แนะนำหนังสือ Ashoka: The Search for India’s Lost Emperor
1,404 views
0
0

เพลง Ashoka hai, Ashoka
เป็นเพลงนำเรื่องของซีรีส์ชื่อ Chakravartin Ashoka Samrat ออกอากาศในปี ค.ศ. 2015 โดย Siddharth Nigam รับบทพระเจ้าอโศกมหาราช เขียนบทและอำนวยการผลิตโดย Ashok Banker กำกับโดย Prasad Gavandi

2 เมษายน วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

ในปี พ.ศ. 2565 ทรงเจริญพระชนมายุครบ 67 พรรษา เนื่องในโอกาสอันเป็นดิถีมงคลฤกษ์นี้ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ขอจงทรงจำเริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ พระพลานามัยสมบูรณ์ บำราศโรคาพยาธิทั้งปวง สถิตเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรไปตราบนานเท่านาน

พวกเราในฐานะบุคลากรศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ทั้งนี้เพราะกรมสมเด็จพระเทพรัตน ฯ ทรงมีคุณูปการต่อวงการวิชาการเกี่ยวกับอินเดียเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพระราชอุปนิสัยที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ เมื่อสนพระราชหฤทัยในเรื่องใด ซึ่งก็แทบจะกล่าวได้ว่าเกือบทุกแขนงวิชา ก็ทรงศึกษาและทรงจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยพระองค์เองอย่างเป็นระบบ และทรงมีพระราชดำริในการส่งเสริมและเผยแพร่องค์ความรู้อันมีประโยชน์สู่สาธารณะด้วย

หากจะกล่าวเฉพาะเรื่องอินเดียศึกษา พระองค์ทรงกระทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีด้วยการศึกษาภาษาสันสกฤตจนแตกฉาน ถึงกับได้รับทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลสันสกฤตโลก (World Sanskrit Award) ในปี พ.ศ. 2558

ข้อนี้สะท้อนให้เห็นว่า ทรงจริงจังกับการศึกษามาก เพราะการเรียนภาษาสันสกฤตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากได้เรียนรู้ภาษาสันสกฤตจนเชี่ยวชาญแล้ว ก็จะต่อยอดสู่การศึกษาเกี่ยวกับอินเดียในเบื้องลึกได้ เพราะสันสกฤตเป็นภาษาแห่งสรรพวิทยาการในอินเดีย

โดยอาศัยแรงบันดาลใจที่พวกเราได้รับจากกรมสมเด็จพระเทพรัตน ฯ ผู้ทรงเป็นนักการศึกษาและทรงรักการอ่านเขียนเป็นอย่างยิ่ง เราจึงได้จัดทำมุมห้องสมุด “จุฬา ฯ ภารัตคดีสถาน” ขึ้น ด้วยหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่และรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับอินเดีย เพื่อสาธารณประโยชน์

ผู้ฟังที่ติดตามรายการมาตลอดคงทราบดีอยู่แล้วว่า มุมห้องสมุดนี้ได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 และในปัจจุบันก็ยังคัดเลือกหนังสือเกี่ยวกับอินเดียที่มีคุณภาพเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ

นอกจากนี้พวกเราเมื่อได้หนังสือที่น่าสนใจ ควรจะแนะนำให้รู้จักและไปตามอ่าน พวกเราก็จะเขียนบทแนะนำหนังสือนั้นออกเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก สำหรับเรื่องที่จะพูดในวันนี้ มาจากบทแนะนำหนังสือชื่อ “Ashoka: The Search for India’s Lost Emperor”

หนังสือ Ashoka: The Search for India’s Lost Emperor

เขียนโดย ชาร์ลส์ อัลเลน (Charles Allen)

ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2012 ฉบับนี้ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2014 จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ABACUS

หนังสือ Ashoka: The Search for India’s Lost Emperor เขียนโดย Charles Allen

ปกติหนังสือเกี่ยวกับพระเจ้าอโศกมหาราชนับได้ว่าเป็นหนังสือที่ชาวไทยให้ความสนใจมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะสำหรับชาวไทยจำนวนมากแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าอโศกทำให้เราเรียนรู้เรื่องพุทธธรรมเชิงปฏิบัติได้มากเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หนังสือนี้มิใช่เรื่องพระราชประวัติของพระเจ้าอโศกแต่อย่างใด

ฉะนั้นก่อนจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ขอให้ณัฐช่วยเล่าพระราชประวัติของพระเจ้าอโศกโดยสังเขปก่อน

พระเจ้าอโศกมหาราช

พระเจ้าอโศกทรงเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เมารยะ (Mauryan) ของอินเดีย

เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าจันทรคุปตะ เมารยะ (Chandragupta Maurya) ผู้ซึ่งได้เสด็จเถลิงราชสมบัติในแคว้นมคธ (Magadha) เมื่อ 321 ปีก่อนคริสตกาล

ตามพระราชหัตถเลขาที่พระเจ้าอโศกทรงบันทึกไว้เอง ในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์ได้ทรงพิชิตดินแดนกลิงคะ (Kalinga) ซึ่งก็คือรัฐโอริสสา (Orissa) ในปัจจุบัน โดยรวมแล้ว นับตั้งแต่ 270 ปีก่อนคริสตกาลถึง 233 ปีก่อนคริสตกาล

พระเจ้าอโศกทรงปกครองแทบทุกส่วนของอนุทวีปอินเดีย ยกเว้นส่วนปลายสุดทางใต้เท่านั้น อาณาจักรของพระองค์กว้างใหญ่กว่าผู้ปกครองชาวอินเดียคนใดก่อนหน้า

นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระเดชานุภาพของพระองค์แผ่ขยายออกไปในต่างประเทศ สู่ศรีลังกาและผ่านพรมแดนที่ไกลที่สุดของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน

ความทุกข์ทรมานจากสงครามที่เกิดขึ้นแก่ผู้คนที่พ่ายแพ้ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกสำนึกผิด และแล้วก็ทรงละทิ้งการพิชิตด้วยอาวุธ ในช่วงเวลานี้เองที่ได้ทรงเข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธศาสนา และทรงน้อมนำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติ

พระองค์ตัดสินพระทัยทรงดำเนินชีวิตและเผยแผ่ธรรมะตามหลักพุทธศาสนาพร้อมทั้งอุทิศพระองค์รับใช้ราษฎรและมนุษยชาติทั้งมวล

หลักธรรมทางสังคมของพระองค์รวมถึงความซื่อสัตย์สุจริต ความจริงใจ ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตากรุณา อหิงสา ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา ฯลฯ ในการทรงปฏิบัติธรรมอย่างแข็งขัน พระเจ้าอโศกได้เสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรในชนบท ทรงเทศนาธรรมและบรรเทาทุกข์ของพสกนิกร และรับสั่งให้ข้าราชการระดับสูงกระทำเช่นเดียวกัน อีกทั้งทรงกำชับข้าราชการฝ่ายปกครองให้คอยเอาใจใส่สุขทุกข์ของชาวบ้านอยู่เสมอ

พระเจ้าอโศกโปรดให้บรรดาข้าราชการกราบทูลถวายรายงานความเป็นอยู่ของผู้คนให้ทรงทราบอยู่เนือง ๆ งานด้านสาธารณูปโภคที่เป็นสาธารณประโยชน์ในรัชสมัยของพระองค์ก็เช่น การสร้างสถานพยาบาลสำหรับคนและสัตว์ การปลูกต้นไม้ในสถานที่ต่าง ๆ การขุดบ่อน้ำ และอื่น ๆ รวมถึงการก่อสร้างเพิงรดน้ำและบ้านพัก นอกจากนี้ยังออกพระราชโองการห้ามทารุณสัตว์ด้วย

ในเรื่องพหุนิยมก็สำคัญมาก พระเจ้าอโศกจะตรัสเรื่องพระพุทธศาสนากับชาวพุทธเท่านั้น สำหรับผู้นับถือศาสนาอื่นนั้น ทรงเคารพผู้คนเหล่านั้นและทรงรับประกันว่าพสกนิกรทุกคนจะมีเสรีภาพเต็มที่ในการดำรงชีวิตของตน พร้อมกับทรงตักเตือนทุกคนให้ละเว้นการวิพากษ์วิจารณ์มุมมองของผู้อื่นในทางลบอย่างรุนแรง

ทั้งหมดนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นประจักษ์ว่า ความรุ่งโรจน์เพียงประการเดียวที่พระองค์ทรงแสวงหาคือการได้นำพาผู้คนเดินตามหนทางแห่งธรรม

การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าอโศกตามมาด้วยการล่มสลายของอาณาจักรเมารยะ

ความทรงจำเกี่ยวกับพระเจ้างอโศกคือความพยายามของพระองค์ในการบรรลุหลักธรรมแห่งการปกครองอันสูงส่งที่ทรงศรัทธาอย่างถ่องแท้

การสืบค้นเรื่องพระเจ้าอโศกในศตวรรษที่ 18

ทีนี้มาว่ากันในส่วนของหนังสือบ้าง สร้อยชื่อ "The Search for India’s Lost Emperor" หมายถึง การสืบค้นเรื่องพระเจ้าอโศกอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 18

เมื่อนักวิชาการอังกฤษเดินทางเข้าไปในอินเดีย อัลเลนผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าในศตวรรษที่ 18 นอกจากจะไม่มีวัดวาอารามของชาวพุทธหลงเหลือแล้ว สิ่งที่หาไม่ได้เช่นกันคือชาวพุทธหรือวรรณกรรมเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดีย

เช่นเดียวกับหนังสือหลายเล่มของอัลเลน เล่มนี้บอกเราว่าชาวอังกฤษประสบความสำเร็จในการสืบค้นเรื่องพระเจ้าอโศกอย่างไรบ้าง การที่นักวิชาการอังกฤษได้ค้นพบเรื่องพระเจ้าอโศกโดยละเอียดนั้น เปิดขอบเขตให้อัลเลนได้พูดถึงความสำเร็จของอังกฤษในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอินเดีย

ที่หนังสือเล่มนี้ทำให้ตื่นเต้นมากเป็นพิเศษคือ การค้นพบเรื่องพระเจ้าอโศกนั้นแท้จริงแล้วควบคู่ไปกับการค้นพบเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับพระพุทธประวัติไปพร้อม ๆ กันซึ่งมาจากขนบประเพณี และเรื่องเล่าจำนวนมากมาจากแหล่งวรรณกรรมและโบราณคดีเดียวกัน

เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็จะรู้สึกประทับใจกับคุณสมบัติอันน่าทึ่งมากมายที่นักวิชาการด้านตะวันออกศึกษาชาวอังกฤษได้นำมาซึ่งข้อมูลและความรู้

ที่น่าทึ่งอีกคือ แรกเริ่มเดิมทีนักวิชาการเหล่านี้ไม่มีใครรู้ภาษาใด ๆ ของอินเดียเลยก่อนที่พวกเขาจะมาถึง นักวิชาการที่ขยันที่สุดก็เช่น วิลเลียม โจนส์ (William Jones) ผู้ซึ่งไม่ยอมปล่อยให้เวลาสูญเปล่า รีบเสาะหาพราหมณ์มาอบรมฝึกฝนภาษาให้

ความกระหายใคร่รู้ของนักวิชาการเหล่านี้ทำให้พวกเขาต้องเดินทางไกลเพื่อสังเกตภูมิทัศน์ สัตว์ พืช และผู้คน นักวิชาการเหล่านี้มุ่งมั่นเก็บบันทึกรายละเอียดไว้ในสมุดบันทึกอย่างจริงจัง พวกเขายินดีตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเพื่อค้นหาข้อมูลสำคัญ ๆ รวมถึงจารึกของพระเจ้าอโศก

สารัตถะหลายส่วนในหนังสือเล่มนี้นำเสนอไว้ได้ละเอียดยิ่ง บางตอนผู้เขียนเจาะจงไปยังภูมิหลังของนักวิชาการเหล่านี้ และวิถีการหาข้อมูลของพวกเขา เช่น หลายคนมีภูมิหลังการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ บ้างก็เป็นช่างเขียนแบบ สัญชาตญาณและภูมิหลังการศึกษาทำให้พวกเขาเริ่มทำตารางเวลาประวัติศาสตร์อินเดียอย่างจริงจัง นอกจากนี้พวกเขาก็ยังใช้ข้อมูลที่พวกเขาได้มาจากที่อื่น เช่น จีน ศรีลังกา เพื่อศึกษาและตรวจสอบว่าข้อมูลที่พวกเขามีนั้นแม่นยำมากน้อยเพียงใด องค์ความรู้มิได้จบอยู่เพียงเรื่องตารางเวลาประวัติศาสตร์ หรือพุทธประวัติ หรือประวัติของพระเจ้าอโศกเท่านั้น คนเหล่านี้ยังได้ร่วมกันจำแนกกลุ่มภาษาต่าง ๆ ในอินเดียด้วย

ที่น่าสนใจมากคือ นักวิชาการเหล่านี้พยายามต่อสู้กับฝ่ายปกครองชาวอังกฤษที่ไม่เห็นความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทว่านักวิชาการเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จในระดับสำคัญ นอกจากจะสร้างฐานความรู้แล้ว ยังช่วยปกป้องซากโบราณสถานและสิ่งประดิษฐ์สำคัญ ๆ ของอินเดียไว้ได้มากมาย

จึงชวนให้ครุ่นคิดตามที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ นั่นคือ นักวิชาการด้านตะวันออกศึกษาชาวยุโรปยุคนั้นต้องเลวร้ายเหมือนกันหมดดังที่เอ็ดเวิร์ด ซาอิด (Edward Said) ได้กล่าวไว้แบบคลุม ๆ หรือไม่ ความริษยาหรือการแข่งขันระหว่างกันเพื่อหาความรู้และสร้างชื่อเสียงให้ตนเองคงเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง แต่นักวิชาการด้านตะวันออกศึกษาชาวอังกฤษที่อัลเลนได้กล่าวถึงก็หาได้เป็นเช่นนั้นไปเสียทั้งหมดไม่

ประวัติผู้เขียน

ชื่อเต็มคือ ชาร์ลส์ โรบิน อัลเลน (Charles Robin Allen) เกิดในเมืองกานปูร์ (Kanpur)

สาเหตุที่เกิดในอินเดีย เพราะครอบครัวของเขาทำงานในอินเดีย รับราชการภายใต้รัฐบาลอังกฤษมา 6 รุ่น งานเขียนของเขามีมากมาย มีงานเชิงประวัติศาสตร์อินเดียรวมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย