ทายาทจักรพรรดิโมกุลขอคืนป้อมแดง
2,406 views
0
0

เพลง Aye Watan Tere Liye
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Karma ฉายในปี ค.ศ. 1986 กำกับโดยสุภาษ ฆาย (Subhash Ghai) ดารานำก็ระดับมือพระกาฬ เช่น ทิลิป กุมาร (Dilip Kumar) นูตัน (Nutan) แจคกี ชรอฟฟ์ (Jackie Shroff), อนิล กะปูร์ (Anil Kapoor) เพลงนี้ขับร้องโดย โมฮัมมัด อาซิซ (Mohammad Aziz) และกวิตา กฤษณมูรติ (Kavita Krishnamurthy) แต่ที่เปิดให้ฟังก็เป็นเสียงของกวิตา กฤษณมูรติเท่านั้น

เพลงนี้ใจความประมาณว่า เพื่อชาติทำได้หมด ไม่ว่าจะต้องสละชีพก็ตาม ซึ่งก็มีเนื้อหาสาระตรงกับประเด็นเรื่องชาตินิยมที่เราจะพูดในตอนท้ายรายการ

ทายาทของจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โมกุล

เรื่องมีอยู่ว่าสตรีที่มีนามว่า ซุลตานา เบเกิ้ม (Sultana Begum) อายุ 68 ปี ผู้กล่าวว่าตนคือทายาทของจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โมกุล (Mughal)

จริง ๆ แล้วคำนี้สะกดเป็นมุฆัล (Mughal) อ่านว่า มุฆัล ก็ได้ แต่วันนี้เราจะใช้คำว่า โมกุล เพื่อไม่ให้ผู้ฟังสับสน

ประเด็นสำคัญคือ ซุลตานา เบเกิ้ม ต้องการให้รัฐบาลอินเดียคืนป้อมแดง (Red Fort) ให้เธอ เพราะเธอคือผู้มีกรรมสิทธิ์ในการครอบครองป้อมแดง

ซุลตานา เบเกิ้ม (Sultana Begum) คือใคร

เธอบอกว่าเธอคือ ภรรยาของมีรซา โมฮัมมัด เบดาร์ บัฆต์ (Mirza Mohammad Bedar Bakht) พระปนัดดาหรือเหลนของ บาฮาดูร์ ชาห์ ซะฟาร์ (Bahadur Shah Zafar) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์โมกุลที่พ่ายแพ้ต่ออังกฤษอย่างราบคาบ

จักรพรรดิบาฮาดูร์ ชาห์ ซะฟาร์ หรือ บาฮาดูร์ ชาห์ ที่สอง (Bahadur Shah II)

ทรงเป็นกวี นักดนตรี และ ลิปิกร (Calligrapher) เป็นผู้ที่ทรงโปรดสุนทรียศาสตร์มากกว่าเป็นผู้นำทางการเมือง

จริง ๆ แล้ว จักรพรรดิบาฮาดูร์ ชาห์ ซะฟาร์ จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โมกุล ก็ไม่ได้ทรงพระราชอำนาจอะไรอยู่แล้ว

พระองค์ทรงลังเลมากในเหตุการณ์กบฏอินเดียในปี ค.ศ. 1857-58 ไม่ได้มีพระราชดำริจะเข้าร่วมต่อต้านอังกฤษ แต่ผู้นำของกบฏบีบให้พระองค์ต้องทรงเข้าร่วม หลังจากการจลาจลเสร็จสิ้นลง อังกฤษก็จับกุมพระองค์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1857 พระองค์ทรงถูกดำเนินคดี และทรงถูกเนรเทศให้เสด็จพร้อมพระบรมวงศ์ไปประทับที่พม่า พระองค์สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1862 พระศพก็ถูกฝังที่ย่างกุ้ง ก่อนสิ้นพระชนม์ก็ทรงยากจนแล้ว

ที่น่าสังเกตคือ อังกฤษทำแบบนี้กับกษัตริย์พม่าชื่อตี้บอ (Thibaw – สมัยก่อนคนไทยเรียกพระเจ้าสีป่อ ตามการถ่ายอักษรแบบไทย) ด้วย หลังจากอังกฤษยึดพม่าทางบนได้สำเร็จ ก็เนรเทศให้ไปประทับที่อินเดีย ณ ป้อมรัตนคีรี (Ratnagiri Fort) ในมหาราษฏระ (Maharashtra) จนพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1916

ข้อเรียกร้องของซุลตานา เบเกิ้ม

ซุลตานา เบเกิ้ม กล่าวว่าการสิ้นพระชนม์ของ มีรซา โมฮัมมัด เบดาร์ บัฆต์ ในปี ค.ศ. 1980 ทำให้เธอตกระกำลำบาก มีสถานภาพยากจน อยู่รอดไปวัน ๆ ในสลัมในชานเมืองโกลกาตา (Kolkata) ด้วยเงินบำนาญอันน้อยนิด ประมาณ 6,000 รูปี หรือ 2,800 บาทต่อเดือน

เธออยู่กับหลาน ๆ ของเธอในที่ที่ค่อนข้างแคบ ต้องใช้ครัวร่วมกับข้างบ้าน เธอเคยเปิดร้านขายชา ทว่าตอนขยายถนนแถวนั้น เธอก็ต้องยกเลิกกิจการไป เธอไม่มีทรัพย์สินอะไรมากมายมีไว้ในครอบครองเพราะสถานภาพยากจน หนึ่งในสิ่งที่เธอครอบครองไว้คือหลักฐานการเสกสมรสระหว่างเธอกับมีรซา โมฮัมมัด เบดาร์ บัฆต์

ดังนั้นแล้ว เธอจึงขอเรียกร้องความยุติธรรม เธอต่อสู้ทางกฎหมาย และก็ให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อให้ผู้คนที่เห็นอกเห็นใจเธอช่วยรณรงค์เรื่องนี้

ทางกฎหมายเธอต้องการให้ศาลยอมรับว่า รัฐบาลอินเดียเป็นผู้ครอบครองป้อมแดงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แท้จริงแล้วป้อมแดงต้องเป็นของเธอ คือก็ต้องส่งต่อกันมาและเธอคือทายาทที่เป็นผู้ครอบครองป้อมแดง โดยสรุปแล้ว เธอคือผู้มีกรรมสิทธิ์ที่ชอบธรรม (rightful) ของป้อมแดง

ข้อโต้แย้งของเธอเรียบง่าย ของของใครก็คืนให้เขาสิ

สำหรับสื่อและผู้คนทั่วไป เธอก็ตั้งคำถามง่าย ๆ เลยว่า “พวกคุณพอนึกภาพออกไหมว่าผู้สืบสกุลของจักรพรรดิที่สร้างทัชมาฮาลตอนนี้มีชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้น” เธอกล่าวต่อด้วยว่า “ดิฉันหวังว่ารัฐบาลจะให้ความยุติธรรมแก่ดิฉัน”

การตัดสินของศาล

ช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2021 ศาลในเดลีปฏิเสธคำร้องของเธอ กล่าวด้วยว่าเป็น “การเสียเวลาอย่างมาก” ทว่าศาลก็ไม่ได้กล่าวอะไรอันเกี่ยวกับความเป็นทายาทจักรพรรดิโมกุลของซุลตานา เบเกิ้ม

สิ่งที่ศาลกล่าวถึงคือ ฝ่ายกฎหมายของซุลตานา เบเกิ้ม ไม่อาจให้เหตุผลว่าทำไมลูกหลานของบาฮาดูร์ ชาห์ ซะฟาร์จึงไม่เคยเรียกร้องแบบนี้ในช่วง 150 ปีนับตั้งแต่พระองค์ทรงถูกเนรเทศไปพม่า

ป้อมแดงสำคัญอย่างไร

ป้อมแดงเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Red Fort ภาษาฮินดีคือ Lal Qila สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 เป็นปราสาทที่กว้างใหญ่ในเดลี ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของอำนาจโมกุล

จักรพรรดิชาห์ ญะฮาน (Shah Jahan) ทรงมีพระราชโองการให้ก่อสร้างป้อมแดงเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ปีค.ศ. 1638 เมื่อพระองค์ทรงตัดสินพระทัยย้ายเมืองหลวงจากอาคราไปยังกรุงเดลี

แรกเริ่มเดิมทีเป็นสีแดงและสีขาว มาจากการออกแบบโดยสถาปนิกชื่ออุสตาด อาหมัด ละโฮรี (Ustad Ahmad Lahori) ผู้สร้างทัชมาฮาลเช่นกัน ป้อมปราการแสดงถึงจุดสูงสุดในสถาปัตยกรรมโมกุลในรัชสมัยชาห์ญะฮาน และผสมผสานสถาปัตยกรรมพระราชวังเปอร์เซียกับประเพณีอินเดียได้อย่างงดงามยิ่ง

ประวัติศาสตร์ป้อมแดงมีรายละเอียดมากกว่านี้ เช่น ป้อมปราการถูกปล้นผลงานศิลปะและอัญมณีระหว่างการบุกโจมตีจักรวรรดิโมกุลของนาดีร์ ชาห์ (Nadir Shah) ในปี ค.ศ. 1739 เช่น โครงสร้างหินอ่อนส่วนใหญ่ของป้อมปราการถูกทำลายในเวลาต่อมาโดยชาวอังกฤษหลังจากเหตุการณ์กบฏอินเดียในปี ค.ศ. 1857 เช่น กำแพงป้องกันของป้อมปราการส่วนใหญ่ไม่ได้รับความเสียหาย และต่อมาจึงใช้ป้อมปราการเป็นกองทหารรักษาการณ์ ถ้าวันไหนมีโอกาส เราจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในอินเดียในรายการของเรา และแน่นอนต้องพูดถึงป้อมแดงอย่างแน่นอน

ความสำคัญของป้อมแดงในฐานะสัญลักษณ์ของเอกราชอินเดีย

15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 อินเดียได้รับเอกราชอย่างเป็นทางการจากอังกฤษ

บัณทิต ยวาหระลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ได้ชักธงชาติอินเดียขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประตูละโฮรี (Lahori)

ในวันประกาศอิสรภาพของอินเดีย (15 สิงหาคม) ของทุกปี นายกรัฐมนตรีจะชักธงไตรรงค์ (Tiranga) ของอินเดียขึ้นเหนือประตูหลักของป้อม และกล่าวสุนทรพจน์ที่เผยแพร่ไปทั่วประเทศจากเชิงเทินของป้อม กล่าวได้ว่าขนบที่ทำกันมา 74 ปีนี้ ตอกย้ำภาพของเอกราชอินเดียจากอังกฤษ

ความสำคัญของป้อมแดงในฐานะสัญลักษณ์เอกราชอินเดีย คงทำให้การเรียกร้องของซุลตานา เบเกิ้ม ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ ทั้งนี้ต้องอย่าลืมด้วยว่า หากศาลเห็นชอบกับข้อโต้แย้งของซุลตานา เบเกิ้ม ก็หมายความว่าจะมีการเรียกร้องแบบนี้อีก และในที่สุดสถาปัตยกรรมโมกุลเกือบทั้งหมดก็จะเป็นประเด็นอย่างแน่นอน

แต่ซุลตานา เบเกิ้มก็ยังไม่ละทิ้งความพยายาม นายวิเวก โมเร (Vivek More) ทนายความของเธอ กล่าวว่ากระบวนการทางกฎหมายยังไม่สิ้นสุด กล่าวคือ คงจะสู้ทางกฎหมายต่อไป เท่าที่ทราบก็เข้าสู่กระบวนการอุทธรณ์แล้ว แต่ถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย