เพลง Ashoka hai, Ashoka
เป็นเพลงนำเรื่องของซีรีส์ชื่อ Chakravartin Ashoka Samrat ออกอากาศในปี ค.ศ. 2015 โดย Siddharth Nigam รับบทพระเจ้าอโศกมหาราช เขียนบทและอำนวยการผลิตโดย Ashok Banker กำกับโดย Prasad Gavandi
เพลง Ashoka hai, Ashoka
เป็นเพลงนำเรื่องของซีรีส์ชื่อ Chakravartin Ashoka Samrat ออกอากาศในปี ค.ศ. 2015 โดย Siddharth Nigam รับบทพระเจ้าอโศกมหาราช เขียนบทและอำนวยการผลิตโดย Ashok Banker กำกับโดย Prasad Gavandi
ในปี พ.ศ. 2565 ทรงเจริญพระชนมายุครบ 67 พรรษา เนื่องในโอกาสอันเป็นดิถีมงคลฤกษ์นี้ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ขอจงทรงจำเริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ พระพลานามัยสมบูรณ์ บำราศโรคาพยาธิทั้งปวง สถิตเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรไปตราบนานเท่านาน
พวกเราในฐานะบุคลากรศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ทั้งนี้เพราะกรมสมเด็จพระเทพรัตน ฯ ทรงมีคุณูปการต่อวงการวิชาการเกี่ยวกับอินเดียเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพระราชอุปนิสัยที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ เมื่อสนพระราชหฤทัยในเรื่องใด ซึ่งก็แทบจะกล่าวได้ว่าเกือบทุกแขนงวิชา ก็ทรงศึกษาและทรงจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยพระองค์เองอย่างเป็นระบบ และทรงมีพระราชดำริในการส่งเสริมและเผยแพร่องค์ความรู้อันมีประโยชน์สู่สาธารณะด้วย
หากจะกล่าวเฉพาะเรื่องอินเดียศึกษา พระองค์ทรงกระทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีด้วยการศึกษาภาษาสันสกฤตจนแตกฉาน ถึงกับได้รับทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลสันสกฤตโลก (World Sanskrit Award) ในปี พ.ศ. 2558
ข้อนี้สะท้อนให้เห็นว่า ทรงจริงจังกับการศึกษามาก เพราะการเรียนภาษาสันสกฤตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากได้เรียนรู้ภาษาสันสกฤตจนเชี่ยวชาญแล้ว ก็จะต่อยอดสู่การศึกษาเกี่ยวกับอินเดียในเบื้องลึกได้ เพราะสันสกฤตเป็นภาษาแห่งสรรพวิทยาการในอินเดีย
โดยอาศัยแรงบันดาลใจที่พวกเราได้รับจากกรมสมเด็จพระเทพรัตน ฯ ผู้ทรงเป็นนักการศึกษาและทรงรักการอ่านเขียนเป็นอย่างยิ่ง เราจึงได้จัดทำมุมห้องสมุด “จุฬา ฯ ภารัตคดีสถาน” ขึ้น ด้วยหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่และรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับอินเดีย เพื่อสาธารณประโยชน์
ผู้ฟังที่ติดตามรายการมาตลอดคงทราบดีอยู่แล้วว่า มุมห้องสมุดนี้ได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 และในปัจจุบันก็ยังคัดเลือกหนังสือเกี่ยวกับอินเดียที่มีคุณภาพเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ
นอกจากนี้พวกเราเมื่อได้หนังสือที่น่าสนใจ ควรจะแนะนำให้รู้จักและไปตามอ่าน พวกเราก็จะเขียนบทแนะนำหนังสือนั้นออกเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก สำหรับเรื่องที่จะพูดในวันนี้ มาจากบทแนะนำหนังสือชื่อ “Ashoka: The Search for India’s Lost Emperor”
เขียนโดย ชาร์ลส์ อัลเลน (Charles Allen)
ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2012 ฉบับนี้ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2014 จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ABACUS
ปกติหนังสือเกี่ยวกับพระเจ้าอโศกมหาราชนับได้ว่าเป็นหนังสือที่ชาวไทยให้ความสนใจมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะสำหรับชาวไทยจำนวนมากแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าอโศกทำให้เราเรียนรู้เรื่องพุทธธรรมเชิงปฏิบัติได้มากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม หนังสือนี้มิใช่เรื่องพระราชประวัติของพระเจ้าอโศกแต่อย่างใด
ฉะนั้นก่อนจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ขอให้ณัฐช่วยเล่าพระราชประวัติของพระเจ้าอโศกโดยสังเขปก่อน
พระเจ้าอโศกทรงเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เมารยะ (Mauryan) ของอินเดีย
เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าจันทรคุปตะ เมารยะ (Chandragupta Maurya) ผู้ซึ่งได้เสด็จเถลิงราชสมบัติในแคว้นมคธ (Magadha) เมื่อ 321 ปีก่อนคริสตกาล
ตามพระราชหัตถเลขาที่พระเจ้าอโศกทรงบันทึกไว้เอง ในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์ได้ทรงพิชิตดินแดนกลิงคะ (Kalinga) ซึ่งก็คือรัฐโอริสสา (Orissa) ในปัจจุบัน โดยรวมแล้ว นับตั้งแต่ 270 ปีก่อนคริสตกาลถึง 233 ปีก่อนคริสตกาล
พระเจ้าอโศกทรงปกครองแทบทุกส่วนของอนุทวีปอินเดีย ยกเว้นส่วนปลายสุดทางใต้เท่านั้น อาณาจักรของพระองค์กว้างใหญ่กว่าผู้ปกครองชาวอินเดียคนใดก่อนหน้า
นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระเดชานุภาพของพระองค์แผ่ขยายออกไปในต่างประเทศ สู่ศรีลังกาและผ่านพรมแดนที่ไกลที่สุดของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน
ความทุกข์ทรมานจากสงครามที่เกิดขึ้นแก่ผู้คนที่พ่ายแพ้ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกสำนึกผิด และแล้วก็ทรงละทิ้งการพิชิตด้วยอาวุธ ในช่วงเวลานี้เองที่ได้ทรงเข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธศาสนา และทรงน้อมนำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติ
พระองค์ตัดสินพระทัยทรงดำเนินชีวิตและเผยแผ่ธรรมะตามหลักพุทธศาสนาพร้อมทั้งอุทิศพระองค์รับใช้ราษฎรและมนุษยชาติทั้งมวล
หลักธรรมทางสังคมของพระองค์รวมถึงความซื่อสัตย์สุจริต ความจริงใจ ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตากรุณา อหิงสา ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา ฯลฯ ในการทรงปฏิบัติธรรมอย่างแข็งขัน พระเจ้าอโศกได้เสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรในชนบท ทรงเทศนาธรรมและบรรเทาทุกข์ของพสกนิกร และรับสั่งให้ข้าราชการระดับสูงกระทำเช่นเดียวกัน อีกทั้งทรงกำชับข้าราชการฝ่ายปกครองให้คอยเอาใจใส่สุขทุกข์ของชาวบ้านอยู่เสมอ
พระเจ้าอโศกโปรดให้บรรดาข้าราชการกราบทูลถวายรายงานความเป็นอยู่ของผู้คนให้ทรงทราบอยู่เนือง ๆ งานด้านสาธารณูปโภคที่เป็นสาธารณประโยชน์ในรัชสมัยของพระองค์ก็เช่น การสร้างสถานพยาบาลสำหรับคนและสัตว์ การปลูกต้นไม้ในสถานที่ต่าง ๆ การขุดบ่อน้ำ และอื่น ๆ รวมถึงการก่อสร้างเพิงรดน้ำและบ้านพัก นอกจากนี้ยังออกพระราชโองการห้ามทารุณสัตว์ด้วย
ในเรื่องพหุนิยมก็สำคัญมาก พระเจ้าอโศกจะตรัสเรื่องพระพุทธศาสนากับชาวพุทธเท่านั้น สำหรับผู้นับถือศาสนาอื่นนั้น ทรงเคารพผู้คนเหล่านั้นและทรงรับประกันว่าพสกนิกรทุกคนจะมีเสรีภาพเต็มที่ในการดำรงชีวิตของตน พร้อมกับทรงตักเตือนทุกคนให้ละเว้นการวิพากษ์วิจารณ์มุมมองของผู้อื่นในทางลบอย่างรุนแรง
ทั้งหมดนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นประจักษ์ว่า ความรุ่งโรจน์เพียงประการเดียวที่พระองค์ทรงแสวงหาคือการได้นำพาผู้คนเดินตามหนทางแห่งธรรม
การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าอโศกตามมาด้วยการล่มสลายของอาณาจักรเมารยะ
ความทรงจำเกี่ยวกับพระเจ้างอโศกคือความพยายามของพระองค์ในการบรรลุหลักธรรมแห่งการปกครองอันสูงส่งที่ทรงศรัทธาอย่างถ่องแท้
ทีนี้มาว่ากันในส่วนของหนังสือบ้าง สร้อยชื่อ "The Search for India’s Lost Emperor" หมายถึง การสืบค้นเรื่องพระเจ้าอโศกอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 18
เมื่อนักวิชาการอังกฤษเดินทางเข้าไปในอินเดีย อัลเลนผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าในศตวรรษที่ 18 นอกจากจะไม่มีวัดวาอารามของชาวพุทธหลงเหลือแล้ว สิ่งที่หาไม่ได้เช่นกันคือชาวพุทธหรือวรรณกรรมเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดีย
เช่นเดียวกับหนังสือหลายเล่มของอัลเลน เล่มนี้บอกเราว่าชาวอังกฤษประสบความสำเร็จในการสืบค้นเรื่องพระเจ้าอโศกอย่างไรบ้าง การที่นักวิชาการอังกฤษได้ค้นพบเรื่องพระเจ้าอโศกโดยละเอียดนั้น เปิดขอบเขตให้อัลเลนได้พูดถึงความสำเร็จของอังกฤษในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอินเดีย
ที่หนังสือเล่มนี้ทำให้ตื่นเต้นมากเป็นพิเศษคือ การค้นพบเรื่องพระเจ้าอโศกนั้นแท้จริงแล้วควบคู่ไปกับการค้นพบเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับพระพุทธประวัติไปพร้อม ๆ กันซึ่งมาจากขนบประเพณี และเรื่องเล่าจำนวนมากมาจากแหล่งวรรณกรรมและโบราณคดีเดียวกัน
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็จะรู้สึกประทับใจกับคุณสมบัติอันน่าทึ่งมากมายที่นักวิชาการด้านตะวันออกศึกษาชาวอังกฤษได้นำมาซึ่งข้อมูลและความรู้
ที่น่าทึ่งอีกคือ แรกเริ่มเดิมทีนักวิชาการเหล่านี้ไม่มีใครรู้ภาษาใด ๆ ของอินเดียเลยก่อนที่พวกเขาจะมาถึง นักวิชาการที่ขยันที่สุดก็เช่น วิลเลียม โจนส์ (William Jones) ผู้ซึ่งไม่ยอมปล่อยให้เวลาสูญเปล่า รีบเสาะหาพราหมณ์มาอบรมฝึกฝนภาษาให้
ความกระหายใคร่รู้ของนักวิชาการเหล่านี้ทำให้พวกเขาต้องเดินทางไกลเพื่อสังเกตภูมิทัศน์ สัตว์ พืช และผู้คน นักวิชาการเหล่านี้มุ่งมั่นเก็บบันทึกรายละเอียดไว้ในสมุดบันทึกอย่างจริงจัง พวกเขายินดีตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเพื่อค้นหาข้อมูลสำคัญ ๆ รวมถึงจารึกของพระเจ้าอโศก
สารัตถะหลายส่วนในหนังสือเล่มนี้นำเสนอไว้ได้ละเอียดยิ่ง บางตอนผู้เขียนเจาะจงไปยังภูมิหลังของนักวิชาการเหล่านี้ และวิถีการหาข้อมูลของพวกเขา เช่น หลายคนมีภูมิหลังการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ บ้างก็เป็นช่างเขียนแบบ สัญชาตญาณและภูมิหลังการศึกษาทำให้พวกเขาเริ่มทำตารางเวลาประวัติศาสตร์อินเดียอย่างจริงจัง นอกจากนี้พวกเขาก็ยังใช้ข้อมูลที่พวกเขาได้มาจากที่อื่น เช่น จีน ศรีลังกา เพื่อศึกษาและตรวจสอบว่าข้อมูลที่พวกเขามีนั้นแม่นยำมากน้อยเพียงใด องค์ความรู้มิได้จบอยู่เพียงเรื่องตารางเวลาประวัติศาสตร์ หรือพุทธประวัติ หรือประวัติของพระเจ้าอโศกเท่านั้น คนเหล่านี้ยังได้ร่วมกันจำแนกกลุ่มภาษาต่าง ๆ ในอินเดียด้วย
ที่น่าสนใจมากคือ นักวิชาการเหล่านี้พยายามต่อสู้กับฝ่ายปกครองชาวอังกฤษที่ไม่เห็นความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทว่านักวิชาการเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จในระดับสำคัญ นอกจากจะสร้างฐานความรู้แล้ว ยังช่วยปกป้องซากโบราณสถานและสิ่งประดิษฐ์สำคัญ ๆ ของอินเดียไว้ได้มากมาย
จึงชวนให้ครุ่นคิดตามที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ นั่นคือ นักวิชาการด้านตะวันออกศึกษาชาวยุโรปยุคนั้นต้องเลวร้ายเหมือนกันหมดดังที่เอ็ดเวิร์ด ซาอิด (Edward Said) ได้กล่าวไว้แบบคลุม ๆ หรือไม่ ความริษยาหรือการแข่งขันระหว่างกันเพื่อหาความรู้และสร้างชื่อเสียงให้ตนเองคงเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง แต่นักวิชาการด้านตะวันออกศึกษาชาวอังกฤษที่อัลเลนได้กล่าวถึงก็หาได้เป็นเช่นนั้นไปเสียทั้งหมดไม่
ชื่อเต็มคือ ชาร์ลส์ โรบิน อัลเลน (Charles Robin Allen) เกิดในเมืองกานปูร์ (Kanpur)
สาเหตุที่เกิดในอินเดีย เพราะครอบครัวของเขาทำงานในอินเดีย รับราชการภายใต้รัฐบาลอังกฤษมา 6 รุ่น งานเขียนของเขามีมากมาย มีงานเชิงประวัติศาสตร์อินเดียรวมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย