เพลง Babul Ki Duayen Leti Ja
เพลงประกอบภาพยนตร์ Neel Kamal ฉายในปี ค.ศ. 1968 ขับร้องโดย Mohammad Rafi ผู้ประพันธ์เนื้อร้องคือ Sahir Ludhianvi
เพลง Babul Ki Duayen Leti Ja
เพลงประกอบภาพยนตร์ Neel Kamal ฉายในปี ค.ศ. 1968 ขับร้องโดย Mohammad Rafi ผู้ประพันธ์เนื้อร้องคือ Sahir Ludhianvi
ถือเป็นหนึ่งในคำถามที่ถามบ่อยสุดเลยก็ว่าได้ วันนี้เราจะพูดเรื่องระบบสินสอดกันหน่อย ซึ่งก็คล้ายกับหลายเรื่องคือไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการให้สินสอดในอินเดียเป็นเรื่องของสังคมวัฒนธรรมที่สลับซับซ้อนอยู่พอสมควร เราอาจเริ่มคำถามแรกก่อนว่าระบบสินสอดในอินเดียส่วนใหญ่คืออะไร
การที่ฝ่ายหญิงให้เงินหรือทรัพย์สินแก่ฝ่ายชายอันเป็นเงื่อนไขของการแต่งงาน ทรัพย์สินในที่นี้รวมถึงทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้และเคลื่อนย้ายไม่ได้ ที่เห็นกันเยอะมากก็จะเป็นเงินสด ทองคำ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ฯลฯ เวลาให้อาจไม่ได้ให้เจ้าบ่าวเสียทั้งหมด อาจจะให้ญาติของเจ้าบ่าวก็ได้ ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว คำถามที่สองที่เราควรตอบอีกคือ
จริง ๆ แล้ว ระบบสินสอดในอินเดียไม่ได้มีรากเหง้ามาจากศาสนาฮินดู การปฏิบัติเรื่องสินสอดในอนุทวีปอินเดียไม่ได้มีรากเหง้าประวัติศาสตร์อันยาวนานมาก คือปฏิบัติกันมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ในสมัยยุคพระเวท สตรีอินเดียมีสิทธิในทรัพย์สิน มีสิทธิครอบครองทรัพย์สินได้ และทรัพย์สินของหญิงในอนุทวีปอินเดียก็ไม่ได้โอนให้สามีโดยปริยายหลังจากเธอสมรสแล้ว ที่สำคัญคือไปเอาทรัพย์สินของผู้หญิงมาโดยเขาไม่ได้ยินยอมจะนับเป็นอาชญากรรม โดยรวมแล้วในอดีตกาล สิทธิสตรีไม่ได้ย่ำแย่ไปหมด แต่เปลี่ยนไป และวันนี้จึงเริ่มรณรงค์เรื่องสิทธิสตรีกันใหม่
1) การบันทึกของ Arrian แห่ง Nicomedia ช่วง Alexander the Great ประมาณ 300 ปี ก่อนคริสตกาล
2) Al-Biruni นักคิดนักเขียนชาวเปอร์ซียในยุคสมัยอิสลามซึ่งเคยอาศัยอยู่ในอินเดียประมาณ 16 ปีในช่วง ค.ศ. 1000
Arrian ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการแต่งงานและสินสอดไว้ดังนี้
พวกเขาชาวอินเดียแต่งงานโดยไม่มีการให้หรือรับสินสอด เมื่อไหร่ที่ผู้หญิงแต่งงานได้แล้ว ก็จะเป็นที่รับทราบต่อสาธารณะ พ่อเป็นผู้ทำให้สังคมรับทราบ และชายที่จะมีโอกาสได้หญิงนั้นเป็นคู่ครองก็จะคัดสรรกันทางกายภาพ คือต้องโชว์ผ่านทางมวยปล้ำ ต่อมวย วิ่ง ฯลฯ หมายความว่าได้โชว์ว่าตนนั้นแข็งแรงทางกายภาพ หลักฐานจากแหล่งนี้บ่งชี้ว่า ในสมัยนั้นไม่ได้มีความคิดเรื่องสินสอดแบบที่เราเห็นกันทุกวันนี้
จากอีกแหล่งก็ชี้ให้เห็นในทำนองเดียวกัน คือไม่มีการให้ของกำนัล
ที่น่าสนใจคือ หลักฐานจากแหล่งนี้บอกด้วยว่า ฝ่ายชายเท่านั้นที่จะให้อะไรแก่ฝ่ายหญิง แต่ก็ไม่ใช่สินสอด เพราะหลักฐานระบุด้วยว่า ฝ่ายชายที่ให้ของกำนัลแก่ฝ่ายหญิงตามที่ตนเห็นควร แต่ฝ่ายชายไม่มีสิทธิขอคืนสิ่งที่ตนมอบให้แก่ฝ่ายหญิงแม้ฝ่ายหญิงไม่ประสงค์จะแต่งงานด้วย
กล่าวโดยรวม ในสังคมโบราณสถานภาพสตรีไม่ได้ย่ำแย่แบบบางแง่บางมุมอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
คำตอบคือ ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน กฎหมายเรื่องต้องห้ามสินสอดมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 ประมาณ 14 ปี หลังจากอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ ในขณะเดียวกัน มีกฎหมายและคำพิพากษาของศาลว่าด้วยสิทธิเท่าเทียมของลูกสาวในการรับมรดกจากพ่อแม่ด้วย
คำตอบคือ มีอยู่ทุกแทบศาสนา เพราะนี่คือเรื่องสังคมวัฒนธรรม
นี่แหละที่เราไม่อาจศึกษาทุกเรื่องทุกประเด็นด้วยกฎหมายโดยลำพัง เราจำเป็นต้องอธิบายหลายปรากฏการณ์ด้วยมิติสังคมและวัฒนธรรม การเลือกปฏิบัติบนฐานของวรรณะก็ผิดกฎหมาย แต่ก็ยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่
ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังอยู่พอสมควร ที่น่าสนใจคือ การศึกษาหนึ่งมุ่งเน้นศึกษาระบบสินสอดในหมู่บ้าน ชื่อของการศึกษาชิ้นนี้คือ “วิวัฒนาการระบบสินสอดในชนบทอินเดีย ปี ค.ศ. 1960-2008” (“The evolution of dowry in rural India: 1960-2008”) โดย (1) S. Anukriti (2) Nishith Prakash (3) Sungoh Kwon ตีพิมพ์ออนไลน์ที่ blogs.worldbank.org วันที่ 30 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2021
งานวิจัยนี้สำรวจการแต่งงานในช่วง 48 ปี คือ จากปี ค.ศ. 1960-2008 โดยศึกษางานแต่งงานทั้งหมดประมาณ 40,000 ครั้ง แต่ในชนบทเท่านั้น ซึ่งเป็นชนบทที่ตั้งอยู่ใน 17 มลรัฐของอินเดีย
งานวิจัยนี้พบว่า ร้อยละ 95 ของการแต่งงานทั้งหมด ยังใช้ระบบสินสอดกันอยู่ แน่นอนงานวิจัยนี้คงไม่สมบูรณ์ ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ต้องคำนึงเวลาพ่อแม่ให้ทรัพย์สินลูกสาวก่อนแต่งงานด้วย เขาอาจจะไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องสินสอดหมด อาจจะให้เพราะความมั่นคงของลูกสาว เพราะบ่อยครั้งมากที่ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินที่โอนกรรมสิทธิ์ก่อนสมรส คือทรัพย์สินนอกสมรส
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย