เพลง Bhag Bhag re Bhag Firangi
“Bhag Bhag re Bhag Firangi, Jhansi ki Rani aayi hai!” (จงหนีไปเถิดพวกฝรั่ง รานีแห่งฌานสีมาแล้ว) เป็นเพลงประกอบซีรีส์เรื่อง Jhansi ki Rani ทางช่อง Zee TV ในปี ค.ศ. 2009
เพลง Bhag Bhag re Bhag Firangi
“Bhag Bhag re Bhag Firangi, Jhansi ki Rani aayi hai!” (จงหนีไปเถิดพวกฝรั่ง รานีแห่งฌานสีมาแล้ว) เป็นเพลงประกอบซีรีส์เรื่อง Jhansi ki Rani ทางช่อง Zee TV ในปี ค.ศ. 2009
8 มีนาคม มีความสำคัญอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเป็นวันสตรีสากล (International Women’s Day) ซึ่งเป็นวันที่ทั่วโลกจะมารำลึกถึงคุณงามความดีของสตรีทั้งในแง่ของความสำเร็จด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แน่นอนว่าประเทศอินเดียเองก็เป็นประเทศที่ให้กำเนิดสตรีผู้ยิ่งใหญ่มาแล้วมากมายหลายคนตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อันยาวนาน
รายการปกิณกะอินเดียจึงขอร่วมระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของสตรีเหล่านั้น โดยนำเสนอเรื่องราวของวีรสตรีท่านหนึ่งที่มีนามว่า ลักษมีบาย หรือ มหารานีแห่งฌานสี ผู้เป็นที่จดจำในฐานะผู้นำกองทัพต่อต้านบริติชราชในเหตุการณ์กบฏอินเดีย ปี ค.ศ. 1857 (Indian Rebellion of 1857) และได้สละพระชนมชีพในสมรภูมิ ต่อไปนี้เราจะเล่าเรื่องราวของพระนางให้ฟังโดยสังเขป
มหารานีแห่งฌานสี มีพระนามโดยประสูติว่า มณิกรรณิกา ตามเพ (Manikarnika Tambe) ประสูติเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1828 ในตระกูลวรรณะย่อยของพราหมณ์ที่เรียกว่า “กฒาเฑ” เป็นตระกูลปกครองเมืองพาราณสี (Benares) ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในแคว้นกาศี-พาราณสี ปัจจุบันอยู่ในมลรัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของอินเดีย
บิดาของพระนางชื่อโมโรปันต์ ตามเพ มารดาชื่อภาคีรถี สเปร (Bhagirathi Sapre) เสียชีวิตตั้งแต่กุมารีมณิกรรณิกายังอายุได้ 4 ขวบเท่านั้น ดังนั้นบิดาจึงเป็นผู้ดูแลมาโดยตลอด
บิดาโมโรปันต์ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพภายใต้การนำของเปศวา พาชี ราว ที่สอง ซึ่งเป็นผู้ปกครองหุ่นเชิดแห่งแคว้นมราฐา ในขณะนั้นกุมารีมณิกรรณิกาได้รับการศึกษาในวัยเยาว์ที่บ้าน และมีอิสระมากกว่าเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน กิจกรรมต่าง ๆ ที่เธอทำในวัยเด็ก รวมไปถึงการหัดขี่ม้า ยิงธนู ฟันดาบ และเล่นกายกรรมผาดโผนบนไม้สูงที่เรียกว่า “มัลลขัมพะ” ร่วมกับเพื่อนในวัยเด็กของเธอซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาย สองคนในนั้นที่ในภายหลังได้มีตำแหน่งสำคัญในการสู้รบปลดแอกเมื่อปี 1857 ด้วยนั้น ได้แก่ นานา สาหิบ บุตรเลี้ยงของเปศวา พาชี ราว ที่สอง และ ตาเตีย โตเป ผู้บัญชาการกองทัพที่มีความสามารถที่สุดในเหล่าแม่ทัพกบฏอินเดีย
การถูกเลี้ยงดูมาในลักษณะนี้ กุมารีมณิกรรณิกาจึงกลายเป็นสาวหัวก้าวหน้า เธอคัดค้านขนบล้าสมัยหลายประการในสังคมอินเดียขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับความคาดหวังต่อสตรีเพศ
แม้ว่าในบางครั้งเธอจะเดินทางในเกี้ยวที่มีคนหาม เธอกลับชื่นชอบการควบขี่บนหลังม้ามากกว่า ม้าของเธอหลายตัวมีชื่อบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว เช่น ซารังกี ปาวัน และบดาล โดยเฉพาะตัวหลังที่ชื่อบดาลนั้น นักประวัติศาสตร์ระบุว่า มหารานีได้ทรงม้าตัวนี้ควบหนีออกจากป้อมปราการในปี ค.ศ. 1858
ในปี ค.ศ. 1842 เมื่ออายุได้ 14 ปี มณิกรรณิกาก็เข้าพิธีเสกสมรสกับมหาราชาแห่งฌานสี พระนามว่า คงคาธร ราว เนวัลการ์ (Gangadhar Rao Newalkar) ซึ่งอยู่ในวรรณะเดียวกัน
ขอให้ผู้ฟังสังเกตว่า ผู้ปกครองแคว้นในสมัยโบราณไม่จำเป็นต้องเป็นวรรณะกษัตริย์เสมอไป มีบ้างที่มาจากวรรณะพราหมณ์เช่นในกรณีนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองแคว้นใด ๆ ในสมัยของบริติชราชนั้น จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากทางจักรวรรดิอังกฤษด้วย
ตามธรรมเนียมของแคว้นมราฐาในสมัยนั้น สตรีที่แต่งงานจะได้รับการตั้งชื่อใหม่ให้ มณิกรรณิกาได้รับขนานนามใหม่ว่า ลักษมีบาย และด้วยตำแหน่งมหารานี ต่อไปนี้เราจะเรียกพระนางว่า มหารานีแห่งฌานสี
หลังจากเสกสมรสได้เก้าปี เมื่อ ค.ศ. 1951 มหารานีก็ประสูติโอรสองค์หนึ่ง ได้รับพระนามว่า ทาโมทร ราว (Damodar Rao) แต่แล้วพระโอรสอยู่มาได้เพียงสี่เดือนก็สิ้นพระชนม์ มหาราชาแห่งฌานสีจึงทรงรับเลี้ยง อานันท์ ราวซึ่งเป็นบุตรของลูกพี่ลูกน้อง เป็นพระโอรสบุญธรรมแทน อานันท์ ราวถูกเปลี่ยนชื่อเป็นทาโมทร ราว ก่อนหน้าที่มหาราชาคงคาธร ราวจะสิ้นพระชนม์ พระองค์มีพระประสงค์ให้มหารานีลักษมีบายเป็นผู้สืบอำนาจการปกครองไปตลอดพระชนมชีพ และให้ทำนุบำรุงพระโอรสบุญธรรมให้สืบทอดบัลลังก์ เรื่องดังกล่าวได้ลิขิตไว้เป็นลายลักษณ์อักษรประทานให้แก่เจ้าหน้าที่ทางการของอังกฤษคนหนึ่ง ครั้นเมื่อมหาราชาสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1853 มหารานีลักษมีบายจึงได้ปกครองฌานสีสืบต่อ
ตามคำบอกเล่าของวิษณุ ภัฏฏ์ โคฑเส มหารานีจะทรงออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก เล่นมวยปล้ำ และขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวางก่อนกระยาหารเช้าเป็นประจำ พระนางทรงเฉลียวฉลาดและทรงแต่งกายเรียบง่าย ทรงปกครองในลักษณะเหมือนนักธุรกิจ
ทว่าทางบริษัทอินเดียตะวันออกไม่ยอมรับการปกครองของมหารานี และด้วยเห็นว่าเจ้าชายทาโมทรหรืออานันท์ ราวผู้นี้เป็นเพียงพระโอรสบุญธรรม จึงไม่ยอมรับให้สืบทอดบัลลังก์ด้วย และต้องการผนวกแคว้นเข้าสู่ดินแดนของตน มหารานีทรงต่อต้าน แต่ในภายหลังก็จำยอมต้องรับสินบำนาญ 60,000 รูปี และทรงถูกสั่งให้ออกจากพระราชวังไป
10 พฤษภาคม ค.ศ. 1857 เกิดกบฏอินเดียขึ้น ซึ่งรู้จักกันในอีกนามหนึ่งว่า กบฏซีปอย
คำว่า “ซีปอย” ในที่นี้หมายถึงทหารราบปืนเล็กยาวหน่วยหนึ่ง ซึ่งบริษัทอินเดียตะวันออกเกณฑ์มาเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ ทหารซีปอยที่ว่านี้ได้เริ่มลุกฮือขึ้นที่เมืองเมรัฐ (Meerut) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเดลี จากนั้นก็ลุกลามมาเป็นลำดับสู่พื้นที่ลุ่มแม่น้ำคงคาและอินเดียกลาง
สาเหตุของการกบฏมีที่มาจากความระหองระแหงระหว่างทหารซีปอยกับบริษัทอินเดียตะวันออกซึ่งสั่งสมมานาน และบานปลายจนกระทั่งทหารซีปอยคนหนึ่งชื่อปาณเฑย์ ใช้ปืนยิงผู้บังคับบัญชาชาวบริเตน เขาจึงถูกจับประหารชีวิต ส่งผลให้เหล่าทหารซีปอยไม่พอใจและพากันก่อจลาจลขึ้นมา
เมื่อได้ทราบข่าวกบฏ มหารานีแห่งฌานสีก็ทรงร้องขอทางการอังกฤษให้อนุญาตให้พระนางจัดตั้งกองกำลังรักษาพระองค์ และคุ้มครองพลเมืองจากความเสียหายของสงคราม ซึ่งอังกฤษก็ยินยอม
ครั้นเมื่อการกบฏลุกลามมาจนถึงอาณาเขตฌานสี พวกทหารกบฏได้สังหารทหารฝ่ายบริติชราชไปจำนวนหนึ่ง มหารานีลักษมีบายถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการสังหารหมู่ครั้งนี้ด้วย แม้ว่าพระนางจะไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ไม่นานต่อมากษัตริย์สององค์จากแคว้นข้างเคียงก็เข้ามาร่วมโจมตีฌานสีด้วย มหารานีทรงจำเป็นต้องปกป้องพลเมืองของพระนางเอง จึงทรงร้องขอให้ทางบริติชราชส่งกำลังเสริมมาช่วย แต่ก็ถูกปฏิเสธ
เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นใดอีก มหารานีจึงต้องหันเข้าหาพวกกบฏทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกไม่เต็มพระทัยจะกบฏเลยแม้แต่น้อย
การตัดสินพระทัยของมหารานีแห่งฌานสีที่จะเข้าร่วมฝ่ายกบฏ ทำให้ฝ่ายอังกฤษเดือดดาลมาก จึงโต้ตอบด้วยการบุกเข้ายึดเมืองฌานสีและถล่มป้อมปราการ
การโจมตีเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 1858 ฝ่ายฌานสีต่อสู้ปกป้องปราการอย่างสุดกำลัง มหารานีส่งคนไปขอกำลังเสริมจากตาเตีย โตเป ซึ่งนำทัพมาช่วยฌานสีจำนวน 20,000 นาย ทว่าไม่สำเร็จ เพราะถูกรบสกัดไว้โดยกำลังทหารอังกฤษในวันที่ 31 มีนาคม
ครั้นวันที่ 2 เมษายนทหารอังกฤษบุกเข้าเมืองได้ มหารานีจึงทรงล่าถอยจากวังเข้าไปยังป้อมปราการ ในท้ายที่สุดโดยคำแนะนำจากผู้ใกล้ชิด ก็ตัดสินพระทัยว่าไม่มีประโยชน์ที่จะป้องกันเมืองต่อ จึงทรงมุ่งหน้าไปสมทบกับตาเตีย โตเป โดยย้ายฐานที่มั่นไปยังเมืองกัลป์ปี
ขอเล่าอย่างรวบรัดถึงผลของสงครามว่า หลังจากนั้นมหารานีกับพรรคพวกก็แตกพ่ายจากเมืองกัลปีหลบหนีไปกวาลิยัร ครั้งนี้เรียกได้ว่าจนตรอกแล้ว ในที่สุดหลังจากที่ยืนหยัดต่อสู้จนเฮือกสุดท้าย มหารานีลักษมีบายแห่งฌานสีผู้ตกจากหลังม้าทรงและได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง พระโลหิตโซมกาย ก็ถูกนายทหารฝ่ายตรงข้ามปลงพระชนม์ได้ในที่สุด ขณะพระชนมายุได้ 29 ชันษาเท่านั้น
ยี่สิบปีหลังจากนั้น นายทหารอังกฤษชื่อพันเอกมาลลิซัน ได้เขียนเกี่ยวกับพระนางไว้ในหนังสือชื่อว่า History of the Indian Mutiny ว่า
"ไม่ว่าพระนางจะผิดสถานใดในสายตาพวกบริติช แต่พลเมืองของพระนางเองจะจดจำไว้ว่าทรงถูกบีบคั้นจากการกระทำเชิงข่มเหงจนต้องหันเข้าสู่การกบฏ และจดจำว่าทรงมีพระชนม์อยู่เพื่อชาติ และสละพระชนม์เพื่อชาติ เรามิอาจลืมคุณูปการของพระนางต่ออินเดียได้เลย"
แน่นอนว่าหลังจากนั้น มหารานีแห่งฌานสีไม่เคยถูกลืมเลือน มีนวนิยายและภาพยนตร์จำนวนมากมายนับสิบเรื่องที่สร้างขึ้นจากประวัติชีวิตของพระนาง
เนื่องจากปีนี้เป็นปีฉลองอิสรภาพปีที่ 75 ของสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งรัฐบาลอินเดียได้ตั้งชื่องานสมโภชไว้อย่างสวยงามว่า Azadi ka Amrit Mahotsav ดังที่ก่อนหน้านี้เคยอธิบายไว้แล้วครั้งหนึ่งว่าหมายถึง "งานฉลอง 75 ปี อมฤตแห่งอิสรภาพ" จึงจำเป็นต้องเน้นย้ำให้เห็นว่า
อิสรภาพอันหอมหวานเปรียบปานน้ำอมฤต ที่ชาวอินเดียพึงทะนุบำรุงให้ยืนยาวต่อไปนั้น เบื้องหลังแห่งการได้มาซึ่งอิสรภาพดังกล่าวต้องผ่านการเสียสละของคนมากมาย และมหารานีแห่งฌานสีก็เป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น ซึ่งยินยอมเสียสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อปกป้องเพื่อนร่วมชาติของตนจากความอยุติธรรมและการกดขี่ข่มเหง
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย