วันที่ 1 ตุลาคม 2565
เพลง Alaikadal
เป็นเพลงภาษาทมิฬ มีชื่อว่า “Alaikadal” เป็นเพลงใหม่ เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2022 เพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์ที่ชื่อว่า “Ponniyin Selvan Part 1” หนังฟอร์มยักษ์ที่สร้างจากบทประพันธ์ขนาดยาวกว่าสองพันหน้าของผู้เขียนนามว่า “กัลกี กฤษณมูรติ” ฉากของเรื่องเกิดในอาณาจักรโจฬะของชาวทมิฬ เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการทำสงคราม โดยหนังเรื่องนี้จะเป็นภาคแรกของชุด ฉายรอบปฐมทัศน์ในวันที่ 30 กันยายน 2022 เพลงนี้ประพันธ์ดนตรีและอำนวยการผลิตโดย A.R. Rahman เนื้อเพลงโดย Siva Ananth เสียงร้องโดย Antara Nandy
ที่เราอยากจะยกเรื่องของมลรัฐทมิฬนาฑูมาพูดในรายการ ก็เพราะผมได้รับข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องวัฒนธรรมด้วยกันเสมอ โดยเขาไปเห็นว่า คำว่า “ทมิฬ” ถูกนำไปใช้แปลในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ด้วย กล่าวคือ บนแหวนสำคัญในเรื่องถูกจารึกด้วยอักษรเทงวาร์ในถ้อยคำภาษาที่เรียกว่า “ภาษาทมิฬแห่งมอร์ดอร์” ครั้นเมื่อไปตรวจสอบก็พบว่า ต้นฉบับภาษาอังกฤษเรียกว่า “The Black Speech of Mordor” ซึ่งถ้าจะให้ผมเลือกแปล ก็คงใช้ว่า “ภาษาดำแห่งมอร์ดอร์” หรือสิ่งที่คล้าย ๆ กันมากกว่า
ทั้งนี้ผมไม่ได้ต้องการตำหนิคนแปลที่เลือกใช้คำว่า “ทมิฬ” แทนคำว่า “ดำ” ที่เข้าใจได้ก็เพราะขนบของภาษาเราใช้สืบทอดกันมานานแล้ว ดังในพจนานุกรมราชบัณฑิตยฯ ฉบับล่าสุดให้ความหมายไว้ว่า
(๑) [ทะมิน] น. ชนพื้นเมืองอินเดียเผ่าหนึ่ง ปัจจุบันมีอยู่มากทางอินเดียแถบใต้และเกาะลังกาแถบเหนือ, ชื่อภาษาของชนเผ่านั้น. (ป.). [แน่นอนว่านี่เป็นความหมายหลักที่ปัจจุบันเราใช้หมายความถึง และควรจำกัดอยู่เฉพาะความหมายนี้]
(๒) [ทะมิน] ว. ดุร้าย, ร้ายกาจ, เช่น ใจทมิฬ ยุคทมิฬ, บางทีก็ใช้เข้าคู่กับคำ หินชาติ เป็น ใจทมิฬหินชาติ. (ป.). [ซึ่งข้อนี้เป็นความหมายที่ไม่พึงประสงค์ และเราควรเลิกใช้]
เกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำต่าง ๆ ในความหมายที่ไม่พึงประสงค์ เท่าที่ผมจำได้ในฐานะผู้ดำเนินรายการ รายการปกิณกะอินเดียของเราก็เป็นกระบอกเสียงให้สังคมเกี่ยวกับการใช้คำต่าง ๆ มาบ้างแล้วพอสมควร เช่นคำหนึ่งที่เราคอยกระตุ้นอยู่เนือง ๆ ว่าไม่เหมาะสม ก็คือการเรียกบรรดาผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัวว่า “จัณฑาล” ซึ่งเป็นทั้งคำที่มีความหมายไม่ดีและยังไม่สะท้อนความเป็นจริงอีกด้วย ทั้งนี้เพราะบรรดาคนนอกวรรณะมีหลายจำพวกและ “จัณฑาล” ที่ว่าเป็นเพียงกลุ่มย่อยที่เล็กกว่ามากและเกิดขึ้นเพราะเงื่อนไขจำกัดกว่ามาก พวกเขาจะพึงพอใจมากกว่าถ้าเรียกเขาว่า “ทลิต” นอกจากนี้ยังมีรายการตอนหนึ่งที่เราอุทิศให้ประโยคหนึ่งที่ว่า “เจองูเจอแขก ตีแขกก่อน” ซึ่งเป็นคำที่ไม่ยอมหมดไปจากสังคมไทยเสียที และค่อนข้างเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของประเทศมาก เนื่องจากทั้งสร้างความร้าวฉานและสร้างกำแพงในจิตใจคนทั้งสองชาติ นอกเหนือจากทั้งสองคำนี้ ถ้าจะมีคำใดไม่เหมาะสมอีก ก็คือการใช้คำว่า “ทมิฬ” ในความหมายทางลบนี่แหละ ก่อนอื่นจำต้องเข้าใจที่มาจริง ๆ ของคำว่า “ทมิฬ” เสียก่อน
อย่างที่พจนานุกรมเองก็อธิบายไว้คือ เป็นชื่อของชนชาติที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของอินเดียและตอนเหนือของเกาะลังกา
คำว่า ทมิฬ เป็นภาษาบาลี ซึ่งตรงกับการออกเสียงของภาษาทมิฬเองด้วย ส่วนภาษาสันสกฤตเรียกชนชาตินี้ว่า ทฺราวิฑ ซึ่งคำนี้เป็นคำที่แพร่หลายในทางมานุษยวิทยาด้วย คือเรียกเผ่าพันธุ์ที่มาจากอินเดียตอนใต้ว่า ดราวิเดียน และในทางภาษาศาสตร์ก็เรียกตระกูลภาษาที่กำเนิดจากถิ่นนี้ว่า ภาษาตระกูลดราวิเดียน ซึ่งภาษาทมิฬเป็นภาษาเก่าที่สุดที่ยังคงใช้กันมาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ชาวทมิฬภาคภูมิใจในภาษาและวรรณกรรมของตนเองมาก และมักไม่สนใจจะใช้ภาษาฮินดีมากเท่าที่ควร ซึ่งพวกเขามีเหตุผลที่ดีมาก เพราะว่าภาษาทมิฬดำรงอยู่ในอนุทวีปมาเนิ่นนานหลายพันปี
เกี่ยวกับเรื่องนี้มักเชื่อกันมาแต่เดิมว่า ชาวอารยันได้รุกล้ำอนุทวีปและเบียดขับชาวพื้นเมืองดั้งเดิมที่เราเรียกว่า “อาทิวาสี” ให้จำกัดการขยายขอบเขตอยู่เฉพาะทางใต้ ในดินแดนห้ามลรัฐใหญ่ตอนใต้ของอินเดียในปัจจุบัน ซึ่งถ้าจะกล่าวเรียงลำดับจากบนลงล่างก็คือ เตลังคานะ อานธรประเทศ (สองมลรัฐนี้เคยเป็นมลรัฐเดียวกันมาก่อน เพิ่งแบ่งแยกเมื่อไม่นานนี้เอง) กรรนาฏกะ เกรละ และทมิฬนาฑู คำว่า “นาฑู” (Nadu) ในชื่อมลรัฐนี้เป็นภาษาทมิฬ มีความหมายเดียวกับภาษาฮินดีว่า “pradesh” หรือดินแดนนั่นเอง
ที่น่าสนใจคือ ความเชื่อที่ว่านี้ มีการค้นพบหลักฐานใหม่ที่อาจจะมาหักล้างความเชื่อดังกล่าวซึ่งเผยแพร่โดยชาวอังกฤษ โดยกระแสใหม่กล่าวว่า ทั้งกลุ่มคนที่เราเรียกว่าอารยันและทราวิฑอยู่ร่วมกันในอนุทวีปมายาวนานกว่า 7000 ปี รายละเอียดของเรื่องนี้ เราอาจจะนำเสนอในอนาคตเพราะเป็นเรื่องที่ยาวมาก ประวัติศาสตร์นั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามหลักฐานที่ค้นพบ สำหรับวันนี้เราจะเล่าเฉพาะเรื่องทมิฬนาฑู
ข้อมูลจำเพาะของมลรัฐทมิฬนาฑูคือ มีพื้นที่ 130,058 ตร.กม. ถือเป็นมลรัฐพื้นที่ใหญ่ลำดับ 10 ในอินเดีย จำนวนประชากรจากสำมะโนปี 2011 เท่ากับ 72,147,030 คน เป็นลำดับ 6 ในอินเดีย
เมืองหลวงของทมิฬนาฑูมีชื่อทางการว่า เจนไน (Chennai) สมัยก่อนเมืองนี้มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า มัทราส (Madras) เป็นชื่อที่ผู้ปกครองชาวอังกฤษในสมัยบริติชราชใช้เรียก และใช้เป็นทางการมาจนถึงปี ค.ศ. 1996 หรือร่วมครึ่งศตวรรษหลังอินเดียได้รับเอกราช จึงจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อปัจจุบัน
มลรัฐทมิฬนาฑูมีภาษาทมิฬเป็นภาษาราชการ นอกจากจะพูดในทมิฬนาฑูของอินเดียแล้ว ยังเป็นภาษาสำคัญของศรีลังกาและสิงคโปร์ ซึ่งมีชุมชนชาวทมิฬขนาดใหญ่พอสมควรอยู่ด้วย
ทมิฬนาฑู | Tamil Nadu
เมื่อ 1,000 ปีก่อนที่มนุษย์สายพันธุ์โฮโมเซเปียนส์ที่แพร่จากแอฟริกาจะลงมาอาศัยอยู่ ก็มีหลักฐานพบมนุษย์ต่างสายพันธุ์ที่บริเวณแถบนี้แล้ว อย่างไรก็ดี มนุษย์ดึกดำบรรพ์พวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับชาวทมิฬในปัจจุบัน ต้นตออารยธรรมทมิฬที่สัมพันธ์กับปัจจุบันสืบย้อนขึ้นไปได้ถึงช่วงยุคหินใหม่ คือประมาณ 2,000 ถึง 1,500 ปีก่อนคริสตกาล หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญได้ค้นพบในพื้นที่ชื่อว่า อะดิจะนัลลูร์ (Adichanallur) ในเมือง ตูตุกุฎิ (Thoothukudi) ทางตอนใต้ของมลรัฐนี้ ในสมัยนั้นมีอารยธรรมที่เรียกว่า หะรัปปา (Harappa) กับโมเหนโช-ทโร (Mohenjo-daro) เชื่อกันว่าชาวอารยันน่าจะเข้ามาในช่วงนี้
ยุคที่อาณาจักรทมิฬเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา มีชื่อเรียกว่ายุค “สังคัม” (Sangam Period) เป็นช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลถึงประมาณ ค.ศ. 300
ในช่วงเวลานี้ ดินแดนแห่งชาวทมิฬถูกแบ่งแยกปกครองโดยกษัตริย์สามอาณาจักร คือ เจระ (Chera) ทางตะวันตกของทมิฬนาฑูและเกรละปัจจุบันทั้งมลรัฐ โจฬะ (Chola) ตอนใต้ของทมิฬนาฑูปัจจุบัน และปาณฑยะ (Pandya) ตอนเหนือของทมิฬนาฑูปัจจุบัน ที่น่าสนใจคือ ทั้งสามอาณาจักรเจริญรุ่งเรืองและไม่เคยตกอยู่ใต้อำนาจของคนต่างเผ่าเลย แม้แต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชผู้เกรียงไกร ซึ่งก็ทรงดำเนินนโยบายการทูตกับทั้งสามอาณาจักรอย่างมีนัยสำคัญ
ยุคต่อมาเรียกว่าสมัยอาณาจักรยุคกลาง ประมาณช่วง ค.ศ. 600-1300
ช่วงต้นสมัยนี้ ราชวงศ์ปัลลวะได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เมืองหลวงของราชวงศ์นี้อยู่ที่กาญจิปุรัม สมัยอาณาจักรยุคกลางนี่เองที่อาณาจักรต่าง ๆ ผลัดกันขึ้นมารุ่งเรือง อาณาจักรโจฬะพิชิตปัลลวะในช่วงคริสตศตวรรษที่ 9 และเป็นอาณาจักรที่แพร่อิทธิพลขึ้นไปผ่านตะวันออกเฉียงเหนืออินเดีย ทั้งยังข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงภาคใต้ของไทยและคาบสมุทรมลายู หลักฐานที่ปรากฏในไทยนั้นพบในเมืองไชยา สุราษฏร์ธานี ในช่วงต่อมาคือคริสตศตวรรษที่ 13 อาณาจักรปาณฑยะก็ขึ้นมารุ่งเรืองที่สุด มาร์โค โปโล นักสำรวจชาวอิตาเลียนที่เข้ามาในช่วงนี้ถึงกับกล่าวว่าปาณฑยะเป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยที่สุดที่มีอยู่ในเวลานั้น
ช่วงต่อมาของประวัติศาสตร์ทมิฬ เป็นช่วงที่เรียกกันว่าวิชัยนครและนายัก คือราว ค.ศ. 1336-1646
ซึ่งอำนาจของช่วงนี้ตกอยู่ใต้ราชวงศ์วิชัยนครเพียงหนึ่งเดียว โดยมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่กรรนาฏกะปัจจุบัน ในช่วงปลายสมัยดังกล่าวนี้อาณาวิชัยนครพ่ายแพ้แก่ผู้รุกรานชาวมุสลิม และบรรดาผู้นำท้องถิ่นที่เรียกกันว่า “นายัก” ก็กอบกู้เอกราชและเข้ามาปกครองดินแดน ยุคต่อมาคือปลายศตวรรษที่ 17 จนถึงต้นศตวรรษที่ 19 หมดไปกับการแย่งชิงอำนาจในระหว่างผู้นำมุสลิม สุลต่านแห่งกอลคอนด้าเข้ามารุกรานถึงใจกลางทมิฬนาฑู และต่อมาเมื่อสุลต่านแห่งกอลคอนด้าสยบต่ออำนาจราชวงศ์โมกุล ผู้เข้าครองดินแดนทมิฬต่อก็คือนะวาบแห่งกรรนาฏกะ การแย่งชิงอำนาจภายในดำเนินไประหว่างหัวเมืองต่าง ๆ มากมายจนกระทั่งบริษัทอินเดียตะวันออกเข้ามากุมอำนาจเบ็ดเสร็จในปี ค.ศ. 1802 และตั้งแคว้นมัทราส (Madras Presidency) ซึ่งต่อมาภายหลังอินเดียได้รับเอกราช ก็ได้กลายเป็นทมิฬนาฑู บางส่วนก็รวมเข้ากับเกรละ กรรนาฏกะ และอานธรประเทศ ตามเส้นแบ่งทางภาษา
แบ่งออกเป็น 38 หัวเมือง จัดแบ่งเป็น 4 ภาคตามชื่อของอาณาจักรโบราณ คือ ปัลลวะนาฑู เจระนาฑู โจฬะนาฑู ปาณฑยนาฑู พลเมืองส่วนใหญ่คือราว ๆ ร้อยละ 88 นับถือศาสนาฮินดู รองลงมาคือคริสต์ ประมาณร้อยละ 6 และอิสลามอีกเกือบร้อยละ 6
ศาสนาฮินดูในทมิฬนาฑูค่อนข้างน่าสนใจมาก กล่าวคือมีการบูชาเทพที่ตกทอดมาในท้องถิ่นอินเดียใต้ตั้งแต่โบราณ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ วัดแขกสีลมในบ้านเราเองที่เป็นสายทมิฬเช่นกัน เราเรียกว่าวัดศรีมหาอุมาเทวี ซึ่งทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นวัดของพระแม่อุมา ชายาของพระศิวะ แต่แท้จริงแล้วชื่อภาษาทมิฬหมายถึงวัดของพระแม่มหามาริอัมมัน เทพีฝ่ายศักติที่บูชากันเฉพาะในอินเดียใต้ หาใช่องค์เดียวกับพระแม่อุมาหรือปารวตีของฝ่ายเหนือไม่ นอกจากนี้หลายท่านอาจจะทราบแล้วว่าวัดดังกล่าวเป็นสาขาของวัดศรีมาริอัมมันที่ไชน่าทาวน์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่คนไทยนิยมไปเยี่ยมชมเป็นอันดับต้น ๆ ก็ว่าได้
สภาพภูมิอากาศของทมิฬนาฑูก็คล้ายคลึงกับบ้านเรา คือมีฤดูมรสุมและฤดูแล้ง นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ไม้และสัตว์ป่า ซึ่งคล้ายคลึงกับบ้านเราอีกเช่นกัน และที่เราเห็นตามภาพในสื่อเป็นประจำคือ ทมิฬนาฑูเต็มไปด้วยต้นกล้วยและต้นมะพร้าว และใช้ประโยชน์จากพืชสองชนิดนี้มากเป็นพิเศษ เช่นการนำใบตองกล้วยมาปูเป็นภาชนะรับประทานอาหาร และการใช้มะพร้าวมาเป็นส่วนประกอบอาหาร เช่นแกงต่าง ๆ หรือมะพร้าวขูดที่เรียกว่าจัตนีย์ สำหรับกินกับอาหารว่าง ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ โดซา ซึ่งมีลักษณะคล้ายขนมเบื้องแผ่นใหญ่ และ อิดลี ที่เป็นแป้งนึ่งทรงกลมแบนคล้ายขนมตาล การรับประทานอาหารส่วนใหญ่ของชาวทมิฬนั้นใช้มือเปิบ อาหารหลักคือข้าวสวยกับแกงหรือผัดผัก บางทีส่วนประกอบที่ใช้คล้ายบ้านเรามาก เช่น บวบ มะรุม ขนุนอ่อน กล้วยดิบ แกงหลายชนิดของทมิฬเป็นน้ำใส ต่างจากอาหารทางภาคเหนือของอินเดีย
วัฒนธรรมที่สำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของชาวทมิฬอีกอย่างหนึ่งคือการแต่งกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายจะนุ่งผ้าสีขาวยาวกรอมเท้า ที่เรียกว่า ลุงกี (Lungi) ลักษณะการนุ่งเป็นแบบโสร่ง ใช้ในชีวิตประจำวัน เวลาทำงานที่ต้องการความกระฉับกระเฉง จะยกชายผ้าขึ้นมาขัดไว้เหนือเข่า ส่วนในโอกาสทางการ เช่นการไปร่วมงานต่าง ๆ อาจมีการนุ่งผ้าแบบ โธตี (Dhoti) ซึ่งคล้ายการนุ่งโจงกระเบน วิธีการนุ่งผ้านั้นแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น ส่วนผู้หญิงห่มส่าหรีคล้ายคลึงกับสตรีอินเดียถิ่นอื่น
มรดกที่ชาวทมิฬภูมิใจอีกสิ่งหนึ่งคือนาฏศิลป์ที่เรียกว่า “ภรตนาฏยัม” (หลายคนเข้าใจว่าเป็นคำว่าภารตะ ที่แปลว่าอินเดีย แต่ที่จริงเป็นชื่อฤษีภรต) ถือเป็นแขนงนาฏศิลป์ที่เก่าแก่และสำคัญมาก มีลีลาการแสดงออกท่ามือและสีหน้าที่วิจิตรงดงามซับซ้อน ในส่วนธุรกิจบันเทิงของทมิฬปัจจุบัน ภาพยนตร์ทมิฬ ซึ่งรู้จักกันในนาม Kollywood ก็ถือว่าไม่น้อยหน้า Bollywood นัก แน่นอนว่าเราจะพูดเรื่องทั้งหมดในตอนเดียวไม่ได้ คงต้องแบ่งไปพูดตอนอื่นบ้างในอนาคต
คนทมิฬเวลาพบหน้ากันจะยกมือไหว้และทักทายด้วยคำว่า “Vanakkam”ซึ่งเป็นคำที่แตกต่างจากท้องถิ่นอินเดียส่วนใหญ่ ซึ่งเรามักจะคุ้นเคยว่าใช้คำว่า นมัสการ หรือ นมัสเต เสียส่วนมาก นอกจากนี้ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าการใช้คำว่าทมิฬที่มีความหมายถึงดุร้ายนั้นเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความจริงอย่างยิ่ง เพราะคนทมิฬส่วนใหญ่ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีอัธยาศัยไมตรีดีมาก

รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย