่กับประชาชน ขอเชิญเสด็จปะปนอยู่กับผู้ยากจน ผู้ต่ำต้อย และไร้ที่พึ่งทั้งปวงเถิดพระเจ้าข้า เมื่อข้าน้อยน้อมศิโรตม์ลงบูชาฝ่าพระบาทนั้น ความคารวะของข้าน้อย ยังไม่สามารถจะหยั่งลงไปซึ้งถึงส่วนลึกอันเป็นที่ประทับของฝ่าพระบาทได้ พระองค์ทรงปะปนอยู่กับผู้ยากจน ผู้ต่ำต้อย และไร้ที่พึ่งทั้งปวง ความเย่อหยิ่งผยองใด ๆ ไม่มีวันจะกล้ำกรายเข้าไปในอาณาบริเวณที่พระองค์ทรงสัญจรไปมาด้วยชุดภูษาของสามัญชน พระองค์ทรงปะปนอยู่กับผู้ยากจน ผู้ต่ำต้อย และไร้ที่พึ่งทั้งปวง ดวงจิตของข้าน้อยไม่มีปัญญาที่จะเข้าให้ถึงซึ่งภาวะที่พระองค์ทรงเป็นมิตรกับผู้ไร้ญาติขาดมิตรได้ พระองค์ทรงปะปนอยู่กับผู้ยากจน ผู้ต่ำต้อย และไร้ที่พึ่งทั้งปวง ฯ”

บทกวีที่ 11
“...พระองค์ทรงอยู่กับชาวนาที่กำลังไถคราดอยู่บนพื้นดินอันแตกระแหงแข็งกระด้าง พระองค์ทรงปะปนอยู่กับบรรดากรรมกรผู้กำลังทุบหินทำถนนอยู่ ทรงร่วมชีวิตอยู่กับพวกชาวนาและบรรดากรรมกร ในท่ามกลางแสงแดดและสายฝน ภูษาของพระองค์ก็ล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นละออง จงเปลื้องเสื้อผ้าอันบริสุทธิ์และหลากล้นค่าของเจ้าออกเสีย แล้วลงไปคลุกกับฝุ่น เช่นเดียวกับพระองค์ผู้เป็นเจ้าเถิด ...จงออกไปเฝ้าพระผู้เป็นที่พึ่งของเราเถิด จงออกไปพบและทำงานร่วมแรงกับพระองค์ท่านด้วยหยาดเหงื่อของเราเสียบ้างเป็นไร”

จากคีตาญชลี สู่การสานสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างไทย-อินเดีย

ผลจากการรับรางวัลโนเบล ทำให้ท่านมีเกียรติยศ ชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับไปทั่วประเทศอินเดียและโด่งดังไปทั่วไปโลก

ในการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของท่าน
การเดินทางครั้งที่ ๙ ฐากูรเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ระหว่าง ๘-๑๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๒๗ ในวัย ๖๖ ปี โดยริเริ่มเองตามคำเชิญชวนของสมาคมชาวอินเดียและจีนในไทย มิได้วางแผนล่วงหน้า และมิใช่การเชื้อเชิญโดยรัฐบาลไทย ได้แสดงปาฐกถาที่จุฬาแล้วเข้าเฝ้ารัชกาลที่ ๗ เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม และเข้าพบเจ้านายสำคัญหลายพระองค์ ได้ไปเยี่ยมชมลพบุรีและอยุธยาด้วย

มูลเหตุแห่งการมายื่นเพื่อสานสัมพันธ์ของโลกตะวันออกศึกษาวัฒนธรรมที่แตกต่างเอกภาพแห่งสากลนิยมและแสวงหาปราชญ์ทางด้านพุทธศาสนาเพื่อเชิญให้ไปสอนประจำอยู่ที่ศานตินิเกตัน ดังมีรายละเอียดที่ดีมากในการศึกษาค้นคว้าของ รศ.สาวิตรี เจริญพงศ์ แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ ท่านที่สนใจสามารถศึกษาได้จากหนังสือของท่านชื่อ “สัมพันธ์สยามในนามภารต”

อนุสนธิจากการมาเยือนไทยครั้งนั้นจึงเกิดการก่อตั้งอาศรมวัฒนธรรมไทย-ภารตะ
ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนิน เป็นสมาคมชาวไทยเชื้อสายอินเดียที่ทำหน้าที่สำคัญในการสานต่อด้านวัฒนธรรมระหว่างสองแผ่นดินมาจนถึงวันนี้

ที่น่ายินดียิ่งคือ ณ คฤหาสน์โชราสางโก บ้านเกิดของท่านรพินทรนาถ ฐากูร ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ชีวิตและผลงานของท่านนั้น มีห้องประจำชาติต่างๆที่ฐากูรเดินทางไปสร้างสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมด้วย มีห้องจีน ห้องญี่ปุ่น เป็นต้น และในไม่ช้าจะมีห้องไทยเกิดขึ้น ด้วยการผลักดันของตัวแทนรัฐบาลไทยในอินเดีย กล่าวคือสถานเอกอัครราชทูตไทยในนิวเดลี และสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองโกลกาตา ได้ประสานกับฝ่ายองค์กรแห่งโชราสางโกเพื่อสร้างไทยรูมขึ้นมาอีกห้องหนึ่ง
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย