มหารานีแห่งฌานสี วีรสตรีผู้ต่อต้านจักรวรรดิ
4,963 views
0
0

เพลง Bhag Bhag re Bhag Firangi
“Bhag Bhag re Bhag Firangi, Jhansi ki Rani aayi hai!” (จงหนีไปเถิดพวกฝรั่ง รานีแห่งฌานสีมาแล้ว) เป็นเพลงประกอบซีรีส์เรื่อง Jhansi ki Rani ทางช่อง Zee TV ในปี ค.ศ. 2009

วันสตรีสากล

8 มีนาคม มีความสำคัญอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเป็นวันสตรีสากล (International Women’s Day) ซึ่งเป็นวันที่ทั่วโลกจะมารำลึกถึงคุณงามความดีของสตรีทั้งในแง่ของความสำเร็จด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แน่นอนว่าประเทศอินเดียเองก็เป็นประเทศที่ให้กำเนิดสตรีผู้ยิ่งใหญ่มาแล้วมากมายหลายคนตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อันยาวนาน

รายการปกิณกะอินเดียจึงขอร่วมระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของสตรีเหล่านั้น โดยนำเสนอเรื่องราวของวีรสตรีท่านหนึ่งที่มีนามว่า ลักษมีบาย หรือ มหารานีแห่งฌานสี ผู้เป็นที่จดจำในฐานะผู้นำกองทัพต่อต้านบริติชราชในเหตุการณ์กบฏอินเดีย ปี ค.ศ. 1857 (Indian Rebellion of 1857) และได้สละพระชนมชีพในสมรภูมิ ต่อไปนี้เราจะเล่าเรื่องราวของพระนางให้ฟังโดยสังเขป

วัยเด็ก

มหารานีแห่งฌานสี มีพระนามโดยประสูติว่า มณิกรรณิกา ตามเพ (Manikarnika Tambe) ประสูติเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1828 ในตระกูลวรรณะย่อยของพราหมณ์ที่เรียกว่า “กฒาเฑ” เป็นตระกูลปกครองเมืองพาราณสี (Benares) ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในแคว้นกาศี-พาราณสี ปัจจุบันอยู่ในมลรัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของอินเดีย

บิดาของพระนางชื่อโมโรปันต์ ตามเพ มารดาชื่อภาคีรถี สเปร (Bhagirathi Sapre) เสียชีวิตตั้งแต่กุมารีมณิกรรณิกายังอายุได้ 4 ขวบเท่านั้น ดังนั้นบิดาจึงเป็นผู้ดูแลมาโดยตลอด

บิดาโมโรปันต์ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพภายใต้การนำของเปศวา พาชี ราว ที่สอง ซึ่งเป็นผู้ปกครองหุ่นเชิดแห่งแคว้นมราฐา ในขณะนั้นกุมารีมณิกรรณิกาได้รับการศึกษาในวัยเยาว์ที่บ้าน และมีอิสระมากกว่าเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน กิจกรรมต่าง ๆ ที่เธอทำในวัยเด็ก รวมไปถึงการหัดขี่ม้า ยิงธนู ฟันดาบ และเล่นกายกรรมผาดโผนบนไม้สูงที่เรียกว่า “มัลลขัมพะ” ร่วมกับเพื่อนในวัยเด็กของเธอซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาย สองคนในนั้นที่ในภายหลังได้มีตำแหน่งสำคัญในการสู้รบปลดแอกเมื่อปี 1857 ด้วยนั้น ได้แก่ นานา สาหิบ บุตรเลี้ยงของเปศวา พาชี ราว ที่สอง และ ตาเตีย โตเป ผู้บัญชาการกองทัพที่มีความสามารถที่สุดในเหล่าแม่ทัพกบฏอินเดีย

การถูกเลี้ยงดูมาในลักษณะนี้ กุมารีมณิกรรณิกาจึงกลายเป็นสาวหัวก้าวหน้า เธอคัดค้านขนบล้าสมัยหลายประการในสังคมอินเดียขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับความคาดหวังต่อสตรีเพศ

แม้ว่าในบางครั้งเธอจะเดินทางในเกี้ยวที่มีคนหาม เธอกลับชื่นชอบการควบขี่บนหลังม้ามากกว่า ม้าของเธอหลายตัวมีชื่อบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว เช่น ซารังกี ปาวัน และบดาล โดยเฉพาะตัวหลังที่ชื่อบดาลนั้น นักประวัติศาสตร์ระบุว่า มหารานีได้ทรงม้าตัวนี้ควบหนีออกจากป้อมปราการในปี ค.ศ. 1858

แต่งงาน

ในปี ค.ศ. 1842 เมื่ออายุได้ 14 ปี มณิกรรณิกาก็เข้าพิธีเสกสมรสกับมหาราชาแห่งฌานสี พระนามว่า คงคาธร ราว เนวัลการ์ (Gangadhar Rao Newalkar) ซึ่งอยู่ในวรรณะเดียวกัน

ขอให้ผู้ฟังสังเกตว่า ผู้ปกครองแคว้นในสมัยโบราณไม่จำเป็นต้องเป็นวรรณะกษัตริย์เสมอไป มีบ้างที่มาจากวรรณะพราหมณ์เช่นในกรณีนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองแคว้นใด ๆ ในสมัยของบริติชราชนั้น จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากทางจักรวรรดิอังกฤษด้วย

ตามธรรมเนียมของแคว้นมราฐาในสมัยนั้น สตรีที่แต่งงานจะได้รับการตั้งชื่อใหม่ให้ มณิกรรณิกาได้รับขนานนามใหม่ว่า ลักษมีบาย และด้วยตำแหน่งมหารานี ต่อไปนี้เราจะเรียกพระนางว่า มหารานีแห่งฌานสี

หลังจากเสกสมรสได้เก้าปี เมื่อ ค.ศ. 1951 มหารานีก็ประสูติโอรสองค์หนึ่ง ได้รับพระนามว่า ทาโมทร ราว (Damodar Rao) แต่แล้วพระโอรสอยู่มาได้เพียงสี่เดือนก็สิ้นพระชนม์ มหาราชาแห่งฌานสีจึงทรงรับเลี้ยง อานันท์ ราวซึ่งเป็นบุตรของลูกพี่ลูกน้อง เป็นพระโอรสบุญธรรมแทน อานันท์ ราวถูกเปลี่ยนชื่อเป็นทาโมทร ราว ก่อนหน้าที่มหาราชาคงคาธร ราวจะสิ้นพระชนม์ พระองค์มีพระประสงค์ให้มหารานีลักษมีบายเป็นผู้สืบอำนาจการปกครองไปตลอดพระชนมชีพ และให้ทำนุบำรุงพระโอรสบุญธรรมให้สืบทอดบัลลังก์ เรื่องดังกล่าวได้ลิขิตไว้เป็นลายลักษณ์อักษรประทานให้แก่เจ้าหน้าที่ทางการของอังกฤษคนหนึ่ง ครั้นเมื่อมหาราชาสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1853 มหารานีลักษมีบายจึงได้ปกครองฌานสีสืบต่อ

ตามคำบอกเล่าของวิษณุ ภัฏฏ์ โคฑเส มหารานีจะทรงออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก เล่นมวยปล้ำ และขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวางก่อนกระยาหารเช้าเป็นประจำ พระนางทรงเฉลียวฉลาดและทรงแต่งกายเรียบง่าย ทรงปกครองในลักษณะเหมือนนักธุรกิจ

ทว่าทางบริษัทอินเดียตะวันออกไม่ยอมรับการปกครองของมหารานี และด้วยเห็นว่าเจ้าชายทาโมทรหรืออานันท์ ราวผู้นี้เป็นเพียงพระโอรสบุญธรรม จึงไม่ยอมรับให้สืบทอดบัลลังก์ด้วย และต้องการผนวกแคว้นเข้าสู่ดินแดนของตน มหารานีทรงต่อต้าน แต่ในภายหลังก็จำยอมต้องรับสินบำนาญ 60,000 รูปี และทรงถูกสั่งให้ออกจากพระราชวังไป

เกิดกบฏอินเดีย

10 พฤษภาคม ค.ศ. 1857 เกิดกบฏอินเดียขึ้น ซึ่งรู้จักกันในอีกนามหนึ่งว่า กบฏซีปอย

คำว่า “ซีปอย” ในที่นี้หมายถึงทหารราบปืนเล็กยาวหน่วยหนึ่ง ซึ่งบริษัทอินเดียตะวันออกเกณฑ์มาเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ ทหารซีปอยที่ว่านี้ได้เริ่มลุกฮือขึ้นที่เมืองเมรัฐ (Meerut) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเดลี จากนั้นก็ลุกลามมาเป็นลำดับสู่พื้นที่ลุ่มแม่น้ำคงคาและอินเดียกลาง

สาเหตุของการกบฏมีที่มาจากความระหองระแหงระหว่างทหารซีปอยกับบริษัทอินเดียตะวันออกซึ่งสั่งสมมานาน และบานปลายจนกระทั่งทหารซีปอยคนหนึ่งชื่อปาณเฑย์ ใช้ปืนยิงผู้บังคับบัญชาชาวบริเตน เขาจึงถูกจับประหารชีวิต ส่งผลให้เหล่าทหารซีปอยไม่พอใจและพากันก่อจลาจลขึ้นมา

เมื่อได้ทราบข่าวกบฏ มหารานีแห่งฌานสีก็ทรงร้องขอทางการอังกฤษให้อนุญาตให้พระนางจัดตั้งกองกำลังรักษาพระองค์ และคุ้มครองพลเมืองจากความเสียหายของสงคราม ซึ่งอังกฤษก็ยินยอม

ครั้นเมื่อการกบฏลุกลามมาจนถึงอาณาเขตฌานสี พวกทหารกบฏได้สังหารทหารฝ่ายบริติชราชไปจำนวนหนึ่ง มหารานีลักษมีบายถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการสังหารหมู่ครั้งนี้ด้วย แม้ว่าพระนางจะไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ไม่นานต่อมากษัตริย์สององค์จากแคว้นข้างเคียงก็เข้ามาร่วมโจมตีฌานสีด้วย มหารานีทรงจำเป็นต้องปกป้องพลเมืองของพระนางเอง จึงทรงร้องขอให้ทางบริติชราชส่งกำลังเสริมมาช่วย แต่ก็ถูกปฏิเสธ

เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นใดอีก มหารานีจึงต้องหันเข้าหาพวกกบฏทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกไม่เต็มพระทัยจะกบฏเลยแม้แต่น้อย

เข้าร่วมกบฏ

การตัดสินพระทัยของมหารานีแห่งฌานสีที่จะเข้าร่วมฝ่ายกบฏ ทำให้ฝ่ายอังกฤษเดือดดาลมาก จึงโต้ตอบด้วยการบุกเข้ายึดเมืองฌานสีและถล่มป้อมปราการ

การโจมตีเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 1858 ฝ่ายฌานสีต่อสู้ปกป้องปราการอย่างสุดกำลัง มหารานีส่งคนไปขอกำลังเสริมจากตาเตีย โตเป ซึ่งนำทัพมาช่วยฌานสีจำนวน 20,000 นาย ทว่าไม่สำเร็จ เพราะถูกรบสกัดไว้โดยกำลังทหารอังกฤษในวันที่ 31 มีนาคม

ครั้นวันที่ 2 เมษายนทหารอังกฤษบุกเข้าเมืองได้ มหารานีจึงทรงล่าถอยจากวังเข้าไปยังป้อมปราการ ในท้ายที่สุดโดยคำแนะนำจากผู้ใกล้ชิด ก็ตัดสินพระทัยว่าไม่มีประโยชน์ที่จะป้องกันเมืองต่อ จึงทรงมุ่งหน้าไปสมทบกับตาเตีย โตเป โดยย้ายฐานที่มั่นไปยังเมืองกัลป์ปี

ผลของสงคราม

ขอเล่าอย่างรวบรัดถึงผลของสงครามว่า หลังจากนั้นมหารานีกับพรรคพวกก็แตกพ่ายจากเมืองกัลปีหลบหนีไปกวาลิยัร ครั้งนี้เรียกได้ว่าจนตรอกแล้ว ในที่สุดหลังจากที่ยืนหยัดต่อสู้จนเฮือกสุดท้าย มหารานีลักษมีบายแห่งฌานสีผู้ตกจากหลังม้าทรงและได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง พระโลหิตโซมกาย ก็ถูกนายทหารฝ่ายตรงข้ามปลงพระชนม์ได้ในที่สุด ขณะพระชนมายุได้ 29 ชันษาเท่านั้น

เรื่องราวถูกจดจำ

ยี่สิบปีหลังจากนั้น นายทหารอังกฤษชื่อพันเอกมาลลิซัน ได้เขียนเกี่ยวกับพระนางไว้ในหนังสือชื่อว่า History of the Indian Mutiny ว่า

"ไม่ว่าพระนางจะผิดสถานใดในสายตาพวกบริติช แต่พลเมืองของพระนางเองจะจดจำไว้ว่าทรงถูกบีบคั้นจากการกระทำเชิงข่มเหงจนต้องหันเข้าสู่การกบฏ และจดจำว่าทรงมีพระชนม์อยู่เพื่อชาติ และสละพระชนม์เพื่อชาติ เรามิอาจลืมคุณูปการของพระนางต่ออินเดียได้เลย"

แน่นอนว่าหลังจากนั้น มหารานีแห่งฌานสีไม่เคยถูกลืมเลือน มีนวนิยายและภาพยนตร์จำนวนมากมายนับสิบเรื่องที่สร้างขึ้นจากประวัติชีวิตของพระนาง

เนื่องจากปีนี้เป็นปีฉลองอิสรภาพปีที่ 75 ของสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งรัฐบาลอินเดียได้ตั้งชื่องานสมโภชไว้อย่างสวยงามว่า Azadi ka Amrit Mahotsav ดังที่ก่อนหน้านี้เคยอธิบายไว้แล้วครั้งหนึ่งว่าหมายถึง "งานฉลอง 75 ปี อมฤตแห่งอิสรภาพ" จึงจำเป็นต้องเน้นย้ำให้เห็นว่า

อิสรภาพอันหอมหวานเปรียบปานน้ำอมฤต ที่ชาวอินเดียพึงทะนุบำรุงให้ยืนยาวต่อไปนั้น เบื้องหลังแห่งการได้มาซึ่งอิสรภาพดังกล่าวต้องผ่านการเสียสละของคนมากมาย และมหารานีแห่งฌานสีก็เป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น ซึ่งยินยอมเสียสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อปกป้องเพื่อนร่วมชาติของตนจากความอยุติธรรมและการกดขี่ข่มเหง
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย