อินเดียนำเข้าเสือชีตาห์ 8 ตัวจากประเทศนามิเบีย
906 views
0
0

เพลง Chal Chal Chal Mere Saathi
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Haathi Mere Saathi ฉายในปี ค.ศ. 1971 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยเอ็ม. เอ. ติรุมุคัม (M. A. Thirumugam) ดารานำคือราเชศ ขันนา (Rajesh Khanna) และตนุชา (Tanuja) ภาพยนตร์เรื่องนี้ในเวลานั้นเป็นภาพยนตร์ยอดฮิตที่สุดโดยโปรดิวเซอร์ชาวอินเดียตอนใต้ เพลงนี้ขับร้องโดยกิโชร์ กุมาร (Kishore Kumar)

ที่เลือกเพลงนี้เพราะต้องการเปิดเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเสือ ทว่าหาเพลงเกี่ยวกับเสือไม่เจอ เลยนำเพลงนี้มาเปิดแทน หลายคนที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไปน่าจะรู้จักเพลงนี้ เพราะในสมัยที่ฉายภาพยนตร์นี้ในไทย ก็ได้รับความนิยมไม่น้อย ชื่อภาพยนตร์เป็นภาษาไทยคือ “ช้างเพื่อนแก้ว” มีโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาษาไทยในอินเตอร์เน็ตด้วย ด้านบนของโปสเตอร์ระบุว่า “ทำรายได้สูงสุดชนะภาพยนตร์ทุกเรื่องมาแล้วทั่วประเทศไทย! เฉพาะโรงภาพยนตร์คาเธ่ย์ ฉายนานเป็นประวัติการณ์ถึง 7 เดือน!” ข้อความในเพจ “เฮียเซ้งเล่าเรื่อง” ลงวันที่ 13 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2020 ระบุว่า “ในปี พ.ศ. 2517 นักพากย์หนังสองคน ชื่อคล้องจองกันคือ ทิวา-ราตรี ได้ซื้อลิขสิทธิ์หนังดีจากอินเดีย มาพากย์เอง ฉายเอง เรื่องหนึ่งชื่อ ช้างเพื่อนแก้ว มาฉายกันข้ามปี สองปี คนดูก็ไม่เคยลดน้อยลงเลย”

อินเดียนำเข้าเสือชีตาห์ 8 ตัวจากแอฟริกา

เสือชีตาห์ 8 ตัวนี้มีตัวเมีย 5 ตัว ตัวผู้ 3 ตัว อายุระหว่าง 2-6 ปี นำเข้าทั้งหมดจากอุทยานฝั่งเหนือของวินด์ฮุก (Windhoek) เมืองหลวงของประเทศนามิเบีย (Namibia) ประเทศนามิเบียตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแอฟริกา

การเลือกเพศและอายุนี้มีสูตรอยู่ประมาณหนึ่ง สูตรนี้ก็เพื่อให้เสือชีตาห์ขยายพันธุ์ได้ตามแผน

อินเดียจะนำเข้าเสือชีตาห์ทั้งหมดประมาณ 20 ตัว นอกจากประเทศนามิเบียแล้ว อินเดียจะนำเข้าเสือชีตาห์จากประเทศแอฟริกาใต้อีก 12 ตัวด้วย แน่นอนแอฟริกามีสัตว์ป่าเยอะอยู่แล้ว ผู้ฟังหลายคนก็คงได้ชมสารคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับสัตว์หลายประเภทในแอฟริกามาบ้างแล้ว เว็บไซต์แห่งหนึ่งระบุด้วยว่า จำนวนเสือชีตาห์ทั้งหมดในโลกมีประมาณ 7,100 ตัว ประเทศนามิเบียและประเทศแอฟริกาใต้มีเสือชีตาห์ประมาณสองพันสามร้อยกว่าตัว ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนเสือชีตาห์ทั้งหมดในโลก

ทำไมอินเดียต้องนำเข้าเสือชีตาห์

คำตอบคือ เพราะว่าอินเดียไม่มีเสือชีตาห์แล้ว

ปี ค.ศ. 1952 หลังอินเดียประกาศเอกราชได้ 5 ปี ทางการอินเดียได้ประกาศว่า เสือชีตาห์พันธุ์เอเชีย หรือที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า “The Asiatic cheetah” สูญพันธุ์แล้ว แหล่งข่าวแห่งหนึ่งระบุด้วยว่า การสูญพันธุ์ของเสือชีตาห์สำคัญมากในแง่ที่ว่า นี่คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่เพียงประเภทเดียวที่สูญพันธุ์ในประเทศอินเดียนับตั้งแต่อินเดียได้รับเอกราช

เสือชีตาห์ตัวแรกในโลกที่ได้รับการผสมพันธุ์อยู่ในอินเดียในช่วงการปกครองของจักรพรรดิญะฮันกีร์ (Jahangir) คือยุคสมัยโมกุลปกครองอินเดีย พระเจ้าอักบาร์ (Akbar) พระบิดาของญะฮันกีร์ เคยบันทึกไว้ว่ามีเสือชีตาห์ 10,000 ตัวในช่วงรัชสมัยของพระองค์ คือระหว่าง ปี ค.ศ. 1556 ถึง 1605 ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็บอกว่าไม่มีอะไรยืนยันตัวเลขนี้ได้

ในเวลาต่อมา การวิจัยชี้ให้เห็นว่าจำนวนของเสือชีตาห์ลดลงเหลือ 200 ตัวในศตวรรษที่ 19 และมีรายงานว่า พบเสือชีตาห์ครั้งสุดท้ายในอินเดียเมื่อ 70 ปีที่แล้ว

เหตุที่ทำให้เสือชีตาห์พันธุ์เอเชียสูญพันธุ์

ก็เพราะคนเลี้ยงแกะและแพะ

การศึกษาที่ผ่านมาชี้ว่า ในยุคสมัยอาณานิคม คนเลี้ยงแกะและแพะได้ฆ่าเสือชีตาห์อย่างน้อย 200 ตัว ที่ฆ่าก็เพราะต้องการปกป้องฝูงแพะฝูงแกะของตน ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นด้วยว่า นอกจากคนเลี้ยงแกะและแพะแล้ว การรุกป่าก็ทำให้เสือชีตาห์สูญเสียถิ่นที่อยู่ ผนวกกับการขาดแคลนอาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญของการทำให้เสือชีตาห์สูญพันธุ์

นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว การล่าเสือชีตาห์ในอดีตก็สำคัญเช่นกัน เว็บไซต์แห่งหนึ่งรายงานว่า เป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า มหาราชารามานุช ประตาบ สิงห์ เทพ (Maharaja Ramanuj Pratap Singh Deo) ได้ล่าเสือชีตาห์สามตัวสุดท้ายที่บันทึกไว้ในอินเดียในช่วงปลายทศวรรษ 1940

เหตุที่รัฐบาลอินเดียนำเข้าเสือชีตาห์กลับสู่ป่าอินเดียอีกครั้ง

เพราะหวังว่าจะช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศที่รองรับแมวพันธุ์ใหญ่ ที่ใช้คำว่าแมวก็เพราะว่าคำนี้คือชื่อตระกูลของสัตว์จำพวกเสือ

ผู้สนับสนุนโครงการนี้ให้เหตุผลด้วยว่า การนำเสือชีตาห์กลับคืนสู่ป่าอินเดียอีกครั้งจะช่วยบำรุงเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญด้วย

นอกจากคนแถวนั้นจะมีงานทำที่เกี่ยวกับเสือชีตาห์แล้ว หากขยายพันธุ์ได้สำเร็จก็คงจะทำให้เกิดเรื่องของการท่องเที่ยวด้วย ดังที่ยาทเวนทรเทพ ฌาลา (Yadvendradev Jhala) คณบดีแห่ง “Wildlife Institute of India” กล่าวไว้ว่า “เสือชีตาห์เป็นสัตว์ที่สง่างาม เป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ” ฌาลากล่าวต่อว่า เสือชีตาห์ที่นำเข้าจะทำให้รัฐบาลทุ่มเงินเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพก็จะเจริญเติบโตดี

ปล่อยเสือชีตาห์ที่อุทยานแห่งชาติกุโน

ท้องถิ่นที่ว่านี้คือ อุทยานแห่งชาติกุโน (Kuno National Park) ในมลรัฐมัธยประเทศ (Madhya Pradesh) ประมาณ 320 กิโลเมตรจากทางใต้ของนิวเดลี

รัฐบาลนำเสือชีตาห์ทั้ง 8 ตัวไปลงที่เมืองควาลิยัร (Gwalior) ในมลรัฐมัธยประเทศ เครื่องบินที่นำพาเสือชีตาห์มาคือเครื่องบินโดยสาร Boeing 747 ที่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะต่อการขนส่งเสือชีตาห์ ซึ่งตรงนี้ต้องขออธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ตกแต่งด้านหน้าเป็นรูปเสือเลย หรือ “Cat plane”

การเดินทางใช้เวลา 11 ชั่วโมง เมื่อเครื่องบินมาถึงควาลิยัรแล้ว ก็นำพาเสือชีตาห์ไปที่อุทยานแห่งชาติกุโนโดยเฮลิคอปเตอร์ และ ณ อุทยานแห่งชาติ นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะปล่อยเสือชีตาห์ในพื้นที่ควบคุมที่มีขนาดประมาณ 749 ตารางกิโลเมตร ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อให้เสือมาถึงทันวันเสาร์ที่ 17 กันยายน ซึ่งตรงกับวันเกิดนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ปีนี้ครบ 72 ปีบริบูรณ์

นายประศันต์ อัครวาล (Prashant Agrawal) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำนามิเบีย (ข้าหลวงใหญ่) กล่าวว่า โครงการนี้นับได้ว่าเป็นการย้ายเสือชีตาห์ข้ามทวีปแห่งแรกของโลก ซึ่งเป็นสัตว์บกที่เร็วที่สุดในโลก

พื้นที่ควบคุมที่กล่าวไปนี้ล้อมรอบด้วยรั้วไฟฟ้า และได้รับการออกแบบให้เหมาะสำหรับการกักกันเสือชีตาห์ และเมื่อมั่นใจแล้ว จึงจะปล่อยออกไปในอุทยานเขตป่าใหญ่ พร้อมกันนี้เสือชีตาห์แต่ละตัวจะมีทีมอาสาสมัครคอยดูแลเฝ้ามอง คอยตรวจสอบและคอยติดตามความเคลื่อนไหวของแต่ละตัว ที่สำคัญแต่ละตัวจะมีปลอกคอวิทยุดาวเทียมเพื่ออัปเดตตำแหน่งทางภูมิศาสตร์

ประเด็นที่เกิดขึ้นจากการนำเข้าเสือชีตาห์

ประเด็นการนำเข้าเสือชีตาห์และพิธีกรรมที่จัดประชาสัมพันธ์เป็นข่าวใหญ่โตนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยผู้คนที่แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม

1. กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญเรื่องสัตว์และสิ่งแวดล้อม

กลุ่มนี้มองว่าการกระทำของรัฐบาลอาจจะส่งผลเลวร้ายต่อเสือชีตาห์ เพราะเสือชีตาห์เป็นสัตว์ที่บอบบาง มักหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ฉะนั้นแล้ว มีความเสี่ยงไม่น้อยเลยที่เสือชีตาห์เหล่านี้จะตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าอื่น ๆ ที่อาศัยในอุทยาน สัตว์ป่าอื่น ๆ ที่ว่านี้ก็เช่นเสือดาว ที่อาจกินลูกเสือชีตาห์ได้ ข้อวิจารณ์นี้ก็น่าฟังอยู่ เพราะอุทยานแห่งนี้มีเสือดาวจำนวนไม่น้อย กลุ่มนี้ให้ความเห็นด้วยว่า มีความน่าจะเป็นไม่น้อยเลยที่เสือชีตาห์จะหลงทางออกนอกเขตอุทยานป่าใหญ่ หลงเข้าไปในหมู่บ้านของผู้คนและในที่สุดก็จะถูกฆ่าเหมือนกับในอดีต

อรชุน โคปาลสวามี (Arjun Gopalaswamy) นักวิทยาศาสตร์อิสระที่เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผู้เคยวิจัยศึกษาเรื่องเสือในแอฟริกาและเอเชีย ก็ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ของรัฐบาล โคปาลสวามีให้ความเห็นว่า ที่เสือชีตาห์สูญพันธุ์ไปในอดีตก็ด้วยปัจจัยมนุษย์ วันนี้ปัจจัยมนุษย์ดังกล่าวก็เลวร้ายกว่าเดิม เลวร้ายกว่า 70 ปีที่แล้วเมื่อเสือชีตาห์สูญพันธุ์ไปจากอินเดีย หากขยายความก็คือ สิ่งที่โคปาลสวามีต้องการเน้นคือ ประชากรมนุษย์ที่มากขึ้น ความจำเป็นในเรื่องปากท้องของพวกเขาย่อมทำให้ปัจจัยมนุษย์นี้ย่ำแย่กว่าเดิม

ทางการอินเดียก็ตอบกลับในทำนองว่า ที่กลัวว่าเสือชีตาห์จะตกอยู่ในภยันตรายนั้นฟังดูแล้วไม่มีมูล ทางการอินเดียยืนกรานว่า แท้จริงแล้วเสือชีตาห์เป็นสัตว์ที่ปรับตัวได้ดี ในขณะเดียวกันทางการอินเดียก็ได้สำรวจตรวจสอบพื้นที่อย่างครบถ้วนสำหรับเรื่องสัตว์อื่น ๆ และเรื่องของคนที่อาจจะทำให้เสือชีตาห์ตกอยู่ในความเสี่ยง กล่าวอย่างสรุปคือ ทางการอินเดียค่อนข้างมั่นใจว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จ

ในทำนองเดียวกัน ลอรี มาร์เคอร์ (Laurie Marker) นักสัตววิทยาชาวอเมริกันผู้ก่อตั้ง “Cheetah Conservation Fund” องค์กรไม่แสวงกำไรที่ตั้งอยู่ในนามิเบียก็กล่าวในทำนองเดียวกับทางการของอินเดียว่า “เสือชีตาห์ปรับตัวได้ดีมาก” ดังนั้นแล้ว ก็น่าจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ “ดิฉันไม่มีอะไรวิตกกังวลมาก”

เหตุที่เราต้องกล่าวถึงนักสัตววิทยาคนนี้ก็เพราะองค์กรของเธอเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนเรื่องขนย้ายนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง

สำหรับประเด็นนี้เราทั้งสองก็ต้องยุติธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายที่คัดค้านหรือวิพากษ์วิจารณ์ กาลเวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสำเร็จหรือไม่

2. กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่มองว่านายกโมดีมีไอเดียใหม่แบบนี้ก็เพื่อสร้างความนิยมให้ตนเอง

ข้อวิพากษ์ของกลุ่มที่สองนี้ปรากฏอยู่ในห้องสนทนาออนไลน์ สำหรับข้อวิพากษ์นี้ผมมีความเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกนะหากรัฐบาลทำอะไรแล้วหวังผลว่าตนจะได้รับความชื่นชอบ นี่ก็เป็นสัจธรรมทางการเมืองที่เราพบเห็นอยู่ทุกหนแห่ง เพียงแต่ก็อย่าให้น่าเกลียดจนเกินไป เพราะท้ายที่สุดก็ต้องทำและคิดให้เกี่ยวกับประเทศชาติของตนในภาพรวมด้วย

แต่มีประเด็นย่อยประเด็นหนึ่งที่ผมต้องคัดค้านทันที นั่นคือ เรื่องการนำเข้าเสือชีตาห์หาใช่เรื่องใหม่ไม่ แท้จริงแล้วอินเดียเคยมีความพยายามนำเข้าเสือชีตาห์ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 แล้ว สมัยนั้นอินเดียพยายามเจรจากับอิหร่าน คืออินเดียยินดีแลกสิงโตของตนกับเสือชีตาห์อิหร่าน เหตุที่ต้องเลือกอิหร่านก็เพราะว่าเสือชีตาห์อิหร่านเป็นสายพันธุ์เอเชีย ทว่าข้อตกลงล้มเหลวก่อนการปฏิวัติอิหร่าน

ที่ต้องเลือกอิหร่านก็เพราะเป็นประเทศเดียวที่เหลือเสือชีตาห์พันธุ์เอเชีย ในตะวันออกกลางและเอเชียกลางก็ประสบชะตากรรมเดียวกันกับอินเดียคือสูญพันธุ์หมด เหลือแค่ในอิหร่านซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก

อีกข้อหนึ่งที่ต้องยกมาเพื่อลบล้างความคิดที่ว่าเรื่องนี้เป็นไอเดียใหม่ก็คือ แม้แต่การเจรจาเรื่องการนำเข้าเสือชีตาห์จากนามิเบียก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ คือเริ่มคุยกันตั้งแต่ทศวรรษ 1990 แล้ว การเจรจาเรื่องนี้เกิดอย่างจริงจังอีกครั้งในปี ค.ศ. 2020 เมื่อศาลสูงสุดของอินเดียเห็นชอบกับการนำเข้าเสือชีตาห์สายแอฟริกัน ไม่ใช่สายพันธุ์เอเชีย แต่การเห็นชอบนี้จะต้องเป็นไปตามการคัดสรรพื้นที่พิเศษและเป็นการทดลอง

ชวนคิดต่อเรื่องนักท่องเที่ยวอินเดีย

สำหรับชาวไทยเรา นอกจากวันนี้เราทั้งสองได้เล่าเรื่องการนำเข้าเสือชีตาห์จากนามิเบียสู่อินเดียแล้ว สิ่งที่ใคร่ชวนผู้ฟังคิดต่ออีกคือ นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมาประเทศไทยเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เราคงต้องอย่ารู้สึกพึงพอใจแล้วหยุดนิ่งแต่อย่างเดียว เราต้องพัฒนากันต่อไป เราต้องคำนึงถึงนักท่องเที่ยวอินเดียที่มาไทยบ่อย ๆ และนักท่องเที่ยวอินเดียที่ชอบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติด้วย

สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตมาโดยตลอดคือ รูปภาพป่า สัตว์ หรือธรรมชาติโดยรวมที่ขึ้นจอทีวีเวลาเราหยุดทีวีไว้ชั่วคราว มีรูปภาพจำนวนมากที่ถ่ายโดยชาวอินเดีย ตรงนี้ดูได้จากชื่อและนามสกุล นี่คือตัวชี้วัดอย่างหนึ่งบ่งบอกได้ไม่มากก็น้อยว่าเขานิยมเรื่องความสวยงามของธรรมชาติ อีกอย่างคือ เมื่อชาวอินเดียมีรายได้มากขึ้น รสนิยมของเขาคงไม่จำกัดอยู่กับเมืองติดทะเลเท่านั้น ประเทศไทยเรามีสถานที่ธรรมชาติหลายแห่งที่สวยงามมาก ถ้าเรามุ่งมั่นพัฒนาให้แต่ละแห่งสะอาด ปลอดภัย ปลอดจากคนโกงหรือพวกต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว ผมว่าเราจะดึงดูดนักท่องเที่ยวอินเดียได้มากขึ้น คิดกันดี ๆ เดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างสง่างามเพื่อประเทศไทยของเรา
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย