เอ. พี. เจ. อับดุล กาลาม : รัตนบุรุษแห่งอินเดีย
2,979 views
0
0

เพลง Lakshya
เป็น Title Track ของภาพยนตร์ Lakshya ฉายในปี ค.ศ. 2004 นำแสดงโดย หฤถิก โรชัน (Hrithik Roshan) เปรตี ซินตา (Preity Zinta) และอมิตาภ พัจจัน (Amitabh Bachchan) ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย ฟาร์ฮาน อัคตาร์ (Farhan Akhtar)

คำว่า "Lakshya" (लक्ष्य) มาจากภาษาสันสกฤต คำนี้ใช้ในหลายภาษาและวัฒนธรรมของอินเดีย สำหรับภาษาฮินดีมีความหมาย การเล็ง การตั้งเป้าประสงค์

เพลงนี้ก็ให้ความหมายที่น่าสนใจ เช่น ส่วนที่เราเปิดให้ฟังมีใจความว่า
haan yehi rasta hai tera ใช่แล้ว นี่คือหนทางของเจ้า
tune ab jaana hai ขณะนี้ เจ้ารู้แล้ว
haan yehi sapna hai tera ใช่แล้ว นี่คือความฝันของเจ้า
tune pehchana hai เจ้าตระหนักรับรู้แล้ว
tujhe ab ye dikhaana hai ต่อจากนี้เจ้าจะสำแดงให้เห็น

ครั้นเมื่อจะพูดถึง เอ. พี. เจ. อับดุล กาลาม (APJ Abdul Kalam) อดีตประธานาธิบดีอินเดียที่น่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ก็อดใจไม่ได้ที่จะเปิดเพลงนี้ ก่อนอื่นใด เราต้องขอขอบคุณแฟนรายการคนหนึ่งที่เขียนมาขอให้เราพูดถึง เอ. พี. เจ. อับดุล กาลาม ดังที่เราเคยบอกไว้แล้วหลายครั้งว่า หากประสงค์จะให้เราพูดเรื่องใดเกี่ยวกับอินเดีย เราทั้งสองยินดีอย่างยิ่ง ทั้งนี้ก็คงจะไม่ใช่ทุกเรื่องเกี่ยวกับอินเดีย เพราะบางเรื่องก็อาจจะไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของเรา

ชีวประวัติของอับดุล กาลาม

ชื่อจริงของท่านคือ A. P. J. Abdul Kalam หรือ อะวุล ปากีร์ ไชนุลับดีน อับดุล กาลาม (Avul Pakir Jainulabdeen Abdul Kalam)

เกิดวันที่ 15 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1931 บ้านเกิดของท่านคือ ราเมศวรัม (Rameswaram) เป็นเทศบาลในอำเภอรามนาถปุรัม (Ramanathapuram) รัฐทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) ประเทศอินเดีย

ได้รับปริญญาด้านวิศวกรรมการบินจาก สถาบันเทคโนโลยีแห่งมะดราส (Madras Institute of Technology) และในปี ค.ศ. 1958 ได้เข้าทำงานที่องค์กรด้านกลาโหมที่สำคัญของอินเดีย ชื่อองค์กรนี้คือ Defense Research and Development Organisation หรือที่ชาวอินเดียนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า DRDO

DRDO สถาปนาขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 นับเป็นองค์กรด้านการพัฒนาและวิจัยที่สำคัญของกระทรวงกลาโหมอินเดีย

ปี ค.ศ. 1969 ท่านย้ายไปทำงานที่ Indian Space Research Organisation หรือ ISRO ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการของ SLV-III ซึ่งเป็นยานเกราะปล่อยดาวเทียมคันแรกที่ได้รับการออกแบบและผลิตในอินเดีย

ISRO สถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1969 อยู่ภายใต้กรมอวกาศ ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี

ได้รับฉายาว่า Missile Man

ปี ค.ศ. 1982 กลับมาทำงานกับ DRDO อีกครั้ง ครั้งนี้ท่านเป็นบุคคลสำคัญที่สุดที่วางแผนโครงการผลิตขีปนาวุธที่ประสบความสำเร็จจำนวนหนึ่ง ทำให้ได้รับฉายาว่า "Missile Man" มนุษย์ขีปนาวุธหรือบุรุษขีปนาวุธ

ในบรรดาความสำเร็จทั้งหลาย คงปฏิเสธมิได้ว่า อัคนี (Agni) ประสบความสำเร็จที่สุด อัคนีเป็นขีปนาวุธพิสัยกลางรุ่นแรกของอินเดีย ผนวกไว้ซึ่งลักษณะต่าง ๆ ของ SLV-III และเปิดตัวในปี 1989 ภายในเวลาอีกไม่นานก็จะมีปฤถิวี (Prithvi) ตามมาอีก

ปี 1992-1997 เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้คำปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์

ปี 1999-2001 ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์หลักให้รัฐบาลโดยมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี

ผลงานสำคัญ

Technology Vision 2020
ปี ค.ศ. 1998 กาลามได้สร้างผลงานสำคัญคือได้เสนอแผนระดับประเทศที่เรียกว่า “Technology Vision 2020” เขาอธิบายว่าเป็นแผนงานในการเปลี่ยนอินเดียจากสังคมที่ด้อยพัฒนาไปสู่สังคมที่พัฒนาแล้วใน 20 ปี แผนดังกล่าวเรียกร้องให้มีการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร โดยเน้นใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือให้อินเดียเติบโตทางเศรษฐกิจ และขยายการเข้าถึงการดูแลสุขภาพและการศึกษา

ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์
บทบาทที่โดดเด่นของกาลามถัดมาคือการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศในปี ค.ศ. 1998 การทดสอบนี้ทำให้อินเดียมีสถานภาพแข็งแกร่งขึ้นในฐานะประเทศอาวุธนิวเคลียร์ ด้วยการทดลองนี้ กาลามกลายเป็นวีรบุรุษของชาติ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธมิได้ว่า การทดสอบดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลอย่างมากในประชาคมระหว่างประเทศ

เป็นประธานาธิบดีของอินเดีย

ปี ค.ศ. 2002 พันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติของอินเดีย หรือ National Democratic Alliance (NDA) ได้เสนอให้กาลามดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากนายโกเจริล รามัน นารายณัน (Kocheril Raman Narayanan) ประธานาธิบดีชาวทลิตคนแรกของอินเดีย (เราเคยจัดรายการในหัวข้อนี้แล้ว)

การนำเสนอชื่อนี้แท้จริงแล้วมาจากกลุ่มชาตินิยมฮินดู แต่กลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติของอินเดียก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไร ตรงนี้น่าสนใจไม่น้อย กล่าวคือ กลุ่มชาตินิยมฮินดูเสนอชื่ออับดุล กาลาม ผู้นับถือศาสนาอิสลามให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แม้แต่พรรคคองเกรสที่เป็นฝ่ายค้านก็สนับสนุน

ที่เป็นเช่นนี้เพราะประวัติการทำงานของท่านเพื่อประเทศชาตินั้นโดดเด่นมากเป็นพิเศษ

และแล้วกาลามก็ชนะเลือกตั้ง เข้าสาบานตนดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 11 ของสาธารณรัฐอินเดียในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2002

ในระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ท่านได้สำแดงให้เห็นว่าท่านคือ “ประธานาธิบดีของประชาชน” ทัศนคติที่อ่อนน้อมถ่อมตนและให้ความเคารพต่อผู้คนนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งมาก

เมื่อวาระท่านจบลงในปี ค.ศ. 2007 ท่านก็กลับมาใช้ชีวิตพลเรือนธรรมดาคนหนึ่ง

ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนแปลงอินเดีย

สิ่งที่ท่านไม่อาจละทิ้งได้คือความมุ่งมั่นที่จะใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อแปลงอินเดียไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ในการไปบรรยายให้เด็กนักเรียน นักศึกษาในมหาวิทยาลัย และอีกหลายแห่ง

วันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ท่านล้มลงขณะบรรยายที่สถาบันการจัดการแห่งอินเดียชิลลอง (Indian Institute of Management Shillong) และเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นหลังจากนั้นไม่นาน ร่างของท่านถูกนำไปฝังที่บ้านเกิดของท่านคือที่ราเมศวรัม รัฐบาลจัดงานศพให้ท่านได้อย่างสมเกียรติยิ่ง

อับดุล กาลามได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงปัทมภูษัณ (Padma Bhushan) ในปี ค.ศ. 1981 ปัทมวิภูษัณ (Padma Vibhushan) ในปี ค.ศ. 1990 และภารัตรัตนะ (Bharat Ratna) ในปี ค.ศ. 1997 อันหลังคืออิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดสำหรับพลเรือนจากรัฐบาลอินเดีย

ความประทับใจถึงอับดุล กาลาม

เมื่อทราบว่ารายการของเราจะพูดเรื่องท่านอับดุล กาลาม เราจึงขอ นางสุจิตรา ดูไร เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ช่วยเขียนความประทับใจเกี่ยวกับท่านอับดุล กาลาม ท่านเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยได้ว่า
_______________

ดร. เอ พี เจ อับดุล กาลาม เป็นคนพิเศษ เกิดและเติบโตในครอบครัวที่สมถะเรียบง่ายในราเมศวรัม รัฐทมิฬนาฑู ชื่นชอบทั้งการเรียนรู้และการสอนมาทั้งชีวิต ในฐานะวิศวกรการบินรุ่นเยาว์ ดร. กาลามเข้าทำงานที่องค์กรวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย จากนั้นย้ายไปที่องค์การวิจัยและพัฒนาการป้องกันประเทศ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงการขีปนาวุธของอินเดีย ต่อมาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลอินเดีย และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 11 ของอินเดียในปี ค.ศ. 2002

ด้วยเหตุที่ท่านซึมซับเรื่องจิตวิญญาณอันลึกซึ้งตั้งแต่วัยเด็กในฐานะลูกชายของอิหม่ามในเมืองแสวงบุญที่มีชุมชนทางศาสนาสามแห่ง ได้แก่ ฮินดู มุสลิม คริสเตียน อาศัยอยู่อย่างกลมกลืน อับดุล กาลามได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอินเดียที่ประสานกันในการอยู่ร่วม ท่านไม่เพียงแต่เพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อที่จะสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ท่านยังชื่นชอบศิลปะอีกด้วย ท่านฝึกฝนการเล่นเครื่องดนตรีคลาสสิกอย่างวีณาเป็นประจำ อีกทั้งเขียนบทกวีทมิฬ และอ่านเพื่อหาความรู้อย่างไม่หยุดยั้งตลอดชีวิต ท่านเชื่อมั่นว่าเด็ก ๆ คืออนาคตของอินเดีย และเป็นสิ่งสำคัญที่จะ “จุดประกายความคิดของพวกเขา” และเน้นย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในความก้าวหน้าโดยรวมของอินเดีย ท่านทำให้ราษฏรปติภวัน สถานพำนักของประธานาธิบดีอินเดีย เป็นพื้นที่ที่สามัญชนเข้าถึงได้

แม้ว่าท่านจะดำรงตำแหน่งสูงสุดในประเทศ แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยไม่มีการโอ้อวดใด ๆ ผู้คนสามารถเข้าถึงได้และเข้าถึงได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นที่รู้จักในฐานะประธานาธิบดีของประชาชน

ดิฉันโชคดีที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับท่านสองครั้ง สมัยที่ท่านเป็นที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในช่วงต้นทศวรรษ 1990 และต่อมาในปี ค.ศ. 2015 ในทั้งสองครั้ง ท่านเป็นคนใจดีและเป็นคนอดทน และความสามารถพิเศษของท่านก็ส่องประกายออกมา ท่านจะเป็นที่จดจำในฐานะบุตรแห่งอินเดียผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งตลอดไป
_______________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย