เรื่องเล่าขานของลูกหลานตระกูลโบส
556 views
0
0

เพลง Hum Dilli Dilli Jayenge
มาจากภาพยนตร์ Bose: the Forgotten Hero ในปี ค.ศ. 2005 กำกับโดย Shyam Benegal ดนตรีโดย A.R. Rahman

เนตาจี สุภาส จันทร โบส

วันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2022 มีความสำคัญประการหนึ่งสำหรับชาวอินเดีย กล่าวคือเป็นวันเฉลิมฉลองครบรอบ 125 ปีชาตกาลของเนตาจี สุภาส จันทร โบส ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นภาษาฮินดีอีกชื่อหนึ่งว่า “Parakram Diwas” หรือ “วันแห่งความกล้าหาญ” ชื่อดังกล่าวตั้งให้เป็นเกียรติแก่โบส ในฐานะผู้นำสูงสุดแห่งกองทัพอินเดียอิสระ ผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียในช่วงทศวรรษ 1930-1940

เมี่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว รายการปกิณกะอินเดียเคยนำเสนอชีวประวัติโดยสังเขปของสุภาส จันทร โบสไว้ในตอน “Chalo Dilli! เนตาจี สุภาส จันทร โบส” ออกอากาศเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2564 เนื้อหาโดยสังเขปว่าด้วยภูมิหลังของครอบครัวโบส ชีวิตช่วงต้น การศึกษา เส้นทางการต่อสู้เพื่อประเทศชาติ บั้นปลายชีวิต และปิดท้ายด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์กับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเงินบริจาคของโบสที่ถูกนำมาสร้างประโยชน์แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยส่วนหนึ่งเป็นเงินรางวัลประจำปีสำหรับนิสิตหญิงคณะอักษรศาสตร์ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยม และอีกส่วนหนึ่งสมทบทุนก่อสร้างธรรมสถาน จุฬาฯ

ท่านผู้ฟังสามารถฟังย้อนหลังได้บนเว็บไซต์ของสถานีวิทยุจุฬาฯ รายการปกิณกะอินเดีย https://curadio.chula.ac.th/Program-Detail.php?id=10820 ดังนั้นในวันนี้เราคงไม่เล่าซ้ำเรื่องเดิมอีก แต่จะนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ ที่สืบเชื้อสายตระกูลโบสร่วมกับสุภาส

บุคคลสำคัญคนอื่น ๆ ที่สืบเชื้อสายตระกูลโบสร่วมกับสุภาส
อนิตา โบส พฟัฟฟ์

ก่อนอื่นขอเริ่มจากทายาทสายตรงของสุภาสก่อน ช่วงหนึ่งของรายการวันที่ 27 มีนาคม 2564 เราได้กล่าวถึง

อนิตา โบส พฟัฟฟ์ ลูกสาวคนเดียวของสุภาสที่เกิดกับภรรยาชาวออสเตรียชื่อเอมิลี เชงเคิล

ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนิตาที่เรายังไม่ได้กล่าวถึงในวันนั้นคือ เธอไม่เคยพบหน้าบิดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เวลานั้นสุภาส จันทร โบสผู้กระหายจะทำงานเพื่อชาติอยู่ทุกลมหายใจ ได้มองเห็นโอกาสที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นจู่โจมบริติชราช จึงย้ายไปก่อการที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทิ้งภรรยา เอมิลี เชงเคิล และลูกน้อยอนิตาที่เพิ่งจะมีอายุได้สี่เดือนไว้ที่ยุโรป แน่นอนว่าเธอยังเล็กเกินกว่าจะหลงเหลือความทรงจำเกี่ยวกับสุภาส โดยสรุปแล้วอนิตาเติบโตขึ้นมาโดยการเลี้ยงดูของมารดาแต่ลำพัง ในนามอนิตา เชงเคิล เวลาต่อมาเธอจึงยอมรับใช้นามสกุลโบสของบิดา ปัจจุบันเธออายุ 79 ปี อาชีพเป็นนักเศรษฐศาสตร์ สมรสกับมาร์ทิน พฟัฟฟ์อดีตผู้แทนสภาบุนเดสทาคของเยอรมนี ให้กำเนิดบุตรร่วมกันสามคน

วันนี้เมื่อปี ค.ศ. 2016 เว็บไซต์ฮินดูสตานีไทมส์ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์อนิตา โบส พฟัฟฟ์ เธอเผยว่า เธอรู้สึกเบื่อหน่ายสิ้นดีกับการที่ผู้คนจำนวนหนึ่งไม่ยอมรับเรื่องที่สุภาสเสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตก ทั้ง ๆ ที่พยานหลักฐานก็บ่งชี้ไปทางนั้น เธอไม่ชอบใจที่วีรบุรุษที่อุทิศตนเพื่อชาติอย่างสุภาสบิดาของเธอถูกบางคนเล่าลือว่าไปหลบซ่อนอยู่ตามภูเขาและตัดขาดจากโลกภายนอก

นอกจากนี้อนิตายังเล่าให้ฟังด้วยว่า เอมิลีมารดาของเธอเล่าเรื่องของบิดาให้เธอฟังแต่ในทางดี โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าบิดาของเธอมีความมุ่งมั่นกอบกู้ประเทศชาติอย่างแรงกล้ามาก ซึ่งเธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ที่แม่เทิดทูนพ่อถึงปานนั้น และไม่เคยตำหนิพ่อเลย ทั้ง ๆ ที่พ่อน่าจะเป็นสามีที่แย่มาก (ในบทสัมภาษณ์ ถ้อยคำภาษาอังกฤษที่อนิตาใช้คือ “…he really must have been a disaster of a husband…”)

จะเห็นได้ว่า แม้อนิตาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเลย แต่ก็มีความภูมิใจในตัวพ่อในฐานะวีรบุรุษ ซึ่งนั่นน่าจะเพียงพอแล้ว

ศรัต จันทร โบส

ศรัต จันทร โบส พี่ชายแท้ ๆ ของสุภาส ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทในการต่อสู้เพื่อเอกราชอินเดียเช่นกัน

เขาเกิดในปี ค.ศ. 1889 เป็นบุตรลำดับที่สี่ของชนกีนาถกับประภาวดี โบส มีอายุโตกว่าสุภาสซึ่งเป็นลำดับที่เก้าอยู่แปดปี ศรัต โบสได้รับการศึกษาจาก Presidency College และ Scottish Church College ซึ่งขณะนั้นสังกัดมหาวิทยาลัยกัลกัตตา ในปี ค.ศ. 1911 เขาไปประกอบอาชีพทนายความที่อังกฤษ จากนั้นกลับมาเป็นทนายความที่อินเดีย และประสบความสำเร็จอย่างมาก ก่อนที่ภายหลังจะเข้าร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชอินเดีย ปี ค.ศ. 1936 ศรัตได้ดำรงตำแหน่งประธาน Bengal Pradesh Congress Committee และสมาชิก All India Congress Committee (AICC) ต่อมาเขาถูกจับกุมเนื่องจากเหตุการณ์หลบหนีจากที่คุมขังของสุภาสน้องชาย ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1941 เขาถูกคุมขังอยู่ 4 ปีก็ถูกปล่อยตัวใน ค.ศ. 1945 ปีเดียวกับที่มีรายงานการเสียชีวิตของน้องชาย

ศรัต จันทร โบส สนับสนุนขบวนการของน้องชายอย่างเต็มกำลัง และเคยเข้าร่วมใน Quit India Movement

เขาลาออกจาก AICC ด้วยสาเหตุความไม่ลงรอยกันในประเด็นการแบ่งแยกเบงกอลออกเป็นส่วนของชาวฮินดูกับส่วนของชาวมุสลิม เขาพยายามจะผลักดันความคิดที่เรียกว่า United Bengal เพื่อให้แคว้นเบงกอลได้สถานะรัฐอิสระที่ไม่แบ่งแยกด้วยศาสนา มีแนวร่วมคือผู้นำมุสลิมชาวเบงกอลอย่าง ฮุเซน ชะฮีด สุห์ราวาร์ดี และ อะบุล ฮาชิม ขณะนั้นมุฮัมหมัด อะลี จินนาห์ก็สนับสนุนความคิดนี้ แต่ได้เปลี่ยนจุดยืนในภายหลัง ส่วนพรรคคองเกรสและสมาชิกฮินดูของสภานิติบัญญัติเบงกอลนั้นคัดค้าน หลังอินเดียได้รับเอกราช ศรัต จันทร โบสก่อตั้งพรรค Socialist Republican และผลักดันระบบสังคมนิยมเพื่อเบงกอลและอินเดีย เขาถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1950 ด้วยวัย 60 ปี

สิสิร กุมาร โบส

บุคคลต่อไปคือลูกชายของศรัต จันทร โบสนั่นเอง ชื่อว่า สิสิร กุมาร โบส

เขาเกิดในปี ค.ศ. 1920 เมื่อสุภาส จันทร โบสถูกคุมขังในปี ค.ศ. 1941 สิสิร กุมารผู้นี้เอง ในขณะนั้นเป็นนักเรียนแพทย์ที่กัลกัตตา ได้ลักลอบช่วยเหลืออาของเขาหลบหนี จากนั้นขับรถพาเล็ดลอดเข้าไปในรัฐพิหารที่อยู่ข้างเคียง แล้วสุภาสจึงนั่งรถไฟต่อไปเปชาวาร์ ในปี ค.ศ. 1942 สิสิรเข้าร่วม Quit India Movement และได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการสลายการชุมนุมโดยตำรวจ เขาถูกจับกุมคุมขังในกัลกัตตา หลังจากถูกปล่อยตัวแล้วเขาก็ช่วยเหลือขบวนการของอาสุภาสอีก และถูกอังกฤษจับกุมอีกหลายครั้ง จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามจึงได้รับการปล่อยตัว

หลังจากพ้นที่คุมขัง สิสิร กุมารได้ศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ต่อจนจบ และได้อบรมวิชากุมารแพทย์จากลอนดอน เชฟฟีลด์ และเวียนนา จากนั้นได้ประกอบอาชีพกุมารแพทย์จนบั้นปลายชีวิต ได้รับตำแหน่งเป็นเกียรติมากมาย

สิสิรยังมีบทบาทในการสร้างพิพิธภัณฑ์ระลึกถึงสุภาส จันทร โบส แม้แต่รถคันที่เขาขับพาอาหนีก็จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นี้ด้วย

สิสิรมีผลงานหนังสือหลายเล่ม ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประวัติและการต่อสู้ของสุภาส จันทร โบส เขาสมรสกับ กฤษณา โบส นักการเมืองสตรี สังกัดพรรค All India Trinamool Congress (“ตฤณมูล - รากหญ้า”) และมีลูกชายด้วยกันชื่อ Sugata Bose (ภาษาเบงกาลีออกเสียงว่า ชุกอโต ซึ่งตรงกับคำภาษาไทยว่า สุคต นั่นเอง) ซึ่งเราจะเล่าประวัติของเขาเป็นอันดับต่อไป สิสิร กุมารเสียชีวิตในปี ค.ศ. 2000 รวมอ่ายุ 80 ปี

สุคต โบส

Sugata Bose หรือ สุคต โบส นักการเมืองอินเดีย รวมทั้งนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์คนสำคัญ

เขาเกิดในปี ค.ศ. 1956 ที่กัลกัตตา เป็นบุตรสิสิร กุมาร โบส กับกฤษณา โบส สุคตสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกัลกัตตา และระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ จากนั้นได้เข้าสอนที่มหาวิทยาลัยทัฟท์ส (Tufts) จนถึง ค.ศ. 2001 จากนั้นจึงได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์การ์ดิเนอร์ (Gardiner) สาขาประวัติศาสตร์โพ้นทะเล ประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นอกจากนี้ยังเป็นผู้อำนวยการสำนักวิจัยเนตาจี (Netaji Research Bureau) ด้วย ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของสำนักวิจัยแห่งนี้ก็คือการค้นคว้าเรื่องราวและเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสุภาส จันทร โบส นั่นเอง

สุคต โบส มีผลงานวิชาการหลายเล่ม

ในบรรดาผลงานเหล่านั้น ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็เห็นจะเป็น A Hundred Horizons: The Indian Ocean in the Age of Global Empire (2006) และอีกเล่มหนึ่งคือ His Majesty's Opponent: Subhas Chandra Bose and India's Struggle against Empire (2011) ซึ่งเล่มหลังนี้เป็นชีวประวัติของสุภาส จันทร โบส

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังศึกษาค้นคว้า เขียนบทความ และบรรยายเกี่ยวกับชีวิตของรพินทรนาถ ฐากูร นักปราชญ์สำคัญแห่งเบงกอลอีกด้วย เขาเดินทางไปบรรยายหัวข้อดังกล่าวนี้ทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย