เพลง Happy New Year to You
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อ Do Jasoos (นักสืบสองคน) ฉายในปี ค.ศ. 1975 เพลงนี้ขับร้องโดย Shailendra Singh
เพลง Happy New Year to You
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อ Do Jasoos (นักสืบสองคน) ฉายในปี ค.ศ. 1975 เพลงนี้ขับร้องโดย Shailendra Singh
ก่อนอื่นขอกล่าวสวัสดีปีใหม่แก่ทุกท่านที่รับฟังรายการปกิณกะอินเดีย ปีนี้นับเป็นฤกษ์งามยามดีอย่างยิ่ง เพราะรายการของเราออกอากาศวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 นับเป็นปฐมฤกษ์เบิกฟ้าปีใหม่ที่สดใสรุ่งเรืองโชติชัชวาล เราคาดหวังอย่างยิ่งว่ารายการนี้จะได้รับความสนับสนุนจากทุกท่านเรื่อยไป อันจะเป็นกำลังใจให้พวกเราสรรหาเรื่องราวเกี่ยวกับอินเดียมานำเสนอแก่ทุกท่านอย่างไม่หยุดยั้ง
ด้วยเหตุที่เป็นวันปีใหม่ เรื่องที่เราจะนำเสนอจึงเกี่ยวข้องกับการนับวันเดือนปี หลายท่านคงสังเกตแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นรอบปีในแบบใด ๆ ที่ใช้กันในประเทศไทย ทั้งแบบที่อิงศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม กล่าวคือ พุทธศักราช คริสต์ศักราช และฮิจเราะห์ศักราช ตามลำดับ หรือแม้กระทั่งรอบปีแบบอื่น ๆ ที่อิงกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น มหาศักราช จุลศักราช และรัตนโกสินทร์ศักราช เป็นต้นนั้น ล้วนแล้วแต่มีคำว่า "ศักราช" พ่วงท้ายอยู่ทั้งสิ้น คำว่าศักราชนี้มีที่มา ซึ่งเราจะขออธิบายในรายการวันนี้
เรื่องคำว่า “ศักราช” นี้ มีอาจารย์ภาษาไทยผู้มีชื่อท่านหนึ่ง คือ ศาสตราภิชาน ล้อม เพ็งแก้ว ได้เขียนไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรมฉบับปี 2531 โดยมีเนื้อความว่า ตามรูปศัพท์
ศักราช หมายถึง ราชาแห่งศกะ ซึ่งก็คือศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้านั่นเอง
ในสมัยโบราณยังคงนับตามรัชสมัยกษัตริยวงศ์ศากยะผู้ครองราชย์อยู่ขณะนั้น แล้วท่านก็ยกตัวอย่างว่า เช่นพระพุทธเจ้าประสูติในอัญชนศักราช 68 ก็หมายถึงในปีที่พระเจ้าอัญชนะครองราชย์ และทรงมีพระชนมายุได้ 68 พรรษา เป็นต้น ทว่าในภายหลังคำว่าศักราชได้เลื่อนความหมาย กลายเป็นคำสำหรับใช้นับรอบปีโดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับกษัตริย์แห่งวงศ์ศากยะก็ได้
อาจารย์ล้อมกล่าวสืบเนื่องไปในข้อเขียนของท่านอีกว่า ศักราชที่มุ่งใช้ในการคำนวณวิถีโคจรของดาวพระเคราะห์ นักปราชญ์กำหนดวันมหาสงกรานต์เป็นจุดเริ่มแบ่งปี ซึ่งก็คือจุดระหว่างเส้นโคจรดวงอาทิตย์ที่เรียกว่าสุริยวิถี กับเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้า โดยถือเอาวันที่กลางคืนกับกลางวันมีระยะเท่ากัน (ภาษาสันสกฤตเรียกว่า วิษุวัต) ศักราชที่อาศัยการคำนวณหาวันมหาสงกรานต์ ที่รู้จักและใช้กันในเอกสารไทยโบราณ มีกลียุคศักราช มหาศักราช และจุลศักราช ที่เรียกกลียุคศักราชนั้น ตั้งขึ้นจากการคำนวณหาจุดเริ่มต้นกลียุค ตามความเชื่อเรื่องยุคทั้งสี่ของโลกในคติศาสนาฮินดู ได้แก่ กฤตยุค ไตรดายุค ทวาบรยุค และกลียุค ซึ่งแต่ละยุคสัตยธรรมก็จะลดน้อยลงตามสัดส่วน
พงศาวดารโยนกระบุว่า กลียุคเริ่มต้นก่อนพุทธศก 2,559 ปี
เป็นอันว่า หากเทียบความยาวนานของศักราชที่นับเนื่องกันมา กลียุคศักราชนับว่าเก่าแก่ที่สุด ถ้าคิดคำนวณตามพงศาวดารโยนก เราก็กำลังเข้าสู่กลียุคศักราชที่ 5124 ตามปกรณัมฮินดูกล่าวว่ากลียุคเป็นยุคสุดท้ายของโลก หลังจากนี้โลกก็จะพินาศและตั้งต้นใหม่ แต่ละยุคยาว 432,000 ปี ดังนั้นถ้าคำนวณตามนี้โลกเรายังคงเหลือเวลาอีก 426,876 ปี กว่าจะพินาศ (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะนิ่งนอนใจทำลายสิ่งแวดล้อมกันต่อไปได้)
เมื่อเข้าใจคำว่า ศักราช กันพอสังเขปแล้ว ก็ขอย้อนกลับไปเรื่องหลักของเราในวันนี้ คือเรื่องปฏิทินประจำชาติของอินเดียที่เรียกว่า ศาลิวาหนศก หรือ บางคนเรียกว่า ศกสัมวัต (Shaka Samvat) กันต่อไป
ศาลิวาหนศก คือศักราชที่รู้จักกันในประเทศไทยในนามมหาศักราช และยังคงใช้อ้างอิงอยู่หลายพื้นที่ในสุวรรณภูมิ ทั้งพม่า กัมพูชา ลาว รวมไปถึงเกาะชวาและบาหลีในหมู่ชาวอินโดนีเซียที่นับถือศาสนาฮินดูด้วย
ปัจจุบันนี้รัฐบาลอินเดียได้ประกาศให้เป็นระบบปฏิทินประจำชาติของอินเดีย มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1957 เป็นต้นมา อันหมายความว่าปฏิทินดังกล่าวต้องใช้ควบคู่กับปฏิทินเกรกอเรียน ในรัฐกิจจานุเบกษาของอินเดีย (The Gazette of India) ใช้ในการประกาศข่าวออกอากาศโดย All India Radio ใช้เป็นปฏิทินทั่วไป และใช้ในการสื่อสารที่เป็นทางการของรัฐที่ออกโดยรัฐบาล
สาเหตุที่รัฐบาลต้องเลือกปฏิทินประจำชาติก็เพราะต้องการความเป็นเอกภาพ
เนื่องจากอินเดียตั้งแต่เหนือจรดใต้มีระบบปฏิทินที่มากมายหลายหลาก เริ่มและจบปีก็ไม่ตรงกัน และเปลี่ยนเดือนก็เหลื่อมกัน ทั้งยังมีระบบปฏิทินทั้งจันทรคติและสุริยคติ ดังนั้นการมีปฏิทินประจำชาติ ด้านหนึ่งจึงช่วยให้เกิดความเข้าใจตรงกันในกิจการของรัฐ และอีกด้านหนึ่งก็ยังรักษาอัตลักษณ์ของชาติเอาไว้ได้ ไม่ต้องพึ่งพาระบบปฏิทินเกรกอเรียนที่มาจากตะวันตกเพียงอย่างเดียว
ยวาหระลาล เนห์รู ได้เขียนไว้ในบทนำรายงานคณะกรรมการ ค.ศ. 1955 อย่างน่าสนใจว่า “ปฏิทินเหล่านั้น แสดงให้เห็นการแบ่งแยกทางการเมืองที่เคยเป็นมาในอดีตของประเทศนี้... มาบัดนี้เราได้รับเอกราชแล้ว เป็นที่แน่ชัดว่าเราควรต้องมีเอกภาพในปฏิทิน เพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ ของพลเมืองเรา สังคมเรา รวมทั้งจุดประสงค์อื่น ๆ ด้วย และควรดำเนินการแก้ปัญหานี้ด้วยระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์”
ภารกิจที่ถูกกำหนดให้คณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อกำหนดปฏิทินนั้น คือต้องจัดทำปฏิทินที่มีความแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถใช้ได้ทั่วประเทศอินเดีย ภารกิจนี้ไม่ง่ายเลย คณะกรรมาธิการต้องศึกษาค้นคว้าปฏิทินถึงกว่า 30 แบบที่มีใช้มาก่อนตามท้องถิ่นต่าง ๆ ของอินเดีย ในบรรดาปฏิทินสำคัญดังกล่าวเหล่านั้นก็มีปฏิทินของชาวเบงกอลและชาวทมิฬ เป็นต้น ภารกิจนี้ยิ่งยากลำบากขึ้นอีกเมื่อต้องบูรณาการคติศาสนาและประเพณีของท้องถิ่นต่าง ๆ เหล่านั้นเข้าด้วยกัน จนได้เลือกปฏิทินศาลิวาหนะมาใช้ในที่สุด
ชื่อของปฏิทินศาลิวาหนะ มาจากพระนามของจักรพรรดิในตำนานพระองค์หนึ่งที่ชื่อพระเจ้าศาลิวาหนะ
ปัจจุบันยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าหมายถึงกษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ แต่มักนับถือกันว่าเป็นศัตรูสำคัญของพระเจ้าวิกรมาทิตย์แห่งอุชเชนี ซึ่งเป็นจักรพรรดิผู้โด่งดังอีกพระองค์หนึ่ง ที่มีศักราชของพระองค์เองเรียกว่าวิกรมสัมวัตด้วย ทั้งสองพระองค์นี้ทำสงครามผลัดกันแพ้ชนะ กล่าวกันว่าศาลิวาหนศกนี้ หากไม่เริ่มนับจากประสูติกาลของพระเจ้าศาลิวาหนะ ก็อาจเริ่มนับจากชัยชนะครั้งใดครั้งหนึ่งของพระองค์เหนือพระเจ้าวิกรมาทิตย์ เรื่องนี้ยังไม่เป็นที่ยุติ และแม้แต่ผู้สร้างระบบปฏิทินนี้ ก็อาจมิใช่พระเจ้าศาลิวาหนะเอง แต่เชื่อกันว่าเป็นพระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์กุษาณะ
ปฏิทินศาลิวาหนะ เป็นปฏิทินสุริยจันทรคติ หมายถึงปฏิทินที่ผสมผสานทั้งการบอกดิถีของดวงจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กับวันสำคัญทางศาสนา และบอกทั้งวันเดือนปีแบบสุริยคติด้วย ทำให้มีรอบหนึ่งปีเท่ากับ 365-366 วัน ซึ่งจะต่างกับแบบจันทรคติที่อาศัยการโคจรของดวงจันทร์อย่างเดียว ทำให้มีจำนวนวันประมาณ 354 วันต่อปี เช่นปฏิทินฮิจญ์รีที่อิสลามใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นต้น
ปฏิทินศาลิวาหนะอิงตามระบบจักรราศีแบบทั่วไป ที่เรียกว่า Tropical Zodiac ซึ่งอิงการโคจรของดวงอาทิตย์ หนึ่งปีมี 12 เดือน มีชื่อเดือนซึ่งซ้ำกับปฏิทินจันทรคติแบบเก่าของพุทธ ดังต่อไปนี้
(1) ไจตระ ไทยเรียกจิตร มี 30 หรือ 31 วันในกรณีปีอธิกสุรทิน เข้าราศีเมษ เริ่มในวันที่ 21 หรือ 22 มีนาคม
(2) ไวศาขะ ไทยเรียกวิสาขะ มี 31 วัน เข้าราศีพฤษภ เริ่มในวันที่ 21 เมษายน
(3) เชยษฐะ ไทยเรียกเชฏฐะ มี 31 วัน เข้าราศีเมถุน เริ่มในวันที่ 22 พฤษภาคม
(4) อาษาฒะ ไทยเรียกอาสาฬหะ มี 31 วัน เข้าราศีกรกฎ เริ่มในวันที่ 22 มิถุนายน
(5) ศราวณะ ไทยเรียกสาวัน มี 31 วัน เข้าราศีสิงห์ เริ่มในวันที่ 23 กรกฎาคม
(6) ภาทระ ไทยเรียกภัทรบท มี 31 วัน เข้าราศีกันย์ เริ่มในวันที่ 23 สิงหาคม
(7) อาศฺวิน ไทยเรียกอัศวยุช มี 30 วัน เข้าราศีตุลย์ เริ่มในวันที่ 23 กันยายน
(8) การติกะ ไทยเรียกกัตติกา มี 30 วัน เข้าราศีพิจิก เริ่มในวันที่ 23 ตุลาคม
(9) อครหายนะ หรือ มารคศิรษะ ไทยเรียกมิคเศียร มี 30 วัน เข้าราศีธนู เริ่มในวันที่ 22 พฤศจิกายน
(10) เปาษะ ไทยเรียกปุสสะ มี 30 วัน เข้าราศีมังกร เริ่มในวันที่ 22 ธันวาคม
(11) มาฆะ ไทยเรียกมาฆะ มี 30 วัน เข้าราศีกุมภ์ เริ่มในวันที่ 21 มกราคม และ
(12) ผาลคุณะ ไทยเรียกผัคคุณ มี 30 วัน เข้าราศีมีน เริ่มในวันที่ 20 กุมภาพันธ์
การที่ปฏิทินระบบนี้มีชื่อซ้ำกับระบบจันทรคติเก่า แต่จำนวนวันไม่เท่ากัน อาจทำให้เกิดความสับสนได้ ในการอ้างอิงวันที่ในเอกสารต่าง ๆ จึงต้องตรวจสอบด้วยว่าต้นทางใช้ปฏิทินระบบใด
ส่วนวันในสัปดาห์นั้น มี 7 วัน มีชื่อเรียกตามลำดับดังต่อไปนี้
(1) รวิวาร ตรงกับวันอาทิตย์
(2) โสมวาร ตรงกับวันจันทร์
(3) มังคัลวาร ตรงกับวันอังคาร
(4) พุธวาร ตรงกับวันพุธ
(5) พฤหัสปติวาร ตรงกับวันพฤหัสบดี
(6) ศุกรวาร ตรงกับวันศุกร์ และ
(7) ศนิวาร ตรงกับวันเสาร์
การเริ่มนับปฏิทินศาลิวาหนะหรือที่เราเรียกว่ามหาศักราชนั้น เริ่มนับปีแรกในคริสต์ศักราช 78 หากต้องการคิดคำนวณโดยคร่าว ๆ ก็ให้เอาเลขปีคริสต์ศักราชลบออก 78 ก็จะได้เท่ากับเลขมหาศักราช ดังนั้นในปีคริสต์ศักราช 2022 นี้เราก็กำลังเข้าสู่ มหาศักราช 1944 นั่นเอง
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย