การสรรเสริญชุมชนเผ่า การริเริ่มที่สำคัญของรัฐบาลอินเดียในนามของการสร้างชาติอินเดีย
706 views
0
0

เพลง Ae Watan
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Raazi ฉายในปี ค.ศ. 2018 กำกับโดยเมฆนา กุลซาร์ (Meghna Gulzar) ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยอาเลีย ภัตต์ (Alia Bhatt)

วันเคารพชนเผ่า

ปี 2021 รัฐบาลอินเดียได้ประกาศให้วันที่ 15 พฤศจิกายน เป็น “Janajatiya Gaurav Divas” หรือ “ชนชาตียะ เคารวะ ทิวัส” ถอดเป็นภาษาไทยก็คือ วันเคารพชนเผ่า การประกาศนี้เพื่อให้เกียรติแก่ชุมชนเผ่าที่ได้อุทิศต่อชาติอินเดีย การอุทิศที่ว่านี้ก็หมายถึงการเรียกร้องเอกราชอินเดียและการสร้างชาติอินเดีย

ชนเผ่าอินเดีย

ชนเผ่าอินเดียที่รัฐบาลอินเดียรองรับมีทั้งหมด 705 กลุ่ม ถ้านับจำนวนประชากรชนเผ่าก็จะประมาณ 104 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 8.6 ของประชากรอินเดียทั้งหมด

ตัวเลขนี้ได้มาจากเว็บไซต์ของ “International Work Group for Indigenous Affairs” ซึ่งเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลกที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง

เว็บไซต์นี้ยังระบุอีก 2 ประเด็นสำคัญ คือ
1) แท้จริงแล้วน่าจะมีชนเผ่ามากกว่านี้ ดังนั้นตัวเลข 104 ล้านคนน่าจะน้อยกว่าความเป็นจริง
2) ชนเผ่าหรือชนพื้นเมืองพบได้มากสุดใน 7 มลรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ที่เรียกว่า "แถบชนเผ่าตอนกลาง" ซึ่งทอดยาวจากรัฐราชสถานไปยังรัฐเบงกอลตะวันตก

แทบจะทุกเผ่าเลยก็ว่าได้ที่มีบทบาทในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชอินเดีย

ส่วนใหญ่เริ่มต่อสู้กันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ดังนั้น หลักฐานทางประวัติศาสตร์จึงระบุชื่อผู้นำชนเผ่าไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว แน่นอนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ว่านี้แม้จะมีอยู่แต่ก็มีน้อยมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะประวัติศาสตร์ผู้นำอินเดียก็มีมากจนปกปิดทำให้ไม่เห็นความเป็นวีรบุรุษของผู้นำชนเผ่า

และยังเสริมได้ด้วยว่า บางชนเผ่าใช้ประเพณีการบันทึกประวัติศาสตร์แบบการบอกเล่า ไม่ได้ใช้แค่ลายลักษณ์อักษร ปฏิเสธมิได้ว่า ถ้าไม่ใช้ลายลักษณ์อักษรในการบันทึกประวัติศาสตร์ โอกาสที่คนข้างนอกชุมชนจะรู้เรื่องราวก็ไม่ง่ายนัก ภาษาก็เป็นของตนรู้กันภายในชุมชน โอกาสที่คนอื่นจะมารู้เรื่องหรือรู้ประวัติศาสตร์ของชุมชนก็น้อยมาก

การริเริ่มที่สำคัญมากของรัฐบาลอินเดีย

เหตุที่ต้องกล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า อินเดียมีชนเผ่ามากมาย ในอดีตหลายคนไม่ได้รับการยอมรับ บ้างก็ถูกเลือกปฏิบัติ ทำให้หลายคนคับแค้นใจ ที่สำคัญหลายชนเผ่าได้ต่อสู้เรียกร้องเอกราช แต่ยังถูกเลือกปฏิบัติอยู่ ดังนั้น ความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ (sense of belonging) ก็จะไม่ค่อยมี

สันนิษฐานได้ว่า ด้วยเหตุนี้รัฐบาลอินเดียจึงต้องผนวกรวมผู้คนเข้าเป็นพลเมืองอย่างจริงจัง ลดหรือขจัดความรู้สึกความไม่เป็นเจ้าของประเทศ หรือลดหรือขจัดความรู้สึกว่า “ฉันเป็นคนแปลกหน้า”

[ขยายความเรื่องความรู้สึกไม่เป็นเจ้าของประเทศ หรือความรู้สึกเป็นคนแปลกหน้า]
ขอตอบคำถามนี้โดยการยกตัวอย่างผู้คนที่อาศัยอยู่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ผู้คนแถบนี้หน้าตาก็คล้ายคนไทย คนพม่า แต่พวกเขาถือสัญชาติอินเดีย เขาเกิดที่นั่น บ้านเขาอยู่ที่นั่น แต่เวลาพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับคนนอกพื้นที่ เขากลับถูกมองว่า เขาไม่ใช่คนอินเดีย สตรีหลายคนถูกมองว่ามาค้าบริการ มาทำงานสปา ดังนั้นความคับแค้นใจก็เกิดขึ้น พูดอย่างเรียบง่ายก็คือ เมื่อเป็นพลเมืองแล้ว แต่กลับไม่รู้สึกว่าเป็นพลเมือง ความรู้สึกในการเป็นเจ้าของประเทศก็ไม่เกิด ในระยะยาวเอกภาพก็มีปัญหา การสร้างชาติก็จะลำบาก

วิธีหนึ่งที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ว่านี้ก็หมายถึง การที่ชนเผ่าในอินเดียมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับอังกฤษเพื่อเรียกร้องเอกราชอินเดีย

เอกสารหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้มีมหาตมาคานธี หรือบัณฑิตยวาหระลาล เนห์รูเท่านั้นที่ต่อสู้เรียกร้องเอกราชอินเดีย มีคนอื่นด้วย มีชนเผ่าด้วย แต่ถ้าไม่ยอมรับในจุดนี้ ชนเผ่าก็มองไม่เห็นว่าเขาสำคัญอย่างไร

การยกย่องสรรเสริญชนเผ่ามีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมด้วย

ในกระบวนการการยอมรับนี้ สิ่งหนึ่งที่ทางการอินเดียมองเห็นประโยชน์อีกมากมายมหาศาลคือ การยกย่องสรรเสริญชนเผ่าให้เขาได้รับเกียรติดังที่เขาสมควรได้รับนั้นมีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมด้วย

ในทางเศรษฐกิจ ก็อาจยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ เวลาเราชาวไทยไปซื้อของที่ระลึกจากอินเดียกลับไทย เราก็จะได้สิ่งของจำพวกศิลปะหัตถกรรม หรือของตกแต่งบ้าน สิ่งของเหล่านี้จำนวนไม่น้อยเลยมาจากฝีมือของชนเผ่าในอินเดีย ซึ่งการผลิตสิ่งของเหล่านี้ก็มาจากความรู้ มาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ส่งต่อกันมา กล่าวได้เลยว่า เป็นวัฒนธรรมของชนเผ่า ผ้าบางชนิดที่มาจากรัฐเจ็ดสาวน้อยก็งดงามมาก ทำให้อินเดียเปี่ยมด้วยความหลากหลาย

ด้านสิ่งแวดล้อม คงปฏิเสธมิได้ว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นประเด็นสำคัญ การพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ได้เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมแต่อย่างเดียว จริง ๆ ต้องมองเป็นองค์รวม กลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ ในอินเดียส่งเสริมปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ดี อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ดี แล้วเป็นไปอย่างธรรมชาติ เพราะเขาอยู่กับธรรมชาติมาโดยตลอด ฉะนั้นแล้วความรู้ที่ชนเผ่ามีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ทำให้เขารักษาระบบนิเวศของเขาไว้ได้ ประเด็นนี้ก็ทำให้นึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับอินเดียแดง ชาวอินเดียแดงเคารพเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งอาจจะดูไม่ทันสมัย แต่แท้จริงแล้วมันสัมพันธ์กับการอยู่รอดของพวกเขา ซึ่งก็คือการอยู่กับธรรมชาติ ถ้าทำลายธรรมชาติ ตนก็อยู่รอดไม่ได้

อังกฤษไม่ได้มองว่าสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาเป็นระบบนิเวศทางสังคมและธรรมชาติ อังกฤษจึงเข้าไปจัดการ ทำให้มีการต่อสู้ระหว่างชนเผ่ากับอังกฤษเกิดขึ้น การต่อสู้ที่ว่านี้ในเริ่มแรกก็จะเป็นลักษณะไม่ให้แตะที่ดินของกลุ่มชนเผ่า อีกสักพักก็จะกลายเป็นเรื่องของการเรียกร้องเอกราชอินเดีย

สำหรับประเด็นที่ดิน สิ่งที่น่าสนใจคือ อังกฤษมองเป็นทรัพย์สินแบบกรรมสิทธิ์ คือนำมาพัฒนาผ่านผู้เช่ากับผู้ให้เช่า หรือระบบซามินดารี (Zamindari) กลุ่มชนเผ่าไม่ได้มองแบบนั้น พวกเขามองว่าที่ดินคือส่วนหนึ่งของชุมชน วิถีคิดของกลุ่มชนเผ่าคือเป็นทรัพย์สินรวม

บิรซา มุนดา (Birsa Munda)

หนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากคือบิรซา มุนดา (Birsa Munda) ที่กำเนิดของท่านในปัจจุบันคือมลรัฐฌาร์ขัณฑ์ (Jharkhand)

บิรซา มุนดา เป็นคนจัดตั้ง เป็นผู้นำของขบวนการชนเผ่าหนึ่งที่นำไปสู่การปฏิวัติของชนเผ่า หรือที่เรียกว่าอุลกุลาน (Ulgulan) ในตอนนั้นบิรซา มุนดา ซึ่งมีอายุน้อยอยู่นั้นต้องการปฏิรูปสังคมของชนเผ่า พยายามผลักดันให้ชนเผ่าละทิ้งความเชื่อที่เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เรื่องพ่อมดหมอผี เรื่องนี้ถือเป็นลักษณะโดดเด่นของเขา ทำให้ชุมชนของเขาเรียกเขาบิรซา มุนดาว่า “Bhagwan” (ภัควาน) แปลว่าพระเจ้า

ตรงนี้สำคัญมาก เวลามีแรงหรืออำนาจเข้ามา การต่อสู้กลับหลายแห่งก็มีลักษณะคล้ายกันอยู่ คือไม่ได้ต่อสู้อย่างเดียว คือหันกลับมาทบทวนตนเองก่อนจะสู้กลับ คล้ายกับยุคเฟื่องฟูเบงกอล (The Bengal Renaissance)

นายกฯ โมดีเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดมาก การยอมรับชนเผ่าหมายถึงความเป็นไปได้ในการสร้างชาติ คือให้เกียรติคน ให้เขารู้สึกว่าเป็นพลเมืองเพื่อเอกภาพอินเดีย นอกจากนี้ชนเผ่าก็จะรู้สึกดีต่อพรรคภารตียชนตา (Bharatiya Janata Party) ที่โมดีสังกัดอยู่

ขณะนี้ที่อินเดียมีนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับชนเผ่ามากมาย เริ่มมีงานเขียนเกี่ยวกับชนเผ่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันที่ 15 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเคารพชนเผ่าดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จริง ๆ แล้วก็คือวันคล้ายวันเกิดของบิรซา มุนดา ซึ่งท่านเกิดในปี ค.ศ. 1875 ถ้าจำไม่ผิด ท่านถึงแก่กรรมตอนอายุ 25 ปี ถูกอังกฤษจับขังคุกด้วย
_______________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย