วันที่ 30 เมษายน 2565
เพลง Ho Sadho (โอ้ เหล่าผู้แสวงหาเอ๋ย)
เพลงที่ได้รับฟังไปนั้นเป็นเพลงแนวภักติที่มีชื่อว่า Ho Sadho (โอ้ เหล่าผู้แสวงหาเอ๋ย) เนื้อเพลงมีปรัชญาที่ลึกซึ้งมาก และมีดนตรีอันไพเราะยิ่ง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ผู้ฟังได้ดื่มด่ำกับเพลงนี้จนจบความยาวประมาณห้านาทีครึ่ง แต่เนื่องจากเวลามีจำกัดเราจึงเปิดได้เพียงท่อนแรกเท่านั้น บทเพลงนี้ประพันธ์ขึ้นจากกาพย์ของกะบีร์ สำหรับท่อนที่เปิดไปนั้น คัดมาบางบรรทัดจากฉบับเต็ม มีเนื้อความดังนี้
Ho Saadho! Yah tan thaath tambure kaa
โอ้ เหล่าผู้แสวงหาเอ๋ย กายนี้คือพิณตันปุระอันยอดเยี่ยม
Panch tatwa ka banaa hai tambura taar lagaa nau toore kaa
ประกอบขึ้นจากธาตุห้า ผูกโยงกันด้วยเสียงสะท้อนทั้งเก้า
Enchat taar marodat khuuntee
เมื่อขันสายให้ตึง ปรับเกลียวลูกบิดให้เหมาะ
Niksat raag hajure kaa, ho saadho!
กายนี้ก็จะขับขานบทเพลงแห่งพระผู้เป็นเจ้า โอ้ เหล่าผู้แสวงหาเอ๋ย
ท่านกะบีร์ผู้ประพันธ์กาพย์บทนี้ได้อุปมากายสังขารของมนุษย์เป็นดั่งพิณตันปุระที่มีส่วนต่าง ๆ กล่าวคือธาตุห้ามาประกอบกันเข้าและมีการแสดงออกด้วยอารมณ์ทั้งเก้า เมื่อปรับจูนทุกสิ่งให้เหมาะสมลงตัวแล้วก็จะดีดเป็นเพลงบูชาพระเจ้าได้อย่างไพเราะ ซึ่งมีนัยถึงการบ่มเพาะจิตใจให้ระลึกถึงและภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า บทกวีต่อจากนี้ทิ้งท้ายด้วยการกล่าวถึงความสูญสลายของร่างกายและการที่เราไม่พึงยึดติดกับร่างกายนี้ ซึ่งหากขบคิดพิจารณาแล้วแนวคิดดังกล่าวดูจะเข้ากับปรัชญาของหลายศาสนาอย่างชาญฉลาดยิ่ง
เรื่องราวของกะบีร์ กวีเอกผู้ประพันธ์กาพย์ทางจิตวิญญาณได้อย่างลึกซึ้งกินใจ เขาเป็นใครมาจากไหน ทำไมจึงมีอิทธิพลต่อวงการกวี เพลง และปรัชญาอินเดียมากถึงเพียงนี้
ท่านกะบีร์หรือนามเต็มว่า กะบีร์ ทาส (Kabir Das) เป็นมหากวียุคศตวรรษที่ 15 มีชื่อเสียงจากการประพันธ์กวีนิพนธ์ทางจิตวิญญาณ และด้วยคำว่าทางจิตวิญญาณนี้ ขอให้ทราบว่าเราจะไม่ยึดโยงกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งนี้เพราะอัตลักษณ์ของกะบีร์เองก็ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเขานับถือศาสนาใด

เป็นที่ทราบกันว่า เขาวิพากษ์วิจารณ์บรรดาศาสนาที่จัดตั้งเป็นระบบ (Organized Religions) และตั้งคำถามมากมายต่อการปฏิบัติอันไร้แก่นสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลับหูหลับตาปฏิบัติตามหลักศาสนา ที่อาจจะตีความเอาเองโดยขาดปัญญาและโดยไม่ไตร่ตรองถึงหลักจริยธรรม
สิ่งที่กะบีร์วิพากษ์นั้นมีทั้งหลักปฏิบัติศาสนาฮินดูและศาสนาอิสลามเลยทีเดียว ดังนั้นในสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ ปรากฏว่าเขาถูกท้าทายและข่มขู่จากศาสนิกของทั้งสองฝั่ง แต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตไปแล้ว กลับกลายเป็นว่า ศาสนิกจากทั้งสองฝ่ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเขากลับถกเถียงกันว่ากะบีร์เป็นผู้นับถือศาสนาของตน ไม่เพียงแต่มีอิทธิพลต่อฮินดูและอิสลาม กวีนิพนธ์บางบทของกะบีร์ยังถูกรวมไว้ในสิริคุรุครันถสาหิบ คัมภีร์ของศาสนาซิกข์อีกด้วย
ปรัชญาของกะบีร์ละทิ้งการยึดมั่นศรัทธากับศาสนาในฐานะองค์กรจัดตั้งที่มีรูปแบบตายตัว ทว่ามุ่งเน้นการขัดเกลาตัวตนและจิตวิญญาณ
และบุคคลที่เข้าถึงความจริงอันสูงสุดได้นั้นคือบุคคลที่ดำรงอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง มองทุกสิ่งบนโลกกอปรด้วยทิพยภาวะ และละทิ้งอหังการ คือความมัวเมาในตัวตนของตนเองว่าเป็นศูนย์กลางจักรวาลหรือเป็นใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด
หากผู้ฟังเคยสังเกตดูจะพบว่า ไม่ว่าปรัชญา ฮินดู พุทธ ซิกข์ หรืออิสลาม ต่างก็ประณามอหังการว่าเป็นบาปอย่างร้ายแรง
มีหลายตำนานเช่นเดียวกับหลาย ๆ เรื่องที่เราเคยนำเสนอมา สำหรับกาลเวลานั้น มักนิยมกันว่ากะบีร์ถือกำเนิดในปี ค.ศ. 1398 หรือศกสัมวัต 1455 ตกวันเพ็ญเดือนเชษฐะ สถานที่คือเมืองพาราณสีซึ่งปัจจุบันอยู่ในมลรัฐอุตตรประเทศ แต่ส่วนรายละเอียดนั้นก็เป็นไปตามความเชื่อของสาวกแต่ละฝ่ายที่อยากจะให้กะบีร์เป็นของตัว
สาวกบางคนเชื่อถึงขนาดว่าท่านกะบีร์เป็นแสงสว่างจุติมาบังเกิดในดอกบัวดอกหนึ่งกลางสระบัว โดยมีฤษีนามว่าอัษฏานันท์เป็นประจักษ์พยานการบังเกิดนี้ ซึ่งเป็นธรรมดาที่เรื่องเล่าที่เกิดจากความศรัทธามักจะมีความอัศจรรย์เหนือธรรมดา บางตัวบทขยายความต่อมาว่า ณ สระแห่งนั้น คู่สามีภรรยามุสลิมชื่อ นีรู และ นีมา ได้ไปพบกุมารกะบีร์และนำมาเลี้ยงดูเป็นบุตรในภายหลัง สระดังกล่าวปัจจุบันมีชื่อเรียกว่า “ลหรตารา ตาลาบ” และเป็นที่นับถือมากในหมู่สาวกที่เรียกตนเองว่ากะบีร์ปันถี หมายถึง “ผู้เดินตามหนทางแห่งกะบีร์”
อีกฉบับหนึ่ง กล่าวว่ากุมารกะบีร์เกิดขึ้นในครรภ์ของพราหมณีหม้ายคนหนึ่งที่กำลังตามบิดาไปแสวงบุญ และได้รับพรจากฤษีให้มีบุตร ซึ่งฟังดูแล้วออกจะเป็นพรที่ไม่ใคร่คิดหน้าคิดหลังเท่าไรนัก เพราะนางพราหมณีผู้นั้นเป็นหม้าย ณ ที่นี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ตำนานนี้คล้ายคลึงกับกำเนิดของพระเยซูศาสดาศาสนาคริสต์ เพราะกุมารกะบีร์ปฏิสนธิโดยไม่มีพ่อ ผลก็คือเมื่อนางให้กำเนิดกุมาร นางก็เลยนำไปทิ้งไว้ที่สระ เพราะหวั่นเกรงข้อครหา แล้วเรื่องต่อมาจากนั้นก็ตรงกับเรื่องที่เล่าก่อนหน้านี้ คือสามีภรรยามุสลิมนีรูกับนีมาไปพบเข้าและนำมาเลี้ยง
เป็นที่น่าสังเกตยิ่งว่า ตำนานกำเนิดของกะบีร์นั้น ไม่ว่าจะเกิดจากแสงสว่างโดยฤษีเป็นผู้มาพบปรากฏการณ์ หรือเกิดในครรภ์นางพราหมณีโดยปราศจากพ่อ ก็ถูกเลี้ยงดูโดยครอบครัวมุสลิม บ่งบอกเป็นนัยถึงการที่กะบีร์มีพื้นเพพหุศาสนา
เชื่อกันว่ากะบีร์ได้เข้าศึกษาในสำนักของกวีแนวภักตินามว่า สวามีรามานันท์ ผู้เป็นนักบวชไวษณพนิกาย
ปรัชญาของรามานันท์จัดอยู่ในแนวอัทไวตะ เน้นว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ทั่วทุกหนแห่งทั้งในสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต และจึงอยู่ภายในจิตใจมนุษย์ทุกรูปนาม
สวามีรามานันท์ผู้นี้เชื่อกันว่าเป็นอาจารย์ของกวีมีชื่อเสียงอีกหลายคน และมีบทกวีปรากฏในอาทิครันถ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิริคุรุครันถสาหิบด้วย
โปรดสังเกตที่เราใช้คำว่า “เชื่อกันว่า” บ่อยครั้ง เพราะเรื่องในสมัยนั้นมิได้มีหลักฐานปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอไป และนอกจากรามานันท์ผู้นี้แล้ว มีเอกสารปรากฏอีกว่า กะบีร์เคยไปศึกษาแนวคิดซูฟีกับนักบวชซูฟีที่เรียกว่า ปีร์ ท่านหนึ่ง นามว่า ไชค ตักกี (Shaikh Taqqi) ปรัชญาและคำสอนของกะบีร์ในภายหลังจึงปรากฏอิทธิพลของแนวคิดซูฟีแทรกอยู่ด้วยไม่น้อย
แม้กระทั่งเรื่องว่าเขาสมรสหรือไม่ มีบุตรหรือไม่ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ กระแสหลักจะบอกว่ากะบีร์แต่งงานกับหญิงนามว่า โลอี และมีบุตรสองคน คนหนึ่งเป็นชายชื่อกมัล อีกคนเป็นหญิงชื่อกมลา แต่ในขณะที่บางกระแสกลับบอกว่าเขาแต่งงานสองครั้ง และบางกระแสบอกว่าเขาครองโสด ไม่แต่งงานเลย
ข้อมูลอื่น ๆ ก็ได้ทราบเพียงคร่าว ๆ ว่ากะบีร์เป็นคนที่ออกจาริกเดินทางอย่างมากมาย และมีอายุที่ค่อนข้างยืนยาว คือมีบันทึกว่าเสียชีวิตในศกสัมวัตที่ 1552 ก็เท่ากับมีอายุถึง 97 ปี สถานที่เสียชีวิตของกะบีร์เป็นที่แน่ชัดว่าอยู่ที่เมืองมัคหัรในอุตตรประเทศ และสุสานของเขาก็อยู่ที่นั่น
อย่างไรก็ดี ตัวตนของกะบีร์ที่ดูเหมือนจะมีข้อมูลเลือนลางกลับเห็นได้แจ่มชัดจากมรดกทางปรัชญาของเขาที่ปรากฏอยู่ในบทกวี ณ ที่นี้เราจึงขอกล่าวถึงบทกวีของกะบีร์สักเล็กน้อย
ลักษณะเด่น ภาษาที่เขาใช้มิใช่ภาษาสันสกฤต แต่เป็นภาษาถิ่นฮินดีในสมัยนั้น ซึ่งมีรากศัพท์ที่ปะปนกันจากหลากหลายภาษา คือมีคำศัพท์จากภาษาราชสถานี หรยาณวี ปัญจาบี ขฑีโบลี อวธี พรัช โภชปุรี อูรดู ฟาร์ซี มาร์วารี เป็นต้น
รสบทกวี มีคนเรียกว่า “ปัญจเมล” คือมีหลากหลายสีสันมากเหลือเกิน เขาใช้เป็นคำสามัญอย่างชาวบ้านจริง ๆ ไม่ใช่คำลึกล้ำแต่อย่างใด แต่กลับรุ่มรวยไปด้วยการใช้ภาษาเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งต้องตีความอีกชั้นหนึ่ง
รูปแบบบทกวี ยังมิได้ยึดโยงกับฉันทลักษณ์ที่ตายตัว หากแต่มีความลื่นไหลตามอารมณ์อย่างยิ่ง เนื้อหาโดยหลักแล้วกล่าวถึงหลากหลายแง่มุมของชีวิต การเรียกร้องไปสู่ความภักดีต่อพระเจ้า และการบ่มเพาะวินัยในตนเอง
ตัวอย่างบทกวีที่ชวนคิดของกะบีร์
Log aise bevare, pahan pujan jai
Ghar ki chakiya kahe na puje jehi ka peesa khai
บุคคลผู้บูชาก้อนหินนั้นช่างเขลาเสียนี่กระไร
ไยพวกเขาจึงไม่บูชาหินที่โม่แป้งทำอาหารให้พวกเขากินเล่า
[หรืออีกบทหนึ่งว่า]
Maati kahe kumhar se tu kyun raunde mohe
Ek din aisa aayega main raundungi tohe
ดินเหนียวถามช่างปั้นหม้อว่า เจ้าจะเหยียบย่ำเราไปทำไม
เมื่อวันหนึ่งมาถึง เราเองก็จะเป็นฝ่ายฝังกลบเจ้า
ส่งผลถึงบุคคลในยุคหลังจากเขามากมาย ทั้งต่อผู้คนที่ยึดมั่นในศาสนาฮินดูสายภักติ และอิสลามสายซูฟี และแน่นอนว่าต่อบุคคลที่นับถือกะบีร์โดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่ากะบีร์ปันถี
บุคคลสำคัญยิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากกะบีร์คือ ท่านคุรุนานักผู้เป็นต้นกำเนิดแนวคิดศาสนาซิกข์ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับแนวคิดของกะบีร์หลายประการ
นอกจากนี้ บุคคลรุ่นหลังอย่าง รพินทรนาถ ฐากูร นักปราชญ์ชาวเบงกอลก็ซาบซึ้งกับบทกวีของกะบีร์ถึงกับได้แปลบทกวีของกะบีร์จำนวน 100 บท จากภาษาฮินดีเป็นอังกฤษ ให้ชื่อว่า Songs of Kabir จัดว่าเป็นผลงานแปลสำคัญเล่มหนึ่งของเขาเลยทีเดียว
แม้แต่ มหาตมาคานธี ก็ยกย่องกะบีร์อย่างสูงยิ่ง สิ่งหนึ่งที่คานธีกล่าวถึงกะบีร์คือในฐานะช่างทอผ้า ถึงแม้กะบีร์จะมิได้เรียนมาเป็นช่างปั่นด้ายทอผ้าอย่างเป็นทางการ แต่ในบทกวีของเขามีการใช้การทอผ้าเป็นอุปมาเชิงสัญลักษณ์อยู่มาก จึงปรากฏภาพวาดกะบีร์นั่งทอผ้าด้วย ในบทความของคานธีที่ชื่อว่า The Music of Spinning Wheel ในนิตยสาร Young India คานธีได้ยกบุคคลสองท่านที่ทอผ้าด้วยตนเองขึ้นมา คือจักรพรรดิออรังเซป ผู้ทอหมวกด้วยพระองค์เอง กับกะบีร์ ซึ่งคานธียกย่องว่าเป็น “จักรพรรดิ” ที่ยิ่งใหญ่กว่าออรังเซปผู้มีอำนาจครองดินแดนเสียอีก เพราะเขาสร้างสรรค์บทกวีอันเป็นอมตะครองใจผู้คน
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย