วันที่ 14 พฤษภาคม 2565
เพลง Amare Ke Nibi Bhai
เพลงที่ได้ฟังไปนั้น ผู้ฟังคงรู้สึกแปลกกว่าครั้งอื่น ๆ เพราะน้ำเสียงฟังดูไม่ใช่นักร้องอาชีพ คุณภาพการอัดเสียงก็ไม่เหมือนกับเพลงระดับอาชีพ แต่ต้องบอกว่านี่เป็นคลิปเสียงที่มีความสำคัญมาก เพราะคนร้องเพลงนี้คือตัวครุเทพรพินทรนาถ ฐากูร
ชื่อเพลงคือ “Amare Ke Nibi Bhai” (ใครเล่าจะพาฉันไป โอ้พี่ชาย) เนื้อหาของเพลงคือการเรียกร้องเพื่อเข้าถึงพระเจ้าในแบบฉบับปรัชญาสาขาภักติ ซึ่งมีนัยเชื่อมโยงกับความหมายของการศึกษาในทัศนะของฐากูรอยู่มาก
หากกล่าวถึงการศึกษา ไม่ว่าจะที่ไทยหรือ ณ แห่งหนใดก็จะมีดีเบตเรื่องการศึกษาอยู่ตลอดเวลา บ้างถึงกระทั่งกล่าวว่าการศึกษานี่แหละคือทางออกของทุกปัญหา
สำหรับประเทศไทยก็มีดีเบตเรื่องการศึกษามาโดยตลอด เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวหนึ่งที่อาจจะดูเหมือนไม่ใช่ข่าวใหญ่มากนัก แต่ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควร ต้นเรื่องคือมีการเปิดเผยเครื่องแบบของนักเรียนของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งมีถึงสี่ชุดต่อสัปดาห์คือชุดนักเรียน ชุดพละ ชุดฝึกทหาร และชุดอาเซียน เมื่อพิจารณาจากวัยของเด็กอนุบาลคือประมาณ 3-5 ขวบ ก็เป็นที่กังขาไม่น้อยว่า เครื่องแบบต่าง ๆ เหล่านี้มีประโยชน์อะไรต่อตัวเด็ก คนที่เห็นด้วยก็บอกว่าสำคัญสำหรับพัฒนาการทางสังคมของเด็ก
คนที่ไม่เห็นด้วยก็บอกว่าสิ้นเปลือง และเน้นว่าพัฒนาการของเด็กในปฐมวัยจำเป็นต้องอยู่ในกรอบกฎเกณฑ์มากถึงเพียงนี้หรือ เรื่องสิ้นเปลืองก็ดูจะคละกับภาระด้านค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองที่ต้องเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มปีการศึกษาแต่ละปี การที่คนเหล่านี้เน้นย้ำว่าภาระ ก็เพราะเด็ก ๆ ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ใส่ชุดใดชุดหนึ่งได้ติดต่อกันนานนับสิบปี (ถ้าไม่น้ำหนักขึ้นมากจนคับเกินไป) ส่วนเด็ก ๆ นั้นเจริญเติบโตขึ้นทุกปี ปีหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากันยกชุดครั้งหนึ่ง ทำให้แต่ละครั้งผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อย
มีเว็บไซต์หนึ่งชื่อว่า “K12academics.com” ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องแบบนักเรียนประเทศต่าง ๆ ไว้โดยสังเขป
สำหรับกรณีอินเดียนั้นระบุว่า บังคับให้ใส่ทั้งโรงเรียนรัฐและโรงเรียนเอกชน
ส่วนใหญ่เด็กผู้ชายจะสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อน กางเกงขายาว ซึ่งมักเป็นสีใดสีหนึ่งในสามสีนี้คือดำ ขาว หรือกรมท่า ส่วนเด็กผู้หญิงจะเป็นเสื้อเชิ้ตกับกระโปรง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีความแตกต่างหลากหลายมากมายตามความนิยมของพื้นที่และการกำหนดของแต่ละโรงเรียน ในระดับมัธยมบางมลรัฐจะกำหนดให้นักเรียนหญิงสวมเสื้อผ้าที่เรียกว่าซัลวาร กามีซ (Shalwar Kameez) ตรงนี้ขอเสริมด้วยว่าเป็นเสื้อคลุมยาวประกอบกางเกงขายาว มีผ้าพันคอพาดไหล่ ห้อยด้านหน้าปล่อยชายด้านหลัง ชุดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องแต่งกายหญิง แต่บางมลรัฐตัวอย่างเช่นเตลังคานะได้ประกาศเป็นกิจลักษณะให้นักเรียนหญิงใช้แทนชุดกระโปรงที่เผยช่วงขา อันเป็นมาตรการหนึ่งในการจัดการปัญหาการคุกคามทางเพศ บ้างก็ให้ความเห็นว่าเป็นสิ่งดีเพราะไม่ต้องไปสนใจกายภาพที่อาจจะทำให้สติไม่อยู่กับที่กับทาง
หลายโรงเรียนก็มีข้อกำหนดไปถึงว่าให้ใช้รองเท้าแบบผูกเชือก ต้องมีบัตรนักเรียนคล้องคอ นักเรียนชายต้องตัดผมสั้นและหวีผมให้ตก (คือห้ามทำผมตั้ง) นักเรียนหญิงถ้าผมยาวก็ต้องถักเปีย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้กำหนดเพื่อความเป็นระเบียบและดูสวยงามมีแบบแผน
ทางอินเดีย เครื่องแบบถือเป็นส่วนสำคัญของชีวิตนักเรียนมาก แต่ละโรงเรียนโดยส่วนใหญ่ก็เข้มงวดเอาจริงเอาจังอย่างมาก กระนั้นก็ยังมีข้อยืดหยุ่นเกี่ยวกับข้อปฏิบัติทางศาสนา เช่น การคลุมฮิญาบของนักเรียนหญิงมุสลิม การโพกผ้าของนักเรียนชายซิกข์ ส่วนที่โรงเรียนส่วนใหญ่ทั้งรัฐและเอกชนห้ามเลยก็คือ การรวบผมเป็นหางม้าโดยไม่ถัก และที่ห้ามอีกคือการทำสีผม
กล่าวโดยสรุปคือ อินเดียให้ความสำคัญแก่ระเบียบเครื่องแต่งกายของนักเรียนมาก ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะการทำตัวให้เรียบร้อยดูสมเป็นผู้มีการศึกษาดูจะเป็นเรื่องสำคัญในสังคมอินเดีย มีผลต่อภาพลักษณ์ของบุคคลนั้น ๆ ในสายตาของคนทั่วไป ถ้าแต่งตัวดีบุคลิกดีก็จะมีผู้นิยมชมชอบมาก
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เราจะนำเสนอวันนี้เกี่ยวข้องกับปรัชญาทางการศึกษาของมหาปราชญ์ท่านหนึ่งซึ่งเราเคยเอ่ยถึงบ่อย ๆ ในรายการก็คือท่าน รพินทรนาถ ฐากูร กวีชาวเบงกอล เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมคนแรกของเอเชีย แน่นอนเป็นบุคคลที่ไม่ใช่เชื้อสายยุโรปคนแรกที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ดังที่เราเคยนำเสนอเรื่องราวของท่านผู้นี้ไว้ในตอน 110 ปีคีตาญชลีของรพินทรนาถ ฐากูร เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา
วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบชาตกาลของฐากูร ถ้านับจากปีเกิดคือ ค.ศ. 1861 ก็เท่ากับครบ 161 ปี
สิ่งที่น่าสนใจคือนักปราชญ์คนสำคัญผู้นี้เวลาไปไหนมาไหนมักถูกเข้าใจว่าเป็นผู้ได้รับการศึกษาในโรงเรียนมาอย่างดีและสูงยิ่ง ตัวอย่างสำคัญคือที่ประเทศไทยหรือสยามในเวลานั้น
ฐากูรเป็นกวีผู้ใช้ภาษาได้อย่างละเมียดละไมและมีความคิดทางปรัชญาที่ดูจะตกผลึกอย่างมาก
เขาประพันธ์ไว้ทั้งบทละคร กาพย์กลอน และ นิยาย เรื่องสั้น และเพลงชิ้นยอดเยี่ยม สำคัญที่สุดคือเนื้อเพลงชาติสองประเทศคืออินเดียและบังกลาเทศ ส่วนกวีนิพนธ์ที่ได้รับรางวัลโนเบลคือคีตาญชลีนั้นก็ไม่มีข้อกังขาเลยว่าเป็นเพชรน้ำเอกแห่งวงการวรรณกรรมภาษาเบงกาลี จึงไม่แปลกเลยที่ผู้คนต้องคิดว่าสมัยเด็กเขาคงมีผลการเรียนเป็นเลิศ
ทว่าในความเป็นจริงนั้น ตัวฐากูรเองยอมรับไว้ตรง ๆ และเป็นสาธารณะว่าสมัยเด็กตนเองเกลียดการเรียนในโรงเรียนมาก
รพินทรนาถ ฐากูร เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมคนแรกของเอเชีย
ฐากูรเกิดและเติบโตในคฤหาสน์โชราสางโกในครอบครัวชนชั้นสูง ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องอาศัยอยู่ร่วมกันจำนวนมาก
ปู่ของรพินทรนาถ คือทวารกานาถเป็นนักต่อสู้เพื่อการปฏิรูปศาสนา สังคม และการก่อตั้งสื่อเสรี นี่คือที่มาของพรหโมสมาช หรือยุครู้แจ้งของเบงกอล ที่มีราชาราม โมหัน รอยร่วมต่อสู้กับอาณานิคมโดยประเมินขนบจารีตของอินเดียที่ล้าหลังและไม่เป็นธรรมในหลายเรื่อง รวมถึงการมีบทบาทสำคัญในการทำให้ประเพณีสตีผิดกฎหมายด้วย ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการสาธารณสุข การศึกษา และศิลปะ
ลูกชายนามเทเพนทรนาถซึ่งเป็น พ่อรพินทรนาถ ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันในทางปฏิรูปสังคม เขามีบทบาทมากในพรหโมสมาชและเป็นบิดาของบุตรชายหญิงรวม 14 คน แต่ละคนก็ล้วนแต่มีบทบาทและอิทธิพลทางสังคมมาก ท่ามกลางบรรดาพี่น้องปัญญาชนเหล่านี้ รพินทรนาถใช้ชีวิตอยู่กับทั้งนักคณิตศาสตร์ นักข่าว นักประพันธ์นวนิยาย กวี นักดนตรี ศิลปินวาดภาพ นักการละคร นักวิทยาศาสตร์ นี่คือสาเหตุที่ชีวิตของเขาได้เปิดรับการศึกษาหลากหลายสาขาวิทยาการตั้งแต่วัยเด็ก
จากการมีญาติพี่น้องที่เป็นอัจฉริยบุคคลรายล้อม รวมไปถึงแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยียนก็มีแต่ปัญญาชน ทำให้เด็กน้อยรพินทรนาถมีพัฒนาการทางการเรียนรู้ของตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ และค่อยเป็นค่อยไปตามความสามารถของตนเอง
แน่นอนว่าความเป็นผู้ปราดเปรื่องอยู่แล้วก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และการเรียนรู้ในลักษณะนี้ส่งอิทธิพลไปถึงชีวิตวัยเรียนของเขาด้วย
ในภายหลังเมื่อเขาเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาที่มีระบบ เขารู้สึกเบื่อหน่ายและทนทุกข์ทรมานเลยทีเดียว หลังจากที่ลองพยายามไปเข้าโรงเรียนหลาย ๆ โรงเรียนแล้ว เขาก็ตัดสินใจปฏิเสธไม่ยอมไปโรงเรียนโดยสิ้นเชิง กล่าวง่าย ๆ ก็คือท่านกวีเอกผู้นี้เรียนไม่จบปริญญาอะไรเลย ไม่จบแม้กระทั่งมัธยม ปริญญาต่าง ๆ ที่เขาได้มาล้วนแต่เป็นปริญญากิติมศักดิ์ที่มีผู้มอบให้ในช่วงหลัง ๆ ของชีวิตทั้งสิ้น
ประสบการณ์จากโชราสังโกทำให้ฐากูรตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพในการศึกษา นอกจากนี้แล้วเขายังซาบซึ้งถึงประโยชน์ของศิลปะในฐานะทักษะที่ช่วยบ่มเพาะความละเอียดอ่อน ความเมตตาและเห็นอกเห็นใจกันในหมู่เพื่อนมนุษย์ และความโยงใยของมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านวัฒนธรรมท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน
ด้วยเหตุนี้ ฐากูรจึงปฏิเสธความคับแคบทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคับแคบแบบที่จำแนกมนุษย์ออกจากกันเป็นพวกต่าง ๆ และต่างพวกต่างก็อยู่ในกรอบจำกัดที่ตนเองภาคภูมิใจในฐานะอัตลักษณ์พวกตน อันนำมาสู่การกีดกันหรือแม้กระทั่งทำร้ายพวกอื่น ๆ เหตุนี้ฐากูรจึงประณามความคิดชาตินิยมประเภทสุดโต่งที่บูชาชาติของตนเองจนลืมตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนมีเหมือนกัน และเขาก็ยกย่องความคิดลักษณะสากลนิยมเป็นอย่างยิ่ง
บทความโดย ที. ปุษปนาถัน ในวารสาร International Journal of Current Research and Academic Review ประจำปี ค.ศ. 2013 ได้สรุปไว้อย่างเข้าใจง่ายว่า
เป้าหมายของการศึกษาในทัศนะของฐากูรมิใช่สิ่งอื่นใดเลยนอกจากการตระหนักถึงธรรมชาติผ่านทางการตระหนักจิตใจของตนเอง เพื่อการตระหนักดังกล่าว ผู้ศึกษาจำต้องมีปัจจัยดังต่อไปนี้คือ
1) ความเป็นอิสระ อันหมายถึงอิสระเสรีทางความปรารถนาที่จะขบคิด เรียนรู้ ตัดสินใจ และแสดงออก ซึ่งก่อนจะได้รับความเป็นอิสระดังกล่าวนี้ ผู้ศึกษาจะต้องฝึกฝนตัวเองให้มีความสมดุลทางใจและกลมกลืนกับธรรมชาติ ดังนั้นไม่พึงสับสนกับอิสระที่หมายถึงขาดการควบคุม
2) ความสมบูรณ์พร้อม ซึ่งหมายถึงการที่ผู้ศึกษาควรเพียรพยายามพัฒนาบุคลิกภาพและความสามารถในทุกด้านให้สมบูรณ์พร้อม ข้อนี้สำคัญในแง่ที่ว่า การให้การศึกษาต่อเด็กจะต้องไม่เน้นเฉพาะผลการเรียนที่วัดเป็นคะแนนสอบ แต่ต้องพัฒนาความคิดและบุคลิกภาพควบคู่กัน
3) ความเป็นสากล กล่าวคือพัฒนาการของบุคคลจะไม่อาจเรียกว่าถึงพร้อมได้เลย ถ้าเขาไม่ตระหนักถึงความเป็นสากลของจิตวิญญาณที่อยู่ภายในตัวเขาเอง นั่นคือ ทุกคนมีจิตวิญญาณเหมือนกันหมด และต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ การตระหนักถึงข้อนี้จะทำให้ข้ามพ้นข้อจำกัดและความคับแคบทั้งปวง ยกระดับสายตาให้กว้างไกลและเปิดรับข้อแตกต่างมากขึ้น
ในทัศนะของฐากูร การตระหนักตนเองนี่แหละคือเป้าหมายแท้จริงของการศึกษา และการศึกษาจะต้องพัฒนาอย่างมีบูรณภาพ
ฐากูรกล่าวไว้ว่า “จุดประสงค์พื้นฐานของการศึกษามิใช่เพียงเพื่อทำให้ตัวเราอุดมด้วยความรู้ หากแต่คือการสานสายสัมพันธ์แห่งความรักและมิตรภาพระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน”
การศึกษาของฐากูรจึงมิใช่ลำพังการเรียนเขียนอ่านในห้องเรียน แต่รวมการพัฒนาทางกายภาพ ซึ่งมิใช่แต่เพียงการบริหารร่างกายเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงกิจกรรมการเล่นเกมและเล่นสนุกต่าง ๆ และการมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ เช่น การสังเกตดอกไม้ สัตว์ป่า
นอกจากนี้การพัฒนาทางความคิดอ่านหรือจิตใจก็สำคัญมากเช่นกัน เช่น การฝึกใช้ความคิดหรือจินตนาการในการสร้างสรรค์งานเขียนหรือศิลปะ การดื่มด่ำสุนทรียศาสตร์ผ่านดนตรี บทกวี นาฏยศิลป์ เป็นต้น ซึ่งฐากูรมองว่ามีประโยชน์มากกว่าการเรียนที่อาศัยการท่องจำเป็นหลัก
ต้องมาดูผลงานโดยรวมของเขา กล่าวคือ เขาประพันธ์บทกวีบทแรกเมื่ออายุ 8 ขวบ และตลอดทั้งชีวิตเขาได้เขียนกวีนิพนธ์ 25 เล่ม บทละคร 15 เรื่อง เรื่องสั้น 90 เรื่อง นวนิยาย 11 เรื่อง ความเรียง 13 เล่ม เป็นบรรณาธิการวารสารหลายฉบับ ตอบจดหมายหลายพันฉบับ แต่งเพลงไว้มากกว่า 2,000 เพลงและสร้างสรรค์ผลงานภาพวาดระบายสีและภาพลายเส้นไว้กว่า 2,000 ชิ้น
เขาอุทิศช่วงเวลา 40 ปีในชีวิตให้แก่สถานศึกษาที่เขาก่อตั้งขึ้นในเมืองศานตินิเกตันซึ่งปัจจุบันอยู่ในมลรัฐเบงกอลตะวันตก อันประกอบไปด้วยโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชื่อว่าวิศวภารตี และสถานส่งเสริมการเรียนรู้ชื่อว่าศรีนิเกตัน ทั้งสองสถาบันนี้ใช้ปรัชญาและสิ่งแวดล้อมการศึกษาตามแบบฉบับของฐากูรอย่างเต็มที่ ซึ่งเราอาจจะนำเสนอเรื่องราวโดยละเอียดต่อไปในอนาคตถ้ามีโอกาส
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย