อังกฤษได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากอาณานิคมอินเดียหรือไม่
5,154 views
0
0

เพลง Humne Suna Tha Ek Hai Bharat (เราเคยได้ยินมาว่าภารัตเป็นหนึ่งเดียว)
เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Didi ฉายในปี ค.ศ. 1959 นำแสดงโดย สุนีล ทัตต์ (Sunil Dutt) ศุภา โขเฏ (Shubha Khote) และ เฟโรซ ข่าน (Feroz Khan)

อังกฤษได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากอาณานิคมอินเดียหรือไม่

ทำไมคำถามนี้สำคัญ จริง ๆ แล้วมีคำถามหลายประเด็นเกี่ยวกับอาณานิคมอังกฤษในอินเดียที่นักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันมายาวนาน หนึ่งในนั้นคือ อังกฤษได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากอาณานิคมอินเดียหรือไม่

มีนักวิชาการหลายคนโต้แย้งว่า จริง ๆ แล้ว อังกฤษถึงกระทั่งเสียหายทางเศรษฐกิจจากการยึดครองอินเดีย นี่ก็เป็นความเชื่อมาเป็นเวลานาน

ความเชื่อที่ว่าอังกฤษเสียหาย ไม่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการยึดครองอินเดีย ดังนั้นการที่อังกฤษจรรโลงไว้ซึ่งจักรวรรดิในอินเดียจึงหมายถึงความเมตตากรุณาของอังกฤษเอง

ในขณะที่นักวิชาการจำนวนหนึ่งก็มองเช่นเดียวกันว่า อังกฤษเสียประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ที่อังกฤษจรรโลงไว้ซึ่งจักรวรรดิก็ล้วนแต่เป็นเรื่องความเชื่อว่าอารยธรรมของอังกฤษหรือตะวันตกเหนือกว่าอารยธรรมตะวันออกหรืออินเดีย ดังบทกวีอันมีชื่อเสียงของ รัดยาด คิปลิง (Rudyard Kipling) เรื่อง “The White Man’s Burden” (ภาระของคนผิวขาว)

แท้จริงแล้ว อังกฤษได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากอินเดียในบริบทอาณานิคม

ปี ค.ศ. 2016 หนังสือชื่อ A Theory of Imperialism (ทฤษฎีจักรวรรดินิยม) วางขายตามร้านหนังสือเป็นครั้งแรก หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ อุตสา ปัตนายัก (Utsa Patnaik) และ ประภาต ปัตนายัก (Prabhat Patnaik) ซึ่งเป็นคู่สามีภรรยากัน และต่างเป็นนักเศรษฐศาสตร์แนวมาร์กซิสม์ ทั้งคู่เคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยยวาหระลาล เนห์รู ปลดเกษียณเมื่อ ปี ค.ศ. 2010

หนังสือเล่มนี้ถือเป็นเล่มสำคัญ เพราะสาระสำคัญต้องการอธิบายพร้อมกับหลักฐานให้เห็นว่า จริง ๆ แล้ว อังกฤษได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากอินเดียในบริบทอาณานิคม

หนังสือเล่มนี้ใช้ข้อมูลตัวเลขด้านการค้า ภาษี ฯลฯ จำนวนมากมาย ตัวเลขเหล่านี้คือของปี ค.ศ. 1765 ถึง 1938 และในที่สุดก็มาสู่ข้อสรุปที่ว่า จักรวรรดิอังกฤษได้ประโยชน์จากอินเดียไปมากถึง 45 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ถ้านำตัวเลขนี้มาเปรียบเทียบกับจีดีพี (GDP) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสหราชอาณาจักร ก็จะประมาณ 17 เท่า

ประเด็นคือตัวเลขนี้ได้มาอย่างไร นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสองมุ่งไปยังระบบการค้า

ตรงนี้ต้องอธิบายก่อนว่า ก่อนจะบริษัทอินเดียตะวันออกจะเข้ามาในอินเดีย อังกฤษซื้อสินค้าจากอินเดีย สินค้าเหล่านี้ เช่น สิ่งทอ หรือผลผลิตทางเกษตรกรรม เช่น ข้าว การซื้อสินค้าเหล่านี้ก็เป็นไปตามแบบปกติ คือส่วนใหญ่ใช้เครื่องเงินเหมือนกับที่อังกฤษทำกับประเทศอื่น ๆ แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1765 ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่นานนักหลังจากอังกฤษควบคุมอนุทวีปอินเดีย และผูกขาดด้านการค้าของอินเดีย

หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่า ความฉลาดของอังกฤษอยู่ตรงที่การเก็บภาษีของบริษัทอินเดียตะวันออก คือใช้เงินส่วนหนึ่งจากภาษีนี้ประมาณ 1 ส่วน 3 ใช้ซื้อสินค้าอินเดียสำหรับอังกฤษ

นี่คือการปล้นครั้งใหญ่เลย แต่ชาวอินเดียในสมัยนั้นและแม้แต่สมัยนี้ด้วยกลับมิได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ สำหรับคนสมัยนั้นที่เขาไม่รู้เรื่องนี้ก็เพราะคนเก็บภาษีคนหนึ่ง คนซื้อสินค้าอีกคน ถ้าเป็นคนเดียวกันก็อาจจะทำให้รู้ได้ หรือมีโอกาสที่จะรู้ได้มากเลยทีเดียว

สินค้าเหล่านี้ที่ใช้วิธีซื้อแบบนี้ก็นำไปบริโภคที่อังกฤษ อีกส่วนหนึ่งก็ส่งออกต่ออีกครั้ง คือส่งไปที่อื่น หาเงินอีกทอดหนึ่ง ที่สำคัญคือระบบการค้าแบบฉ้อฉลที่ว่านี้สัมพันธ์กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วย

ระบบการค้าแบบฉ้อฉล

หลังจากอังกฤษเข้ามายึดครองอินเดียอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1858 อังกฤษก็ปรับเปลี่ยนระบบใหม่

คราวนี้คืออนุญาตให้พ่อค้าอินเดียส่งออกได้โดยตรงแต่เงินที่ได้มาจากการขายก็ลงเอยที่ลอนดอนอีก ตรงนี้จำต้องขยายความว่า ใครก็ตามที่ประสงค์จะซื้อสินค้าจากอินเดียต้องใช้ “Council Bills” ธนบัตรกระดาษอันเฉพาะเจาะจงออกโดยอังกฤษ ใครจะซื้อ Council Bills ก็ต้องซื้อด้วยทองคำหรือเครื่องเงินจากลอนดอน พ่อค้าจึงใช้ทองคำซื้อ Council Bills เพื่อจะได้ซื้อสินค้าจากอินเดีย เมื่อชาวอินเดียได้ Council Bills มาแล้ว จะนำไปแลกเป็นเงินได้ก็ต้องแลกกับอังกฤษ อังกฤษก็จะจ่ายเงินเป็นสกุลรูปีจากภาษีที่ตนเก็บจากชาวอินเดีย กล่าวอย่างเรียบง่ายคือ ลอนดอนเก็บเครื่องเงินกับทองไว้หมด

ระบบอันฉ้อฉลนี้แหละที่จะอธิบายให้เราเห็นภาพว่า อินเดียได้ดุลการค้า แต่ในบัญชีชาติอินเดียกลับขาดดุล ที่แย่ไปกว่าอีกคือ เมื่อขาดดุลแล้วก็ทำไงต่อ ก็กู้ยืมจากอังกฤษอีก ทำให้การปกครองหนักแน่นขึ้นไปอีก

ที่น่าสนใจอีกคือ จักรวรรดิอังกฤษใช้ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจจัดการประเทศอื่นอีก เพราะความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งทางการทหารอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก และนี่ก็ทำให้ผู้เขียนพรรณนาว่า สงครามที่อังกฤษทำนอกอินเดียมาจากเงินของชาวอินเดีย สงครามนี้รวมถึงการรุกรานจีนด้วย

นัยสำคัญ

เรื่องนี้มีนัยหลายประการ อย่างน้อยที่สุดก็มี 2 ข้อที่น่าคุยกันในวันนี้คือ

1) อังกฤษจะชดใช้ไหม จะขอโทษต่อการกระทำของตน ดังที่ตนสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขอโทษและจ่ายเพื่อชดเชยในสิ่งที่ญี่ปุ่นได้กระทำไว้ในสงครามโลกครั้งที่สอง

2) เราต้องกลับไปทำความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อาณานิคม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับไทย ปีนี้ครบรอบ 150 ปี การเสด็จประพาสอินเดียของรัชกาลที่ 5 เราโชคดีมากที่พระองค์ทรงมุ่งมานะเพื่อที่จะให้ไทยไม่เป็นเมืองขึ้นของชาติใด แน่นอนว่าเราก็ยอมตะวันตกบ้าง แต่นั่นคือสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวเราทั้งสองเป็นคนไทย เรารู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รู้สึกภูมิใจว่าเราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นใคร
_______________

ปีนี้เราจะมีหนังสือเล่มไม่หนามากเรื่อง "เสด็จอินเดีย พ.ศ. 2414 กับภาพสะท้อนประวัติศาสตร์สยามต้นรัชกาลที่ 5"
_______________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย