กัญชาในอินเดีย
3,912 views
0
0

เพลง Ganja Ganja (กัญชา กัญชา)
เป็นผลงานในปี 2018 ของศิลปินเพลงแนวจิตวิญญาณชื่อ Baba Hansraj Raghuwanshi ผลงานส่วนใหญ่ของศิลปินผู้นี้จะเป็นเพลงสรรเสริญพระศิวะ เป็นที่ชื่นชอบมากในหมู่ผู้นับถือไศวนิกาย กัญชานี้สะท้อนให้เห็นสถานะเชิงวัฒนธรรมของกัญชาในอินเดียที่ถูกมองว่าเชื่อมโยงกับพิธีกรรมและความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งของรายการวันนี้

ปลดล็อกกัญชา

ประเด็นหนึ่งที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมอย่างกว้างขวาง คงหนีไม่พ้นข่าวการ “ปลดล็อกกัญชา” ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา กล่าวคือ ตั้งแต่วันประกาศเป็นต้นไป ทุกส่วนของกัญชา รวมทั้งช่อดอกซึ่งมีสาร THC สูง ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดอาการ “high” จะไม่ถูกกำกับดูแลในฐานะสิ่งเสพติดในประเทศไทย ส่งผลให้การจำหน่ายกัญชาและการเสพกัญชาเป็นเรื่องไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป

เพียงชั่วข้ามวัน ก็มีผู้ลงทะเบียนปลูกกัญชากันอย่างล้นหลาม นอกจากนี้ยังมีการแซวกันในทำนองติดตลกว่า กัญชาของแต่ละบ้านช่างโตไวเหลือเกิน ลงกระถางตอนเที่ยงคืนวันที่ 9 พอรุ่งขึ้นก็สูงท่วมหัวแล้ว (แน่นอนว่าความเป็นจริงคือลักลอบปลูกกันตั้งแต่ยังไม่อนุญาต) นอกจากนี้ร้านอาหารที่ใช้กัญชาเป็นส่วนประกอบอาหารก็มีเพิ่มขึ้นมากมาย

เรื่องนี้ย่อมมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะในความเป็นจริงเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากัญชาแม้จะมีคุณประโยชน์ แต่ก็มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ซึ่งจะเป็นอันตรายได้หากใช้ในปริมาณที่เกินขนาด (overdose)

กัญชา กับ กัญชง

ขอทำความเข้าใจเบื้องต้นเพื่อกันสับสนก่อนว่า ในภาษาไทยมีชื่อเรียกพืชสองชนิดที่คล้ายกัน คือ กัญชา (Marijuana) กับ กัญชง (Hemp) เป็นพืชในตระกูล Cannabis เหมือนกัน

กัญชง เป็นเพียงสายพันธุ์ย่อย (subspecies) ซึ่งเราจะไม่ขอลงรายละเอียด บอกให้ทราบแต่เพียงว่าไทยนิยมนำเส้นใยมาทำสิ่งทอ และในพระราชบัญญัติมีการควบคุมเช่นเดียวกับกัญชา ในที่นี้เราจะขอเน้นเรื่องกัญชาเป็นหลัก

สารในกัญชา

บทความจากกรมสุขภาพจิตสรุปไว้ว่า ในกัญชาพบสารสองชนิดคือ THC และ CBD สารทั้งสองมีองค์ประกอบทางเคมีใกล้เคียงกันมาก แต่การเรียงตัวของอะตอมต่างกันเล็กน้อย

ผลลัพธ์คือทั้งสาร THC และ CBD ที่ว่านี้จะช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลและความเศร้าเหมือนกัน

ข้อแตกต่างคือ สาร THC ทำให้เกิดอาการเมา และอาจมีอาการแพ้ได้ ในขณะที่สาร CBD แทบไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ต่อร่างกายมนุษย์เลย สรุปแล้วคุณประโยชน์ทางการแพทย์ที่มนุษย์แสวงหาจากกัญชาก็คือสาร CBD ตัวนี้นั่นเอง

ปัญหาคือ

ในช่อดอกกัญชากลับมีสาร THC ประกอบอยู่มากถึง 12% ในขณะที่ CBD มีอยู่ไม่ถึง 0.3% เท่านั้น

ฉะนั้นการสูบหรือรับประทานกัญชาโดยตรง โดยหวังจะได้รับประโยชน์จาก CBD กลับทำให้ร่างกายได้รับสาร THC ปริมาณมาก ซึ่งส่งผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดอาการปากแห้ง กระหายน้ำ ตาแดง หัวใจเต้นเร็ว ตอบสนองช้า ความทรงจำลดลง

การใช้กัญชาที่ได้รับประโยชน์เต็มที่จึงหมายถึงการใช้ “สารสกัดกัญชา” คือ CBD ที่สกัดในห้องทดลอง ซึ่งแทบเป็นไม่ได้เลยที่จะผลิตขึ้นในครัวเรือนทั่วไป

ไทยพร้อมหรือยังสำหรับการปลดล็อกกัญชา

ขณะนี้สังคมกำลังตั้งคำถามว่า ประเทศไทยพร้อมหรือยังสำหรับการปลดล็อกกัญชา เพราะยังไม่มีกฎหมายควบคุมการใช้กัญชามารองรับในเชิงรายละเอียด

เช่น อายุที่จำกัดในการใช้กัญชา ปริมาณกัญชาที่สามารถใช้ในอาหาร คุณภาพผลิตภัณฑ์กัญชา ช่องทางการซื้อขายกัญชา สถานที่ที่อนุญาตให้เสพกัญชาได้ เป็นต้น

จะเห็นว่าเพียงชั่วไม่กี่วันก็เริ่มมีข่าวไม่ดีจากกัญชามาให้เราได้ยินกันแล้ว

ผู้ใช้กัญชาบางรายก็เข้าโรงพยาบาลและมีรายหนึ่งถึงขั้นเสียชีวิตจากการรับประทานกัญชาเกินขนาด นอกจากนี้หลายคนกล่าวถึงประเด็นการสูบกัญชาในที่สาธารณะว่าจะส่งผลต่อคนข้างเคียงไม่ต่างจากการสูบบุหรี่ คือทำให้คนอื่นได้รับสารที่ตนเองไม่ต้องการไปด้วย ขณะที่บางคนก็พูดถึงกลิ่นกัญชา สำหรับประเด็นหลังนี้ เมื่อสองสามวันก่อนเราได้ทราบว่ามีประกาศกระทรวงสาธารณสุขควบคุมการทำให้เกิดกลิ่นกัญชาในที่สาธารณะออกมาแล้ว ประเด็นอื่น ๆ คงจับตาดูไปก่อน แต่เชื่อว่าคงมีประกาศควบคุมออกมาตามขั้นตอน

คำว่ากัญชา

ทีนี้เราจะมากล่าวถึงฝั่งอินเดียกันบ้าง ผู้ฟังหลายคนคงพอทราบมาบ้างแล้วว่า กัญชามีบทบาทไม่น้อยในวัฒนธรรมอินเดีย ก่อนอื่น เราจะมาว่าในแง่มุมทางภาษาและความเป็นมากันก่อน

คำว่า “กัญชา” ในภาษาไทย เป็นคำที่รับมาจากภาษาสันสกฤตว่า คาญฺชา (Ganja)

คำศัพท์นี้เองเป็นต้นตอของคำว่า Cannabis ในชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชชนิดนี้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ในอินเดียไม่ได้ใช้คำนี้เรียกกัญชาทั้งต้น แต่จะเรียกเฉพาะช่อดอกว่ากัญชา ส่วนต้นกัญชาทั้งต้นจะมีศัพท์เรียกว่า “ภางค์ (Bhang)” (ภาษาปัญจาบีออกเสียงว่า ปั๋ง) ซึ่งหากแยกให้ละเอียดตามส่วนที่ใช้บริโภค คำว่าภางค์จะหมายถึงส่วนใบและเมล็ดเท่านั้น ข้อนี้จะขยายความต่อไปในภายหลัง

คนอินเดียกับกัญชา

เท่าที่มีหลักฐานปรากฏ คนอินเดียบริโภคกัญชามาตั้งแต่ 2000 ปีก่อนคริสตกาล ก็คือร่วม 4000 ปีแล้ว

หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏในคัมภีร์พระเวทของฮินดู ทั้งในฤคเวทและอถรรพเวท คือมีคำว่า “ภางค์” ปรากฏอยู่ด้วย แม้ว่านักวิชาการสันสกฤตจะยังคงตั้งข้อสงสัยว่า ภางค์ในพระเวทเป็นพืชสายพันธุ์เดียวกับต้นกัญชาที่แพร่หลายในปัจจุบันหรือไม่

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เชื่อกันว่าเป็นส่วนประกอบของโสมะ (Soma) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มในการประกอบพิธีกรรม ที่ทำให้เกิดอาการเมาและผ่อนคลาย และในอถรรพเวทยังมีกล่าวไว้ในโศลกบทหนึ่งว่ามีพืชอยู่ห้าชนิดที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ หนึ่งในนั้นก็คือภางค์

ตัวบทภาษาสันสกฤตมากมายกล่าวถึงการใช้กัญชาในฐานะสมุนไพรที่ช่วยแก้หรือบรรเทาอาการต่าง ๆ ช่วยย่อยอาหาร ขับเสมหะ บรรเทาอาการปวด ในอายุรเวทก็มีการใช้กัญชาเป็นส่วนผสมยาหลายขนาน แต่ไม่ได้กล่าวถึงวิธีบริโภคด้วยการสูบแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีตำนานที่ว่า กัญชาเป็นพืชสมุนไพรที่พระศิวะทรงโปรดเสวยในยามรุ่งอรุณเพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ในศิวปุราณะจึงแนะนำให้ถวายกัญชาแก่พระศิวะในยามฤดูร้อนด้วย แต่ก็มิใช่ว่าผู้นับถือพระศิวะจะปฏิบัติกันทุกคน อย่างไรก็ตาม เท่าที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่า กัญชาเป็นพืชที่มีบทบาทไม่น้อยในวัฒนธรรมฮินดู สมัยก่อนในเทศกาลใหญ่ ๆ เช่นโฮลีหรือมหาศิวราตรี กัญชาก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้คนต้องบริโภคกันเลยทีเดียว

กัญชามีสถานะอย่างไรในอินเดียปัจจุบัน เป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่

สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจก่อนคือ กัญชามีการแปรรูปได้เป็นหลายแบบ และส่วนต่าง ๆ ของกัญชาก็มีสรรพคุณแตกต่างกัน

ในวัฒนธรรมอินเดียแบ่งกัญชาออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามส่วนของพืชและวิธีการแปรรูป

1. จรัส (Charas) เป็นยางกัญชาที่ได้จากต้นสด ซึ่งจะปั้นเป็นก้อนกลมหรือเป็นแท่งยาว มีสีน้ำตาลอมเขียว ดูเผิน ๆ หน้าตาคล้ายมูลสัตว์ ภายในยังดูมีความชื้นอยู่บ้าง
2. ฮะชีช (Hashish) เป็นยางกัญชาที่สกัดจากต้นแห้ง มักจะอัดเป็นแท่งเหมือนอิฐ และความชื้นน้อยกว่าจรัส
3. กัญชา (Ganja) คือส่วนช่อดอกหรือผลของต้นกัญชา ซึ่งยังไม่ได้สกัดเอายางออก ไม่รวมใบกับเมล็ดที่ไม่ติดกับส่วนยอด
4. ภางค์ (Bhang) คือส่วนใบและเมล็ดกัญชา ที่แยกออกมาจากส่วนยอดแล้ว

สาเหตุที่ต้องแยกออกเป็นส่วน ๆ เช่นนี้ ก็เพราะว่ามีผลต่อทางกฎหมายของอินเดียนั่นเอง

รัฐบัญญัติรัฐบาลอินเดียว่าด้วยสิ่งเสพติดและยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ค.ศ. 1985 ได้นิยามคำว่า “กัญชา” ไว้ว่า หมายถึง (ก) จรัส กล่าวคือ ยางที่สกัดแยกออกมาแล้ว ไม่ว่าในรูปแบบใด และไม่ว่าหยาบหรือละเอียด ที่ได้จากต้นกัญชา รวมถึงส่วนประกอบชนิดเข้มข้นและยางที่เรียกว่าน้ำมันฮะชีช หรือฮะชีชเหลว (ข) กัญชา กล่าวคือ ส่วนดอกหรือส่วนผลของต้นกัญชา (ไม่รวมเมล็ดและใบ เมื่อไม่ติดมากับยอด) ด้วยชื่อใดก็ตามที่เป็นที่รู้จักหรือกำหนด และ (ค) ส่วนผสมใดก็ตาม ไม่ว่าจะรวมสิ่งอื่นที่มีฤทธิ์หรือไม่ก็ตาม ที่ได้จากกัญชารูปแบบใดที่ได้นิยามไว้ข้างต้น หรือเครื่องดื่มใด ๆ ที่ปรุงขึ้นจากส่วนผสมนั้น

การบริโภคกัญชาในอินเดียยุคบริติชราชและหลังได้รับเอกราช

ก่อนหน้าจะมีรัฐบัญญัติ ค.ศ. 1985 การบริโภคกัญชาในอินเดียยุคบริติชราชและหลังได้รับเอกราชใหม่นั้นแพร่หลายมากและไม่มีข้อจำกัดเรื่องส่วนที่บริโภคได้หรือไม่ได้

รัฐบัญญัติ ค.ศ. 1985 เองก็จัดว่าเป็นผลพวงจากการกดดันของสหรัฐอเมริกา หาใช่ความต้องการของอินเดียเองไม่

สาระสำคัญของรัฐบัญญัตินี้โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับกัญชาคือ การบริโภคกัญชาตามนิยามข้างต้นเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ดังนั้นเมล็ดและใบกัญชาที่ไม่เข้าตามนิยามข้างต้น ก็ถือว่าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย และบริโภคได้เต็มที่นั่นเอง

เหตุใดกฎหมายอินเดียยังคงยกเว้นการบริโภคบางส่วนของกัญชา

หากพิจารณาประเด็นนี้จากแง่มุมของสังคมวัฒนธรรม ก็คงเข้าใจสาเหตุได้ไม่ยาก

ที่กฎหมายอินเดียยังคงยกเว้นการบริโภคบางส่วนของกัญชา ทั้งนี้เพราะกัญชาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนมายาวนานนับพัน ๆ ปี และมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานด้วย โดยเฉพาะในหมู่ชาวฮินดูผู้นับถือไศวนิกาย

การห้ามกัญชาในทุกรูปแบบคงแทบเป็นไปไม่ได้เลยในสังคมเช่นอินเดียนี้ และต่อให้มีกฎหมายห้ามแล้วเช่นในปัจจุบันก็ตาม นักบวชหรือสาธุหลายคนก็ยังคงสูบกัญชาอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ด้วยโครงสร้างสังคมอินเดียที่ค่อนข้างจะให้เกียรติบรรดาผู้บำเพ็ญพรต ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมิได้เข้มงวดกวดขันกับเรื่องนี้เท่าใดนัก เห็นเข้าก็มองผ่าน ๆ ไปเสีย

ภางค์ = ใบและเมล็ดกัญชา

เรื่องการบริโภคกัญชาผิดกฎหมายจะไม่กล่าวลงรายละเอียดมาก แต่สิ่งที่สนใจคือส่วนที่เรียกว่า ภางค์

ภางค์คือใบและเมล็ดกัญชาที่รัฐบัญญัติ ค.ศ. 1985 ไม่ได้ห้ามไว้ แล้วชาวอินเดียบริโภคกันในลักษณะใด

วิธีหนึ่งที่แพร่หลายที่สุดก็คือ การนำเอาใบกัญชามาบดในครกจนละเอียด หรืออาจใช้ที่ป่นผงมาแล้ว นำไปผสมกับนมเปรี้ยว หน้าตาก็จะเหมือนกับลาซซีที่มีสีเขียวหม่น ๆ เครื่องดื่มชนิดนี้ดื่มกันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลโฮลี ในแถบมลรัฐตอนเหนือของอินเดีย เช่น ปัญจาบ อุตตรประเทศ พิหาร ผู้คนมองว่าเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ช่วยแก้อาการต่าง ๆ และทำให้สดชื่น นอกจากวิธีการดังกล่าวแล้ว ยังมีการนำใบกัญชาป่นไปผสมกับอาหาร หรือทำเครื่องดื่มที่ปรุงรสด้วยน้ำตาล ถั่ว และโรยเครื่องเทศหลายชนิด นอกจากนี้ยังอาจนำไปกวนกับฆีและน้ำตาลเพื่อทำเป็นขนมที่เรียกว่า ฮาลวา ใช้แจกกันเป็นประสาท (ขนมมงคล) ในวัดฮินดูอีกด้วย

กฎหมายเกี่ยวกับกัญชาในอินเดีย

อันที่จริง กฎหมายเกี่ยวกับกัญชาในอินเดียยังมีรายละเอียดแตกต่างกันในระหว่างมลรัฐ เพราะอินเดียเป็นสหพันธรัฐ ดังนั้นรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมลรัฐจึงมีสิทธิ์ออกกฎหมายในพื้นที่ของตนเอง

บางมลรัฐก็ออกกฎหมายให้จดทะเบียนร้านขายเครื่องดื่มจากภางค์ได้อย่างถูกต้อง เช่น ในมลรัฐอุตตรประเทศ พิหาร เบงกอล เป็นต้น ส่วนบางมลรัฐเช่นราชสถานห้ามผลิตภางค์เอง แต่สามารถซื้อหาจากมลรัฐอื่นที่อนุญาตการผลิตภางค์ได้

แน่นอนว่าส่วนของกัญชาที่รัฐบัญญัติ ค.ศ. 1985 ระบุว่าเป็นยาเสพติด ก็ต้องผิดกฎหมายในทุกมลรัฐเพราะกฎหมายระดับท้องถิ่นย่อมไม่อาจขัดหรือแย้งกับกฎหมายส่วนกลางได้
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย