ทำไมต้องเปลี่ยนชื่อสนามบินเมืองจัณฑีคัรห์เป็น ชะฮีด ภคัต ซิงห์
1,342 views
0
0

เพลง Des Mere Des
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ The Legend of Bhagat Singh ฉายในปี ค.ศ. 2002 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยราชกุมาร สันโตษี (Rajkumar Santoshi) นำแสดงโดยอชัย เทวคัน (Ajay Devgan) และอื่น ๆ เพลงนี้ขับร้องโดยเอ.อาร์ แรห์มาน (A. R. Rahman) และสุขวินเดอร์ ซิงห์ (Sukhwinder Singh)

ที่เลือกเปิดเพลงนี้ก็น่าจะตรงกับปกเลยทีเดียว เพราะวันนี้เราจะพูดถึงบุคคลสำคัญคนหนึ่ง ผู้เสียสละในการต่อสู้กับอังกฤษเพื่อเอกราชอินเดียที่มีนามว่าภคัต ซิงห์ (Bhagat Singh)

การประกาศเปลี่ยนชื่อสนามบิน จัณฑีคัรห์นานาชาติ (Chandigarh International Airport) เป็น ชะฮีด ภคัต ซิงห์ นานาชาติ (Shaheed Bhagat Singh International Airport)

ผู้นำข่าวสารนี้มาบอกคือ นายนเรทรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีอินเดีย นายโมดีกล่าวในรายการ “Maan Ki Baat” ตอนที่ 93 ว่า การตั้งชื่อสนามบินใหม่ก็เพื่อเป็นการสรรเสริญนักต่อสู้เรียกร้องเอกราชผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้

สังเกตว่าการตั้งชื่อไม่ใช่แค่ภคัต ซิงห์ หากแต่มีคำว่า “ชะฮีด” นำหน้าชื่อภคัต ซิงห์ด้วย ดังนั้นก็ต้องอธิบายให้ทราบก่อนว่า คำว่า “ชะฮีด” หมายถึง ผู้ยอมสละชีพเพื่อการใดการหนึ่ง ในกรณีนี้ก็คือ ยอมสละชีพเพื่อประเทศของตน

คำว่า “ชะฮีด” มาจากอาหรับ และนำมาใช้กันในหลายภาษารวมถึงอุรดูและปัญจาบีด้วย ความหมายของการยอมสละชีพนี้ใช้ทั้งในศาสนาอิสลามและศาสนาซิกข์ กรณีนี้ก็คือภคัต ซิงห์ ที่นับถือศาสนาซิกข์ แต่ภายหลังก็เปลี่ยนไปเป็นผู้ที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า คือไม่นับถือศาสนาใดเลย

ภคัต ซิงห์ คือใคร

ภคัต ซิงห์เกิดในครอบครัวซิกข์ เกิดวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1907 บ้านเกิดของท่านคือ ไลยาลปูร์ (Lyallpur) อยู่ตรงฝั่งตะวันตกของปัญจาบ (Punjab) อนุทวีปอินเดีย ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน บิดามารดาของภคัต ซิงห์มีชื่อว่ากิศัน ซิงห์ (Kishan Singh) และวิทยาวดี กอร์ (Vidyavati Kaur)

ครอบครัวของภคัต ซิงห์หยั่งอิทธิพลต่อความคิดทางการเมืองของเขาไม่น้อยเลย เพราะหลายคนเคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพอินเดียมาแล้ว

ในภาพยนตร์ The Legend of Bhagat Singh ตอนภคัต ซิงห์ เริ่มจิตใจดจ่อกับการเมือง แม่ของภคัต ซิงห์ก็กังวลไม่น้อย และเคยกล่าวต่อบิดาของภคัต ซิงห์ในทำนองว่า ลำพังอชีต ซิงห์ (Ajit Singh) และสวรัณ ซิงห์ (Swaran Singh) ก็มากพอแล้ว ทั้งอชีต ซิงห์ และสวรัณ ซิงห์ เป็นคุณอาของภคัต ซิงห์ ที่ต่อสู้กับอังกฤษ อชีต ซิงห์ถูกเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศก่อนจะกลับบ้านได้ในปี ค.ศ. 1907 สวรัณ ซิงห์เคยถูกจำคุกด้วย แม้แต่ตัวกิศัน ซิงห์บิดาของภคัต ซิงห์ก็เป็นนักต่อสู้คนสำคัญของอินเดีย เว็บไซต์แห่งหนึ่งระบุว่า ในวันที่ภคัต ซิงห์เกิด ทั้งพ่อและอาทั้งสองก็ติดคุกเพราะร่วมประท้วงต่อต้าน “The Colonisation Bill” ในปี ค.ศ. 1906

ภคัต ซิงห์เข้าเรียนที่โรงเรียนหมู่บ้าน เรียนถึง ป. 5 ก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยม “Dayanand Anglo Vedic” หลังจากจบจากโรงเรียนแล้ว ภคัต ซิงห์ก็เข้าศึกษาต่อที่แนชั่นเนิล คอลเลจ (National College) ทั้งโรงเรียนมัธยมและแนชั่นเนิล คอลเลจตั้งอยู่ในเมืองละฮอร์ (Lahore) ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน

Bhagat Singh | ภาพ: https://www.sabrangindia.in/
สุขเทพ ซิงห์ และ ราชคุรุ

ที่แนชั่นเนิล คอลเลจ ภคัต ซิงห์ได้รู้จักเพื่อสำคัญคนหนึ่งของเขาคือ สุขเทพ ซิงห์ (Sukhdev Singh) และอีกสักพักหนึ่งเมื่อเขาเริ่มต่อสู้อย่างจริงจังแล้ว ก็รู้จักเพื่อนอีกคนที่สำคัญมากคือ ราชคุรุ (Rajguru)

ตรงนี้คงต้องขยายความให้ทราบว่าภคัต ซิงห์ รู้จักหลายคน มีหลายคนร่วมต่อสู้กับเขา ทว่าที่ต้องเน้นถึงสองคนนี้เป็นพิเศษ เพราะเพื่อนทั้งสองคนและภคัต ซิงห์ รวมกันสามคนจะกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชอินเดีย

วันนี้เราเล่าเรื่องโดยเน้นที่ภคัต ซิงห์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้เพื่อนทั้งสองจะมีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องเอกราช ทว่าภคัต ซิงห์ก็มีสถานภาพผู้นำ และโดดเด่นที่สุด

ยึดหลักตามอุดมคติของการไม่ใช้ความรุนแรงของมหาตมาคานธี

ในช่วงเริ่มแรก ภคัต ซิงห์ เป็นผู้ยึดหลักตามอุดมคติของการไม่ใช้ความรุนแรงนำโดยมหาตมาคานธี

ช่วงเริ่มแรกที่ว่านี้คือช่วงวัยรุ่น กล่าวอย่างเรียบง่ายคือ เริ่มต่อต้านอังกฤษตั้งแต่วัยรุ่นเลย รวมถึงเผาหนังสือเรียนที่จัดพิมพ์โดยรัฐบาลด้วย

เว็บไซต์แห่งหนึ่งกล่าวว่า เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ภคัต ซิงห์วัย 11 ขวบเศษเริ่มเกลียดชังอังกฤษมากเป็นพิเศษคือ พระราชบัญญัติโรวแล็ตต์ (Rowlatt Acts) ที่มีเนื้อหาสาระหลักคืออังกฤษสามารถพิจารณาคดีทางการเมืองบางคดีโดยไม่ต้องมีคณะลูกขุน นอกจากนี้พระราชบัญญัตินี้ยังอนุญาตให้กักขังผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องมีการพิจารณาคดี

พระราชบัญญัตินี้ไม่เป็นที่พอใจโดยชาวอินเดียอย่างมาก มหาตมาคานธีก็จัดนำการประท้วงและในที่สุดก็มีกลุ่มซิกข์ประท้วงที่ญัลเลียนวาลาบาฆ (Jallianwala Bagh) เมืองอมฤตสระ (Amritsar) นำไปสู่การสังหารหมู่โดยอังกฤษ อย่างไรก็ตาม คงต้องแจ้งให้ผู้ฟังทราบด้วยว่า พระราชบัญญัติโรวแล็ตต์ไม่เคยถูกนำมาใช้ อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ภคัต ซิงห์เกลียดชังอังกฤษอย่างมากคือ การสังหารผู้ประท้วงที่ยึดวิถีสันติที่นันกานา ซาฮิบ (Nankana Sahib) ในปี ค.ศ. 1921

การตายของผู้คนที่ประท้วงกันโดยสันติโดยเฉพาะที่ญัลเลียนวาลาบาฆนั้นกระทบกระทั่งจิตใจของผู้คนไม่น้อยเลย ทว่าภคัต ซิงห์ก็ยังศรัทธาหลักอหิงสาของมหาตมาคานธีอยู่

รู้สึกอกหักกับมหาตมาคานธี

แต่สิ่งที่ทำให้ภคัต ซิงห์ รู้สึกอกหักกับมหาตมาคานธีคือเมื่อมหาตมาคานธีตัดสินใจยกเลิกขบวนการไม่ให้ความร่วมมือกับอังกฤษ (noncooperation movement) หลังจากเหตุการณ์จอรี จอรา (Chauri Chaura)

“จอรี จอรา” เป็นชื่อหมู่บ้าน ปัจจุบันตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของมลรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh)

เหตุการณ์จอรี จอรา คือผู้ประท้วงชาวอินเดียที่สนับสนุนขบวนการคิลาฟัต (Khilafat movement) และอินเดียนแนชั่นเนิลคองเกรส (Indian National Congress) ปะทะกับตำรวจ ทำให้ผู้ประท้วงเผาโรงพักและทำร้ายตำรวจ ผลของการปะทะครั้งนี้ทำให้นายตำรวจ 22 คนเสียชีวิต เหตุการณ์จอรี จอราเกิดขึ้นวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1922

ด้วยเหตุนี้มหาตมาคานธีผู้ยึดมั่นกับหลังอหิงสา ประกาศยกเลิกขบวนการไม่ให้ความร่วมมือกับอังกฤษ สำหรับมหาตมาคานธีแล้ว อินเดียยังไม่พร้อมที่จะได้รับเอกราช ซึ่งหลายคนไม่พอใจ และทำให้หลายคนคิดว่าเราจะต้องพร้อมสำหรับเอกราชอินเดียแบบมหาตมาคานธีเท่านั้นหรือ สำหรับภคัต ซิงห์วัย 14 ปี เศษนี่ย่อมหมายความว่า มหาตมาคานธีหาใช่ที่พึ่งพาเพื่อเรียกร้องเอกราชอินเดียต่อไป

เริ่มชื่นชอบลัทธิมากซ์

วิถีคิดของภคัต ซิงห์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ภายหลังเขาเริ่มชื่นชอบลัทธิมากซ์ (Marxism) หลัก ๆ เลยคือ ได้รับอิทธิพลจากงานเขียนของวลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) เลออน ทร็อตสกี (Leon Trotsky) และมิคาอิล บากุนิน (Mikhail Bakunin)

เมื่อเริ่มตกผลึกทางความคิดแล้ว ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1926 ภคัต ซิงห์ได้ก่อตั้งองค์กรสังคมนิยม “Naujawan Bharat Sabha” หรือสภาเยาวชนภารัต องค์กรนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อล้มล้างการปกครองของอังกฤษในอินเดีย

ค.ศ. 1927 ภคัต ซิงห์ ถูกจับ ข้อหาคือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดที่ละฮอร์ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1926 ประมาณ 5 สัปดาห์ผ่านไปเขาก็ได้รับการปล่อยตัว

ค.ศ. 1928 เขาเข้าร่วมสมาคมรีพับลิกันฮินดูสถาน (Hindustan Republican Association หรือ HRA) ซต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น กองทัพสาธารณรัฐสังคมนิยมฮินดูสถาน (Hindustan Socialist Republican Army) ในองค์กรนี้มีนักปฏิวัติสำคัญหลายคนเข้าร่วมด้วย รวมถึง ราม ประสาท บิสมิล (Ram Prasad Bismil) อัชฟะกุลลอห์ ข่าน (Ashfaqullah Khan) และ จันทรเศขร อาซาด (Chandrashekhar Azad)

ที่เติมคำว่า “Socialist” หรือ สังคมนิยม กับ “Army” หรือกองทัพเข้าไว้นี้สำคัญมาก ตรงนี้มีนัยยะเรื่องของความเสมอภาค ทุกคนจะเท่าเทียมกัน ไม่มีศาสนา ชนชั้นวรรณะเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะเดียวกัน คำว่า “กองทัพ” ก็หมายถึงการใช้กำลังเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ตรงนี้แหละที่จะชัดเจนมากกับการได้รับอิทธิพลจากการปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ. 1917 กล่าวคือ สำหรับภคัต ซิงห์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นที่รัสเซียก็พึงจะเกิดขึ้นได้ในอินเดีย

มีความคิดที่จะสังหารชาวอังกฤษ

ค.ศ. 1928 นักต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชอินเดียคนสำคัญชื่อลาลา ราชปัต ราย (Lala Lajpat Rai) นำขบวนผู้คนประท้วงคณะกรรมการไซมอน (Simon Commission) ของอังกฤษในเมืองละฮอร์ ผลที่เกิดขึ้นคือตำรวจใช้กระบองทำร้ายลาลา ราชปัต ราย เพื่อคุมตัว รายได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เรื่องนี้ด้วยที่ทำให้ภคัต ซิงห์ และเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะสุขเทพ ซิงห์ ราชคุรุ และจันทรเศขร อาซาด มีความคิดที่จะฆ่าชาวอังกฤษ ด้วยเหตุนี้ภคัต ซิงห์พร้อมด้วยสมาชิกกองทัพสาธารณรัฐสังคมนิยมฮินดูสถาน ซึ่งมีสุขเทพ ราชคุรุ และ จันทรเศขร อาซาดร่วมด้วย วางแผนสังหารผู้กำกับตำรวจเจมส์ สก็อตต์ (James Scott) เพื่อล้างแค้นให้ลาลา ราชปัต ราย

17 ธันวาคม ค.ศ. 1928 พวกเขาดำเนินการตามแผนของตนที่กองบัญชาการตำรวจในละฮอร์ แต่พลาด ที่พลาดก็เพราะแทนที่จะฆ่าเจมส์ สก็อตต์ กลับฆ่าจอห์น พี ซอนเดอร์ส (John P Saunders) ผู้ช่วยของสก็อตต์แทน โดยไม่ได้ตั้งใจ

ถูกจับกุมและถูกตัดสิน

ภคัต ซิงห์ ได้แรงบันดาลใจจากผู้นิยมอนาธิปไตยชาวฝรั่งเศสนามว่าออกุสต์ เวยองต์ (Auguste Vaillant) นี่ก็คือผู้วางระเบิดสภาในปี ค.ศ. 1893

ภคัต ซิงห์วางแผนที่จะคัดค้านร่างกฎหมายความปลอดภัยสาธารณะและร่างกฎหมายข้อพิพาททางการค้าในสภานิติบัญญัติที่เดลี วันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1929 ภคัต ซิงห์ และ พาตุเกศวร ทัตต์ (Batukeshwar Dutt) โยนระเบิดในสภา เจตนาก็เพียงเพื่อให้พวกอังกฤษหวาดกลัว ไม่ได้คิดที่ฆ่าใคร ทว่าก็มีบางคนได้รับบาดเจ็บ หลังจากโยนระเบิดเสร็จ ทั้งสองก็ไม่ได้หนีไปไหน หากแต่ยืนตะโกนคำว่า “Inquilab Zindabad” หรือขอให้การปฏิวัติจงเจริญ ทั้งสองถูกจับกุมและศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต

หลังจากนั้นภคัต ซิงห์ก็ถูกย้ายไปจำคุกที่มิยันวาลี (Mianwali) ที่ซึ่งเขาและเพื่อนของเขาร่วมกันประท้วงในคุกต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อนักโทษอินเดียหากเปรียบเทียบการปฏิบัติต่อคนผิวขาวชาวยุโรป การประท้วงนี้เป็นการประท้วงอดอาหารเพื่อเรียกร้องอาหาร หนังสือ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ โดยอ้างว่านอกจากจะถูกเลือกปฏิบัติแล้ว ตนยังเป็นนักโทษการเมือง ไม่ใช่อาชญากรด้วย

ภคัต ซิงห์ถูกอังกฤษแขวนคอเมื่ออายุ 23 ปีเศษที่เมืองละฮอร์ (Lahore) ในภาพยนตร์ The Legend of Bhagat Singh ช่วงท้ายของเรื่อง ระหว่างภคัต ซิงห์ กำลังเดินขึ้นแท่นถูกแขวนคอ ผู้ใหญ่ชาวซิกข์ที่ทำงานในคุก ผู้ดูแลเรื่องอาหารของนักโทษ ก็บอกกับภคัต ซิงห์ว่า “อย่างน้อยตอนนี้คุณควรระลึกถึงพระเจ้า” ภคัต ซิงห์ก็กล่าวกับว่า “ขอโทษนะพี่ชาย ผมทั้งไม่กลัวความตาย และไม่เชื่อในพระองค์” ตรงนี้ก็ใคร่แจ้งให้ผู้ฟังได้ทราบด้วยว่า การเป็นซิกข์และตัดผมนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ภคัต ซิงห์ได้ตัดผม แม้จะเพื่อการหลบหลีกตำรวจ ทว่าเขาก็ไม่รู้สึกอะไรมากกว่านั้น ไม่คิดที่จะกลับมาไว้ผมอีกครั้งด้วย

ประเด็นสำคัญที่วันนี้ชาวอินเดียจะปฏิเสธมิได้เมื่อระลึกถึงภคัต ซิงห์

1) เขาคือวีรบุรุษแห่งการปฏิวัติขบวนการเอกราชของอินเดีย
2) ซึ่งสัมพันธ์กับสิ่งแรกคือวลี “Inquilab zindabad” แปลเป็นไทยคือ “การปฏิวัติจงเจริญ” แม้วลีนี้จะมีต้นตอมาจากเมาลานา หัสรัต โมฮานี (Maulana Hasrat Mohani) แต่ภคัต ซิงห์ ทำให้วลีนี้กลายเป็นวลีติดปาก
3) ความโหดร้ายของอังกฤษที่กระทำต่อภคัต ซิงห์, สุขเทพ และราชคุรุ

ขอขยายความประเด็นที่ 3 ให้เข้าใจเพิ่มเติม เนื้อหามาจากบทความชิ้นยอดเยี่ยมชื่อ “Bhagat Singh wasn’t just hanged, but was chopped and stuffed in sacks” แปลเป็นภาษาไทยก็คือ “ภคัต ซิงห์ไม่ได้ถูกแขวนคอเท่านั้น แต่ศพของเขายังถูกสับและยัดถุงด้วย” เขียนโดย สัตวินเดอร์ ซิงห์ จุส (Satvinder Singh Juss)

เนื้อหาใจความของบทความบอกว่า อังกฤษเลื่อนประหารชีวิตจากตอนเช้าวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1931 มาเป็นช่วงเย็นวันที่ 23 มีนาคม คือหนึ่งวันก่อนกำหนด ที่เป็นเช่นนี้เพราะอังกฤษทราบดีว่ามีแรงกดดันจากประชาชนชาวอินเดียจำไม่น้อยเลย ภคัต ซิงห์และสหายอีกสองคนเฝ้าคอยที่จะถูกประหารชีวิตอยู่แล้ว ทั้งสามพร้อมที่จะรับความตายที่กำลังมาเยือน พร้อมรับอย่างไม่กลัว ภคัต ซิงห์เริ่มขับร้องกลอนและสหายอีกสองคนก็ร่วมร้อง กลอนที่ว่าคือ “Dil se niklegi na marker bhi watan ki ulfat / Meri mittee se bhi Khushbue watan aegi” หากแปลเป็นภาษาไทยก็คือ “เมื่อพวกเราตายไปแล้ว จะยังมีเลือดรักชาติหลงเหลืออยู่ในร่าง แม้แต่ศพของฉันก็จะกำจายกลิ่นแห่งมาตุภูมิ” แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงด้วยว่า ทั้งสามขอให้เปลี่ยนเป็นการยิงเป้าแทนแขวนคอ แต่อังกฤษก็ไม่แยแส เมื่อแขวนคอเสร็จแล้ว เมื่อมั่นใจว่าตายแล้ว อังกฤษก็รีบนำร่างของทั้งสามออกจากตะแลงแกงอย่างเร่งรีบ ร่างของพวกเขาถูกลากไปตามทางเดินสกปรก ถูกสับเป็นชิ้น ๆ และยัดใส่กระสอบ จากนั้นก็นำออกไปจากคุกอย่างลับ ๆ

ที่มาที่ไปของชื่อสนามบินแห่งนี้

เมื่อเข้าใจกันพอประมาณแล้วว่าภคัต ซิงห์ คือใคร และสมควรที่ทางการอินเดียควรเปลี่ยนชื่อสนามบินเมืองจัณฑีคัรห์เพื่ออุทิศให้ท่าน คราวนี้เราจะมาพูดถึงที่มาที่ไปของชื่อสนามบินแห่งนี้สักเล็กน้อย

จริง ๆ แล้ว ความคิดการเปลี่ยนชื่อสนามบินจัณฑีคัรห์มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 แล้ว ที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นก็เพราะว่าเป็นช่วงเวลา 100 ปีชาตกาลภคัต ซิงห์ สภามลรัฐปัญจาบก็มีมติให้เปลี่ยนชื่อสนามบินจัณฑีคัรห์ตามชื่อภคัต ซิงห์ แต่ทางมลรัฐหรยาณา (Haryana) ไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจเปลี่ยนชื่อได้ เพราะจัณฑีคัรห์มีสถานภาพเป็น “union territory” และเป็นเมืองหลวงของทั้งมลรัฐทั้งสองคือทั้งของปัญจาบและหรยาณา ท้ายที่สุดมลรัฐหรยาณาก็ยอมเปลี่ยนชื่อเพราะถูกกดดันจากประชาชนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อประสบความสำเร็จในการมีมติที่จะเปลี่ยนชื่อแล้ว ก็มีเงื่อนไขตามมา คือ ศาสตราจารย์ชัคโมหัน ซิงห์ (Jagmohan Singh) หลานชายของภคัต ซิงห์ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรารู้สึกยินดีกับการตัดสินใจนี้เพื่อให้เกียรติแก่นักต่อสู้เอกราชผู้ยิ่งใหญ่...” ชัคโมหัน ซิงห์กล่าวด้วยว่า “อย่างไรก็ตาม รูปภาพของภคัต ซิงห์ ราชคุรุ และสุขเทพ ควรอยู่ภายในสนามบิน[ด้วย] เพราะท่านวิทยาวดี คุณแม่ของภคัต ซิงห์เชื่อว่า บุตรชายของตนไม่ชอบยืนอยู่คนเดียว เขาควรอยู่คู่กับสหายของเขา...” ศาสตราจารย์ชัคโมหัน ซิงห์เน้นด้วยว่า ไม่ควรส่งมอบสนามบินนี้ให้บรรษัทใด ๆ เพราะนั่นก็จะสวนทางกับความคิดของชะฮีด ภคัต ซิงห์”

วันนี้เราคงเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับภคัต ซิงห์แล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งด้วยว่า จะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องราวประวัติศาสตร์อินเดียที่หลายหลากได้บ้างไม่มากก็น้อย
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย