เพลง Sakht Jaan
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ 83 ฉายในปี ค.ศ. 2021 กำกับโดย กะบีร์ ข่าน (Kabir Khan) นำแสดงโดยรัณวีร์ สิงห์ ภวนานี (Ranveer Singh Bhavnani) และทีปิกา ปาทุโกณ (Deepika Padukone)
เพลง Sakht Jaan
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ 83 ฉายในปี ค.ศ. 2021 กำกับโดย กะบีร์ ข่าน (Kabir Khan) นำแสดงโดยรัณวีร์ สิงห์ ภวนานี (Ranveer Singh Bhavnani) และทีปิกา ปาทุโกณ (Deepika Padukone)
ใครที่เคยไปอินเดียหรือชมภาพยนตร์อินเดียคงเคยเห็นความนิยมชมชอบกีฬาคริกเก็ต (cricket) ในอินเดียมาบ้าง ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ดูจะมีความสุขมากกับการเล่นคริกเก็ต
ถ้ามีโอกาสหรือมีสถานภาพทางการเงินที่ดีก็เล่นกันแบบมีอุปกรณ์ครบถ้วน พูดง่าย ๆ คือลงทุนกันอย่างเต็มที่ ผู้เล่นสองทีมก็ครบ 22 คน
ส่วนที่ยากจนหรือมีโอกาสไม่มากนักก็จะเล่นคริกเก็ตตามตรอกซอกซอย บางครั้งเด็กก็หวดลูกไปสูงและแรงจนกระทั่งไปชนกระจกบ้านแตก อีกสักพักก็จะเห็นเจ้าของบ้านนั้นออกมาโวยวาย บางบ้านถึงกับยึดลูกคริกเก็ตไว้เลยก็มี เพื่อจะให้เด็กเหล่านี้เข็ดหลาบกันบ้าง
ครั้งหนึ่งผมกำลังนั่งรอเพื่อนที่อยู่ร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่งในเดลี ระหว่างรอก็ได้ยินโต๊ะข้าง ๆ คุยกันเรื่องคริกเก็ตอย่างสนุกสนานออกรสมาก แต่ละคนก็มีทฤษฎีเพื่ออธิบายว่าทำไมอินเดียยังต้องปรับปรุงการเล่น ผมเงี่ยหูฟังเสียเพลินช่วงเวลารอคอยผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว เพราะกว่าจะฟังทฤษฎีของแต่ละคนจบ เพื่อนก็เดินเข้ามาทักผมเสียก่อน
นอกจากคริกเก็ตจะเป็นหัวข้อสนทนาสำคัญแล้ว นักคริกเก็ตบางคนก็มีอิทธิพลต่อสไตล์ทรงผมหรือหนวดเคราของวัยรุ่นอินเดียด้วย ตัวอย่างสำคัญคงหนีไม่พ้นนักคริกเก็ตชื่อดังนามวิราฏ โกหลี (Virat Kohli)
ชาวอินเดียไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกประเทศต่างก็ชื่นชอบคริกเก็ตเสียเหลือเกิน ยิ่งทุกวันนี้เทคโนโลยีสื่อล้ำหน้ายิ่งขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งบริโภคกันได้เต็มที่ยิ่งขึ้นเท่านั้น แม้แต่ในกรุงเทพฯ ก็เคยเห็นชาวอินเดียรวมกลุ่มกันปิดผับย่านสุขุมวิท ดื่มด่ำกับอาหารและรายการถ่ายทอดสดคริกเก็ตผ่านดาวเทียม ผมเองก็เคยไปร่วมบ้างบางครั้ง ยิ่งครั้งไหนเป็นการแข่งขันระหว่างอินเดียกับปากีสถานด้วยแล้ว คนจะเยอะเป็นพิเศษ และยิ่งถ้าอินเดียชนะละก็ เต้นรำกันอีกนานเลย
สันนิษฐานกันว่า น่าจะมาจากเกมสำหรับเด็กในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษในช่วงยุคกลาง แต่ก็ใช่ว่านักประวัติศาสตร์ทุกคนจะเห็นด้วยกับเรื่องยุคสมัย บางคนมีความเห็นว่าเกมนี้น่าจะมีมาตั้งแต่ก่อนยุคกลาง
แต่ที่แน่ชัดคือ ในต้นศตวรรษที่ 18 ชาวอังกฤษนี่แหละที่นำคริกเก็ตเข้ามาในอินเดีย
ทว่ากว่านักคริกเก็ตชาวอินเดียจะจัดตั้งสโมสรคริกเก็ตแห่งแรกขึ้นมาได้ก็ปาเข้าไปศตวรรษที่ 19 แล้ว และอีกประการที่ทราบอย่างแน่ ๆ คือในปี ค.ศ. 1928 เป็นครั้งแรกที่ชาวอินเดียได้จัดตั้งคณะกรรมการคริกเก็ตเพื่อสร้างกฎกติกาและควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบ
คงมีหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากคือ การแข่งขันคริกเก็ตเวิลด์คัพ (World Cup) ในปี ค.ศ. 1983 ซึ่งปีดังกล่าวนี้ก็คือที่มาของชื่อเรื่องภาพยนตร์ “83” ที่อยากจะพูดถึงในความเรียงนี้นั่นเอง
ฉายในปี ค.ศ. 2021 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยกะบีร์ ข่าน ดารานำภาพยนตร์ “83” คือ รัณวีร์ สิงห์ ภวนานี และทีปิกา ปาทุโกณ
เรื่องราวโดยสังเขป กปิล เทพ (Kapil Dev) กัปตันทีมคริกเก็ตอินเดีย นำพาทีมอินเดียคว้ารางวัลแชมป์โลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก แม้ว่าทีมอินเดียไม่ใช่ทีมเต็งหนึ่ง ชัยชนะของอินเดียในวันที่ 25 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1983 หมายถึงอินเดียสามารถเอาชนะทีมเวสต์ อินดีส์ (West Indies) ที่ครองแชมป์มาสองสมัยได้
หลังได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วก็บอกได้เลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีเยี่ยม และผลที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีต่อผมอีกคือ ทำให้เข้าใจหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอินเดียในช่วงเวลาที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ที่นั่น
มีเหตุผลอยู่ 3 ข้อ ได้แก่ 1) ภาวะผู้นำ 2) ความอดทน 3) การดำเนินเรื่อง การแสดง และการถ่ายทำ
ประการแรก ภาวะผู้นำ
ผู้นำไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีการศึกษาสูง เพราะมีปริญญาก็มิได้หมายความว่าจะมีปัญญา ภาวะผู้นำของกปิล เทพน่าทึ่งมาก แม้ตนจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ และแม้จะมิใช่นักพูดที่มีความสามารถ แต่ก็มีวิธีการสื่อสารแบบของตน การตักเตือนลูกทีม การให้กำลังใจลูกทีม และการเป็นแบบอย่างที่ดีนี่แหละ คือภาวะผู้นำของกปิล เทพ
ทีมอินเดียที่เดินทางไปอังกฤษในครั้งนี้เป็นทีมที่ไม่มีใครคาดหวังว่าจะชนะ ไม่ว่าสื่อมวลอังกฤษหรือชาวอินเดียต่างก็ดูถูกดูแคลนทีมอินเดีย บ่อยครั้งก็เขียนถึงในแง่ลบ ครั้นเมื่อลูกทีมขอให้กัปตันของตนโต้ตอบบ้าง เขากลับเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะเขาเชื่อมั่นว่าคำตอบที่ดีที่สุดจะมาจากการเล่นคริกเก็ตเท่านั้น พูดง่าย ๆ คือ ก็ต้องเล่นให้ชนะ และชัยชนะนั่นแหละคือคำตอบ
ภาวะผู้นำของกปิล เทพ ที่เห็นได้ชัดอีกคือ การไม่โอ้อวดความสามารถ ก่อนจะถึงรอบชิงชนะเลิศ เขาก็ได้สำแดงให้เห็นแล้วว่าเขาเก่งกาจเพียงใด แต่เขากลับไม่เคยใช้ความเก่งกาจนี้ข่มขู่ลูกทีมหรือทำให้ลูกทีมรู้สึกด้อยค่าแต่อย่างใดเลย ที่เห็นชัดอีกคือ กัปตันทีมคนนี้เข้าใจปัญหาของลูกทีมบางคนเป็นอย่างดี รู้จักว่าควรหรือไม่ควรพูดอะไรเพื่อให้ทีมประสบความสำเร็จ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนบ่งบอกภาวะผู้นำทั้งสิ้น
ประการที่สอง ความอดทน
ทีมคริกเก็ตอินเดียมีความอดทนมาก ไม่ว่าจะเรื่องเงินทองหรือเรื่องส่วนตัว ลูกทีมก็อดทน มุ่งมั่นแต่จะทำให้ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติของตน ฉากรับประทานขนมปังกับอาจาดแบบอินเดีย และฉากที่ลูกทีมคนหนึ่งโดนถอนหมั้นทางโทรศัพท์ ทำให้รู้สึกเคารพความอึดของนักกีฬาเหล่านี้
ที่สำคัญคือ ความเลวร้ายเหล่านี้มิได้นำมาสู่น้ำตาหรือความโศกเศร้าแต่ถ่ายเดียว กลับมีเสียงหัวเราะล้อเล่นอย่างขบขันกับสิ่งที่ตนประสบด้วยซ้ำ ดูแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมชาวอินเดียจึงประสบความสำเร็จในต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ประการที่สาม การดำเนินเรื่อง การแสดง และการถ่ายทำ
สำหรับเหตุผลข้อนี้ ต้องขอปรบมือให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย ทั้งนี้เพราะคุณภาพการผลิตหนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมมาก การทำวิจัยก่อนจะสร้างเรื่องนี้คงใช้เวลาไม่น้อย ผลวิจัยที่ออกมาก็คงมีหลายประเด็นที่น่าสนใจมาก แต่การเลือกว่าจะนำเสนอประเด็นหรือเรื่องราวใดให้เราชมนั้น เรียกได้ว่าทำได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
ดาราแต่ละคนเรียนรู้เรื่องบุคลิกภาพและสไตล์ของนักคริกเก็ตได้ดีมาก ๆ ที่โดดเด่นที่สุดก็ต้องยกให้รัณวีร์ สิงห์ ภวนานี ที่แสดงเป็นกปิล เทพ
การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างสวยงาม ไม่ล่าช้า แต่ละฉากแต่ละตอนล้วนมีอะไรให้ขบคิดตลอดเวลา แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะยาวถึง 2 ชั่วโมง 40 นาที แต่ผมดูจบอย่างมีความสุขมาก
ที่ขาดหายไปจากเรื่องนี้คือ นัยของชัยชนะในการแข่งขันคริกเก็ตเวิลด์คัพ ปี ค.ศ. 1983 ตรงนี้คงจะโทษผู้กำกับไม่ได้ เพราะเขาก็คงได้บรรลุสิ่งที่เขาตั้งใจทำไว้แต่แรกแล้ว
แต่สิ่งที่ผมพอจะจำได้คือ ชัยชนะนี้เปลี่ยนแปลงการเล่นคริกเก็ตอย่างสำคัญยิ่ง ชัยชนะนี้หมายถึงว่า ชาวอินเดียทุกคนขอเพียงมีความพยายามแล้วก็อาจทะยานขึ้นมาเป็นสมาชิกทีมคริกเก็ตของอินเดียได้ ที่ใช้คำว่าทุกคนก็คือไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม
เพราะทีมปี ค.ศ. 1983 มีสมาชิกจากแทบทุกศาสนาในอินเดีย และนี่ย่อมเป็นแหล่งพลังของอินเดียที่ประกอบขึ้นด้วยความหลากหลาย เพราะความหลากหลายคือความแข็งแกร่ง
ชัยชนะครั้งนี้ยังหมายถึงความหวังที่อินเดียจะก้าวหน้าอย่างแข็งขัน จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกดูแคลนอีกต่อไป
ความนิยมชมชอบคริกเก็ตของชาวอินเดียได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
เว็บไซต์แหล่งหนึ่งบอกว่า คริกเก็ตมีมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 50,000 ล้านรูปี (หรือประมาณ 25,000 ล้านบาท) ต่อปี รายได้สวนใหญ่มาจากลีกคริกเก็ตของอินเดียที่มีชื่อทางการเป็นภาษาอังกฤษว่า “Indian Premier League” ตัวเลขมูลค่าเศรษฐกิจที่มาจากกีฬาประเภทอื่น ๆ รวมกันทั้งหมดมีเพียง 7,000 กว่าล้านรูปีเท่านั้น
ตั้งแต่ปีก่อนรัฐบาลอินเดียได้เริ่มเฉลิมฉลอง 75 ปีแห่งการได้รับเอกราช นายกรัฐมนตรีโมดีเรียกว่าการเฉลิมฉลองนี้ว่า “Azadi Ka Amrit Mahotsav” หรือ “งานฉลอง 75 ปี อมฤตแห่งอิสรภาพ”
การเฉลิมฉลองนี้ให้กล่าวถึงบุคคลที่มีบทบาทในการปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ และบุคคลที่นำพาอินเดียก้าวมาถึงทุกวันนี้ ในการเฉลิมฉลองนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะไม่ลืมเหล่านักคริกเก็ตปี ค.ศ. 1983 และบรรดาผู้คนที่ทำให้ทีมนี้ได้ไปแข่งขันจนคว้าชัยชนะให้อินเดียได้อย่างสง่างาม
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย