วันที่ 8 มกราคม 2565
เพลง ये पान वाला बाबू - Ye Paan Wala Babu
อยู่ในอัลบั้ม Lali Bindiya – Chhattisgarhi Superhit Album ออกมาในปี ค.ศ. 2004 เพลงนี้ผลิตโดย Sundrani Entertainment โดยการควบคุมของ Lakhi SUndrani และกำกับโดย Mohan Sundrani นักร้องฝ่ายชายคือ Dilip Shadangi ส่วนฝ่ายหญิงคือ Anupama Mishra
วันนี้เราจะขอเปิดรายการด้วยเรื่องราวใกล้ตัวก่อน เชื่อว่าคงมีผู้ฟังไม่น้อยที่เคยไปเยือนย่านพาหุรัด กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นย่านสำคัญที่มีชาวไทยเชื้อสายอินเดียจำนวนมากพักอาศัยและทำมาหาเลี้ยงชีพที่นั่น นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งศาสนสถานสำคัญของชาวซิกข์คือ คุรุดวาราศรีคุรุสิงห์สภา
ในบรรดาตรอกซอกซอยแถบนั้น รวมทั้งซอยที่เลียบข้างคุรุดวารา (ด้านหน้ามีซาโมซ่า) และซอยฝั่งตรงข้ามที่ทะลุไปสู่คลองโอ่งอ่าง จะพบแผงเล็ก ๆ หลาย ๆ แผง ที่มีถ้วย ขวดโหล หรือกระป๋องโลหะใส่วัตถุดิบหลากสีสันวางอยู่จำนวนหนึ่ง พร้อมกับใบพลูวางเรียงซ้อนเป็นตั้ง นี่แหละที่เราเรียกกันว่า "ปาน" ภาษาปากมักเรียกกันว่า "หมากแขก"
แน่นอนว่าทุกท่านคงรู้จักหมากพลูที่คนไทยเองก็เคยนิยมบริโภคมาก่อน แต่ทุกวันนี้ หมากพลูในสังคมไทยดูจะเหมือนเป็นเรื่องสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ คนที่เคี้ยวหมากประจำลดน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก และดูเป็นเรื่องที่คร่ำครึล้าสมัยพอสมควร แต่ปานหรือหมากแขกที่ว่านี้ กลับยังคงเป็นนิยมบริโภคแพร่หลายและมีสารพัดรูปแบบทั่วอนุทวีปอินเดีย ณ ที่นี้ขอนำเสนอความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับหมากพลูก่อน
ขึ้นชื่อว่าหมากพลูนั้น ก็บ่งบอกโดยนัยอยู่แล้วว่า ส่วนประกอบหลักมีสองอย่างคือ “หมาก” อันหมายถึงผลไม้ตระกูลปาล์มชนิดหนึ่งมีรสฝาด ชื่อเฉพาะในภาษาอังกฤษคือ areca nut หรือ areca palm กับ “พลู” อันหมายถึงใบไม้ขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า betel leaf ซึ่งใช้ห่อหมากแล้วเคี้ยวด้วยกัน ส่วนประกอบอื่น ๆ นั้นแล้วแต่ความนิยมในท้องถิ่น แต่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ “ปูน” หมายถึงปูนแดงที่มาจากปูนขาวผสมขมิ้น จนทำปฏิกิริยาเป็นสีส้มแดง ใช้ทาบนใบพลูห่อหมาก และเป็นตัวการที่ทำให้น้ำหมากมีสีแดงนั่นเอง จุดประสงค์หลักของการเคี้ยวหมาก คือทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าสดชื่น สมองแจ่มใส
การเคี้ยวหมากพลู
เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออก จากการสืบค้นทั้งทางโบราณคดี ภาษาศาสตร์ และพฤกษศาสตร์ ทำให้พบว่า การเคี้ยวหมากน่าจะมีจุดกำเนิดมาจากชาวออสโตรนีเชีย ซึ่งหมายถึงบรรดาชาวเกาะในคาบสมุทรมลายู อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่บ่งบอกการเคี้ยวหมากของมนุษยชาตินั้นพบที่ฟิลิปปินส์ ในถ้ำดุหยง เกาะปาลาวัน โครงกระดูกหลายโครงที่พบในสุสานซึ่งอาจมีอายุเกินกว่า 4,000 ปีนั้นพบว่ามีฟันสีดำซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นผลจากการเคี้ยวหมาก ช่วงเวลาจากนั้นเป็นต้นมา การเคี้ยวหมากก็เริ่มแพร่กระจายเข้าสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ผ่านบรรดาพ่อค้าและนักเดินทาง ข้อสันนิษฐานที่ว่าการเคี้ยวหมากเข้าสู่ภูมิภาคใดในช่วงเวลาใดนั้น ก็ไม่ได้สังเกตยากเย็นอะไร ดูจากโครงกระดูกที่มีฟันดำว่าเริ่มปรากฏครั้งแรกในช่วงปีใดนั่นเอง เช่น ในเวียดนามพบอายุประมาณ 3,000 ปี ในกัมพูชาราว ๆ 2,400 – 2,200 ปี และในไทยอยู่ที่ประมาณ 1,500 ปี
การเคี้ยวหมากในไทย
สมัยก่อนหมากพลูถือเป็นของจำเป็นอย่างหนึ่งที่ขาดมิได้เลยในการรับรองแขกที่มาเยือน และการมีฟันสีดำจากการเคี้ยวหมากนั้นก็เรียกได้ว่าเป็น “แฟชั่น” เลยก็ว่าได้ สำหรับหมากพลูในไทยนั้นเราจะไม่ขอลงรายละเอียดมาก ขอกล่าวเพียงย่อ ๆ ว่าเสื่อมความนิยมลงไปในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประมาณ พ.ศ. 2485 เพราะจอมพล ป. มองว่าการเคี้ยวหมากและบ้วนน้ำหมากนั่นดูไม่สวยงามไม่เป็นอารยะ จึงออกคำสั่งที่เรียกว่ารัฐนิยมประกาศห้ามมิให้คนกินหมาก แต่นั้นมาหมากพลูก็กลายเป็นเรื่องคร่ำครึในเมืองไทย ปัจจุบันคงอยู่เฉพาะในเครื่องบูชาหรือประกอบพิธีกรรม
มาดูฝั่งอินเดียกันบ้าง หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าหมากพลูเข้าสู่อินเดียประมาณ 3,500 ปีแล้ว จากพ่อค้าชาวสุมาตรา ชวา และมลายู โดยเข้าสู่ชาวดราวิเดียนคือเผ่าพันธุ์ของชาวอินเดียใต้เช่นชาวทมิฬก่อน แต่ทางตอนเหนือของอินเดียกลับได้รับวัฒนธรรมหมากพลูช้ากว่านั้นมาก ประมาณ ค.ศ. 500 ผ่านทางพ่อค้าเผ่าที่พูดภาษาตระกูลมอญ-ขแมร์ โดยช่องทางการค้าในอ่าวเบงกอล
คำว่า "ปาน" ที่ชาวอินเดียใช้เรียกหมากพลู ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า parna หมายถึง ใบไม้
ปานในอนุทวีปอินเดียนั้นมีการปรุงแต่งด้วยส่วนผสมที่มากมายหลายชนิด ซึ่งจะแตกต่างกับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นิยมใส่เพียงหมาก พลู และปูนแดงเท่านั้น ประเภทที่นิยมกันมากในอินเดียเรียกรวม ๆ ว่า Mithai Paan แปลให้เข้าใจง่ายว่า “หมากหวาน” ซึ่งมีหลายรูปลักษณ์หลายสูตร ใบพลูที่นำมาห่ออาจเป็นใบอ่อนหรือใบแก่ และไส้ในก็อาจปรุงด้วยสมุนไพรเช่นเมล็ดเทียนข้าวเปลือก ยาเส้น มะพร้าวขูด น้ำเชื่อมรสหวาน แซฟฟรัน ผลไม้แห้ง ถั่วต่าง ๆ กลีบดอกไม้ และอื่น ๆ อีกสารพัดเพื่อแต่งกลิ่นและรสชาติให้หวานมันและหอมเย็นสดชื่น ภายนอกอาจจะเพิ่มความหรูหราด้วยการปิดแผ่นเงินเปลวประดับ
คนขายปาน ในภาษาฮินดีเรียกกันว่า paan wala พอเทียบเป็นภาษาไทยได้ว่า "ช่างหมาก"
การปรุงและห่อหมากของบรรดาปานวาลาเหล่านี้ต้องอาศัยทักษะและเทคนิคเพื่อความรวดเร็วทันใจและรสชาติที่สมดุล การยืนซื้อหมากตามท้องถนนพร้อมกับเฝ้ามองปานวาลาหยิบส่วนผสมต่าง ๆ โรยลงไปอย่างคล่องแคล่วจึงเป็นเรื่องที่ดูเพลิดเพลินไม่น้อย และบ่อยครั้งที่เมื่อปานวาลาห่อหมากเสร็จแล้ว ก็อาจป้อนใส่ปากเราทันทีเลยโดยที่เราไม่ต้องยื่นมือไปรับ
ในอินเดีย ปานไม่ได้มีเฉพาะแผงเล็ก ๆ ข้างถนนเท่านั้น อาจเป็นธุรกิจขนาดใหญ่เลยก็ได้
ตามเมืองใหญ่ ๆ ของอินเดีย เช่นมุมไบ ลัคเนาว์ เดลี กัลกัตตา จะมีร้านขายปานขนาดใหญ่และหรูหรา ส่วนผสมเรียงรายอยู่ในขวดโหลที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ มีความหลากหลายมากกว่าแผงขายปานตามถนนหลายเท่า มีขีดความสามารถในการปรุงหมากชนิดต่าง ๆ นับได้เป็นร้อยเป็นพันชนิด แค่น้ำเชื่อมที่ใช้ปรุงรสก็มีมากมายหลายสิบรสชาติแล้ว และยังมีเทคนิคอื่น ๆ อีก เป็นต้นว่าเสิร์ฟบนเกล็ดน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความเย็น หรือเสิร์ฟโดยจุดไฟใส่คำหมากแล้วป้อนใส่ปากลูกค้าอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าแผงขายปานเล็ก ๆ ข้างถนนบางแผงก็อาจจะมีเทคนิคเหล่านี้เพื่อดึงดูดลูกค้าด้วย แต่ในแผงหนึ่ง ๆ ก็คงไม่มีตัวเลือกหลากหลายเท่าในร้านใหญ่ ๆ เหล่านี้ เรียกได้ว่าปานเป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่เข้าถึงผู้คนทุกระดับ ตอบสนองรสนิยมของคนทุกชนชั้น

เรื่องความสกปรกเลอะเทอะ เรียกได้ว่าเป็นปัญหาคู่กับทุกสังคมที่มีการกินหมากเลยก็ว่าได้ ถ้าจะกล่าวให้ติดตลกหน่อยก็คือ “ที่ใดมีการเคี้ยวหมาก ที่นั่นย่อมมีการบ้วนน้ำหมาก” เพราะเวลาเคี้ยวหมากจะมีน้ำออกมามาก และน้ำหมากเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลืนลงไปเพราะอาจทำให้ท้องร่วงได้ ผู้คนจึงต้องบ้วนน้ำหมากออกมา ซึ่งถ้าบ้วนในกระโถนหรือในที่จัดไว้ให้โดยเฉพาะก็ยังดี แต่หลายคนก็เลือกเอาง่ายเข้าว่า บ้วนน้ำหมากเปรอะเลอะเทอะตามถนนหนทาง และสีของน้ำหมากก็ย้อมติดตามพื้นถนนขัดออกได้ยากอีกด้วย หลายรัฐในอินเดียที่คนกินหมากมาก ๆ เช่นรัฐมหาราษฏระจึงต้องมีมาตรการเพื่อรณรงค์เรื่องนี้ ซึ่งก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง
ด้านสุขภาพ ขณะนี้มีผลวิจัยออกมาแล้วว่าการเคี้ยวหมากทั้งที่ผสมใบยาสูบหรือไม่ก็ตาม หากทำติดต่อกันนาน ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคเหงือกอักเสบ ฟันผุ และมะเร็งในช่องปาก นอกจากนี้ยังทำให้เสพติด และเป็นผลเสียต่อบุคลิกภาพ เพราะปากจะถูกย้อมเป็นสีแดงและฟันเป็นสีดำ ซึ่งปัจจุบันคงไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานความงามอีกต่อไปแล้ว
ยังมีประเด็นของการบริโภคหมากอีกชนิดหนึ่งที่เป็นโทษมากกว่าปาน เรียกกันว่า กุตคา (Gutka) ซึ่งในอินเดียจัดเป็นปัญหาระดับชาติข้อหนึ่ง ส่วนประกอบของกุตคาแม้จะมีหมากอยู่ด้วย แต่ก็ผสมใบยาสูบ ยางไม้ และอาจมีสารเคมีประกอบแฝงอื่น ๆ นับพันชนิดที่เป็นโทษต่อร่างกาย กุตคาต่างกับปานคือมักจะมาในลักษณะซองเล็ก ๆ ข้างในเป็นผงสีตุ่น ๆ ซึ่งผู้บริโภคก็มักจะฉีกเทใส่ปากเลยแทนที่จะนำไปห่อใบพลูและส่วนผสมอื่น ๆ (ซึ่งอันที่จริงแล้วก็อาจทำเช่นนั้นได้ด้วย) กล่าวอีกอย่างหนึ่งการบริโภคกุตคาก็คือการเสพ “ยาสูบไร้ควัน” (Smokeless Tobacco) นั่นเอง มีรายงานว่า หลายคนที่เสพติดบุหรี่หันมาเสพกุตคาแทนเพราะคิดว่าจะช่วยเลิกบุหรี่ได้ แต่ในความจริงก็ไม่ได้เลวร้ายน้อยกว่ากันสักเท่าไรนัก
การบริโภคกุตคาเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งในช่องปาก คอ หลอดลม ทางเดินอาหาร และก่อเกิดผลเสียต่าง ๆ ต่อสุขภาพมากเสียจนรัฐบาลมลรัฐต่าง ๆ ต้องออกมาทยอยประกาศห้ามกุตคาในมลรัฐของตน
ความพยายามดังกล่าวเกิดขึ้นที่มหาราษฏระก่อนในปี ค.ศ. 2002 แต่มลรัฐแรกที่แบนกุตคาอย่างถาวรคือมลรัฐกัวในปี ค.ศ. 2005 และมลรัฐอื่น ๆ ที่ตื่นตัวกับภัยของกุตคาก็เริ่มแบนกุตคาไปตาม ๆ กันนับแต่ช่วง ค.ศ. 2012 จนกระทั่งถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013 รวมแล้วกุตคาถูกแบนใน 24 มลรัฐและ 3 ดินแดนสหพันธ์ในอินเดีย การโฆษณากุตคาก็ถูกห้ามเช่นเดียวกับสุราและยาสูบ กระนั้นผู้ผลิตบางบริษัทก็ยังคงหาทางเลี่ยงบาลีด้วยการโฆษณากุตคาในฐานะ “ปานมาซาล่า”
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย