ปริทัศน์สุราอินเดีย
381 views
0
0

เพลง Amrita
หมายถึง น้ำอมฤต ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Churning the Sea of Milk (กวนเกษียรสมุทร) ผลงานปี 2017 ผลิตและกำกับภายใต้ชื่อวงดนตรี Vas โดยนักดนตรีและประพันธกรหญิงชาวอิหร่านชื่อ Azam Ali ซึ่งดนตรีที่เธอทำกับวงนี้มีหลายเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากปกรณัมอินเดีย แม้ว่าเธอจะเป็นชาวอิหร่านก็ตาม ทั้งนี้เพราะเธอใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่อยู่ในเมืองปาจคณี (Paachgani) มลรัฐมหาราษฏระของอินเดีย เช่นเพลงนี้สาเหตุที่เราเลือกมาเปิดก็เพราะเกี่ยวกับตำนานกวนเกษียรสมุทรซึ่งในปกรณัมอินเดียอธิบายว่าหนึ่งในสิ่งที่กำเนิดจากเกษียรสมุทรนั้นคือเทพีวารุณี ผู้เป็นเทพีแห่งสุรา สอดคล้องกับหัวข้อของเราในวันนี้

การดื่มสุราในอินเดีย

อินเดียเป็นประเทศที่มีมิติความหลากหลายในแทบทุกด้าน และหนึ่งในมิติที่น่าสนใจคือ ทัศนคติและข้อปฏิบัติที่แตกต่างของผู้คนเกี่ยวกับการดื่มสุรา ความแตกต่างดังกล่าวนี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพียงระดับปัจเจกเท่านั้น หากแต่ยังเลยไปถึงระดับกฎหมายของมลรัฐ

เป็นที่รู้กันว่า ในอินเดียมีบางมลรัฐที่ห้ามการขายและบริโภคสุราอย่างเด็ดขาด ซึ่งเรารู้จักกันในนาม “Dry States” ในขณะที่บางมลรัฐก็ไม่ห้ามการขาย แต่จำกัดอายุผู้ซื้อและบริโภค ก่อนที่เราจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของเครื่องดื่มมึนเมาในอินเดีย ขอให้คุณณัฐอธิบายมิติทางวัฒนธรรมโดยย่อก่อนครับ

ก่อนที่จะจำกัดเฉพาะอินเดีย ต้องขอบอกก่อนว่าสุราเมรัยหรือเครื่องดื่มมึนเมาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์นั้น เป็นสิ่งที่อยู่คู่มนุษยชาติมาเนิ่นนานเสียจนไม่รู้ว่ากำเนิดจริง ๆ เมื่อไหร่ หนังสือกินเนสบุคบันทึกไว้ว่า หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตเหล้า ย้อนกลับไปได้ 6000 ปีก่อนคริสตกาล ณ ดินแดนที่เป็นจอร์เจียปัจจุบัน คำว่าหลักฐานเก่าแก่ที่สุดก็มิได้บ่งบอกว่าเหล้าเกิดขึ้นในช่วงปีนั้น อาจจะมีมาก่อนนานกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ

สุราในอารยธรรมอินเดีย

ในส่วนของอารยธรรมอินเดียมีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนในคัมภีร์ฤคเวทซึ่งมีอายุเกือบสี่พันปีว่า สมัยนั้นมีเครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “โสมะ” หรืออาจเรียกเป็นภาษาไทยว่า น้ำโสม ซึ่งเป็นน้ำหมักจากยางสีขาวของเถาไม้เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีชื่อเดียวกัน คั้นออกมาผสมกับนมเปรี้ยวสมุนไพรอื่น ๆ แล้วหมักไว้จนมีฤทธิ์มึนเมา เป็นเครื่องดื่มที่นำไปใช้ประกอบพิธีกรรม

น้ำโสมนี้มีคำพรรณนาไว้อย่างน่าสนใจว่า “เครื่องดื่มนี้ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ เป็นน้ำแห่งชีวิต บำรุงสุขภาพและให้ความเป็นอมตะ อีกทั้งเป็นหนทางไปสู่สวรรค์”

กระนั้นก็ตามในพระเวทก็มีบันทึกว่าบรรดาฤษีและปวงเทพดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้พร่ำเพรื่อ ถึงกับเมามาย ท้องไส้ปั่นปวนอาเจียน แสดงว่าน้ำโสมะมีระดับแอลกฮอล์ที่แรงพอสมควร จนกระทั่งแม้แต่ในบทสวดสรรเสริญน้ำโสมะ ก็ยังต้องมีวรรคที่กล่าวว่า “โอ้โสมะเอ๋ย ขอจงอย่าทำลายกระเพาะของเรา”

ในยุคต่อมา เถาโสมะที่นำมาคั้นทำน้ำโสมนั้นหายากขึ้นทุกที มิหนำซ้ำยังถือกันเป็นเคล็ดว่าต้องขึ้นภูเขาไปเก็บกลางแสงจันทร์ สถานะของน้ำโสมจึงยิ่งสูงขึ้นจนจำกัดใช้ดื่มเฉพาะพิธีกรรม ส่วนเครื่องดื่มมึนเมาเพื่อความบันเทิงที่ขึ้นมาแทนที่นั้น เรียกว่า “สุรา” ในสมัยนั้นสันนิษฐานว่าอาจจะหมักจากข้าวบาร์เล่ย์ คล้ายกับเบียร์ยุคปัจจุบัน เครื่องดื่มที่เรียกว่าสุรานี้แพร่หลายมากในหมู่คนทั่วไป ต่างจากน้ำโสมที่สงวนไว้เฉพาะนักบวชหรือฤษีดื่มในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

แต่เครื่องดื่มมึนเมามีสถานะศักดิ์สิทธิ์อยู่เฉพาะสมัยพระเวทเท่านั้น หลังจากยุคพระเวทก็มีคัมภีร์เกิดขึ้นอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า สมฤติ ซึ่งเน้นด้านหลักจริยธรรมและกฎหมาย เป็นที่น่าสังเกตว่า คัมภีร์สมฤติโดยมากไม่สรรเสริญสุราหรือเครื่องดื่มมึนเมาชนิดใด ๆ ซ้ำยังมองว่าเป็นโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวรรณะสูง การดื่มสุราถือเป็นบาปหนัก

การลงโทษผู้อยู่ในวรรณะสูงที่ดื่มเหล้าด้วยความจงใจนั้น ในคัมภีร์มนุสมฤติกำหนดโทษไว้หนักมาก ถึงขั้นระบุว่าให้เอาน้ำเดือด หรือนมเดือด หรือเนยเดือด ไปจนถึงตะกั่วหลอม เงินหลอม ทองแดงหลอม กรอกปากจนตาย แม้แต่ดื่มโดยไม่เจตนาก็ยังมีโทษต้องไปบำเพ็ญทุกรกิริยาชดใช้ ผู้คนในนี้คงตระหนักโทษสุรามากขึ้นกว่าสมัยพระเวท เพราะคงมีบทเรียนมาเยอะแล้ว และด้วยเหตุที่มีข้อห้ามดังกล่าวนี้ ก็ส่งผลถึงสังคมอินเดียในสมัยปัจจุบันด้วย หลายคนที่อยู่ในตระกูลพราหมณ์ไม่แตะต้องเครื่องดื่มมึนเมาเลย

ตำนานกวนเกษียรสมุทร

เหตุการณ์ตอนนี้เรียกชื่อเป็นภาษาสันสกฤตว่า สมุทรมันถนะ (สมุทฺรมนฺถน) แปลตรงตัวว่า กวนน้ำทะเล ในที่นี้คือเกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนม (กฺษีร น้ำนม คำเดียวกับ คีร์)

เรื่องราวนั้นเคยเกริ่นเอาไว้ในหลาย ๆ ตอนก่อนหน้านี้ คือพระอินทร์เจ้าแห่งเทวดาถูกฤษีสาปให้เสื่อมฤทธิ์ลง และเทวดาทั้งปวงก็ลอยเสื่อมฤทธิ์ลงไปด้วย จึงถูกอสูรรังแก จึงมาเข้าเฝ้าพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ขอให้กวนเกษียรสมุทรเพื่อทำน้ำอมฤตมาฟื้นกำลังให้เทวดา พระนารายณ์ก็อวตารเป็นเต่ามาทูนเขามันถระไว้บนกระดอง ให้เขานั้นหยั่งลงไปใต้สมุทร เอานาคมาพันรอบ ๆ แล้วให้เหล่าอสูรกับเทวดาชักนาคจากทางหัวและหางเพื่อปั่นเขาให้หมุนกวนน้ำทะเล ตรงนี้ที่อสูรยอมร่วมมือเพราะฝั่งเทวดาแกล้งลวงว่าหลังจากน้ำอมฤตสำเร็จก็จะแบ่งให้ด้วย ระหว่างที่กวนก็ทำปฏิกิริยาให้เกิดของวิเศษต่าง ๆ ผุดออกมาตามลำดับ ซึ่งเคยเล่าไว้แล้วว่าแม่โควิเศษชื่อกามเธนุหรือสุรภีก็ผุดขึ้นมาด้วย และในบรรดาสิ่งวิเศษที่ผุดออกมา หนึ่งในนั้นก็คือเทพีที่มีนามว่า วารุณี ด้วยเหตุที่ผุดจาก วรุณ คือน้ำ ก็เลยถือเป็นธิดาของพระวรุณเทพแห่งน้ำ และเช่นเดียวกันก็เป็นเทพีแห่งสุรา ซึ่งบ่มขึ้นมาจากน้ำ ในตอนท้ายแห่งกิจกรรม องค์อวตารของพระนารายณ์ชื่อธันวันตรีก็ผุดขึ้นพร้อมกับผอบใส่น้ำอมฤต

คำว่า อมฤต นี้ก็เป็นคำเดียวกับ อมตะ ที่หมายความว่า ไม่ตาย ฉะนั้นคำว่า อมฤต จึงมีได้สองนัย ทั้งหมายความว่า ไม่ตาย และหมายถึงน้ำอมฤตที่กวนจากเกษียรสมุทรด้วย

และเหตุนี้ถ้าโยงกลับมาถึงเรื่องที่อินเดียกำลังจัดงานฉลอง Azadi ka Amrit Mahotsav จึงมีนัยบ่งชี้ถึงความสำคัญของอิสรภาพที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงประเทศชาติดุจเดียวกับน้ำอมฤตอันวิเศษ อีกทั้งยังหมายถึงความยืนยงคงกระพันไม่รู้จักสูญสิ้นอีกด้วย นับว่าเป็นความหมายดีงามทั้งสองนัย
มีข้อสังเกตด้วยว่า บางทีแม้แต่คำว่า อมฤต ก็ถูกนำไปใช้หมายความถึงสุราด้วยเช่นกัน จัดว่าเป็นคำเลี่ยงให้ฟังสวยงาม ทั้งนี้คงเป็นเพราะสุราเป็นเครื่องดื่มที่จรุงใจให้เกิดความสนุกสนาน คนไทยหลายคนก็เรียกสุราว่าน้ำอมฤตเช่นเดียวกัน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่น้ำอมฤตที่แท้จริงเพราะไม่ได้ทำให้ใครเป็นอมตะ ตรงกันข้ามอาจเกิดผลไม่ดีต่อสุขภาพด้วย

สุรากับศาสนาในอินเดีย

ในวัฒนธรรมอิสลาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนสำคัญมากของอินเดีย การดื่มสุราเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ถือว่าเป็นบาปใหญ่เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว อิสลามจึงเคร่งครัดกับเรื่องนี้มาก ในหะดีษบทหนึ่ง ศาสดามุฮัมมัดกล่าวไว้ว่า “กุลลุ มุสกิริน ค็อมรุน วะกุลลุ มุสกิริน หะรอมุน” หมายถึง สิ่งที่ทำให้มึนเมาทุกชนิด เรียกว่า ค็อมร์ และสิ่งที่ทำให้มึนเมาทุกชนิดเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งการห้ามของอิสลามนั้นหมายถึงว่ามีเจือปนเล็กน้อยแม้แต่เพื่อแต่งกลิ่นรสก็ไม่ได้เลย มีหะดีษส่งเสริมบทหนึ่งด้วยว่า ถ้าถังหนึ่งเมา จิบเดียวก็หะรอม หมายถึงถ้าเครื่องดื่มชนิดใดต้องดื่มถึงหนึ่งถังถึงจะเมา คือมีแอลกอฮอล์เจือปนน้อยมาก การดื่มเครื่องดื่มชนิดนั้นแม้จิบเดียวก็เป็นเรื่องต้องห้ามแล้ว

ส่วนทางพุทธศาสนา แน่นอนเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการดื่มสุราเป็นข้อห้ามสำคัญข้อหนึ่งในห้าข้อที่เรียกว่าเบญจศีล ทั้งนี้เพราะการดื่มสุราทำให้เกิดอาการมึนเมาและขาดสติ ซึ่งการครองสติเป็นหลักปฏิบัติข้อหนึ่งที่พุทธศาสนาให้ความสำคัญมาก การใช้ชีวิตในทุกขณะต้องดำรงสติไว้ให้มั่น สิ่งใดที่ทำให้ขาดสติจึงเป็นสิ่งที่พุทธศาสนาไม่สนับสนุน อีกศาสนาหนึ่งคือ ศาสนาเชน ก็มีหลักความคิดคล้าย ๆ กัน คือห้ามดื่มของมึนเมาทุกชนิดเช่นเดียวกัน สองศาสนานี้มีความคิดและหลักปฏิบัติส่วนใหญ่คล้ายคลึงกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะเชนที่เน้นหลักอหิงสาอย่างยิ่งยวด การดื่มน้ำเมาที่อาจนำไปสู่การทะเลาะวิวาทและการเบียดเบียนผู้อื่น ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกมองว่าไม่ดี

ในทางกลับกัน บางลัทธิความเชื่อก็มองว่าสุราเป็นสิ่งดี คำว่าลัทธิต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่าเป็นคำกลาง ๆ หมายถึงแนวทางการปฏิบัติ ไม่ได้มีความหมายลบ ตัวอย่างเช่น ลัทธิตันตระที่นับถือเทพหญิงอย่างเจ้าแม่กาลีและทุรคา มีฐานสำคัญอยู่ที่เบงกอล ซึ่งเกิดหลังจากพุทธศาสนา แต่เหมือนเกิดมาคัดค้านพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้ตรงที่สุราในตันตระมีสถานะศักดิ์สิทธิ์ มีคำกล่าวสรรเสริญเยินยอเอาไว้มากมาย เช่นเรียกว่าเป็น “เทพเจ้าในสถานะของเหลว” หรือ “โอสถสารพัดนึกของมนุษยชาติ” “เครื่องสร่างโศก สร้างสุข” ดังนี้เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรในตันตระก็ยังคงมีหลักปฏิบัติเกี่ยวกับสุราเพื่อระวังไม่ให้ดื่มมากจนเกินขนาดอยู่ดี

จากที่กล่าวมา เห็นได้ว่าอินเดียโบราณมีมุมมองหลากหลายเกี่ยวกับการดื่มสุรา เช่นเดียวกับที่คนอินเดียในปัจจุบันก็มีความคิดแตกต่างกันในเรื่องนี้ ทว่าอย่างที่เกริ่นไว้เมื่อต้นรายการว่า บางมลรัฐถึงกับออกกฎหมายห้ามการจำหน่ายสุราอย่างเด็ดขาดในพื้นที่ของตนเอง

สุราในแต่ละมลรัฐของอินเดีย

การขายรวมทั้งการบริโภคแอลกอฮอล์นั้น เป็นเรื่องต้องห้ามในมลรัฐดังต่อไปนี้ คือ พิหาร คุชราต นาคาแลนด์ มิโซรัม ดินแดนสหมณฑล (Union Territory) และลักษทวีป เหล่านี้คือรัฐที่เราเรียกว่า Dry States ซึ่งหมายถึงห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในมลรัฐเลย ถ้าเราไปเที่ยวอินเดียแล้วซื้อมาจากมลรัฐอื่น ต้องโยนทิ้งไว้ที่พรมแดนหมด ก่อนที่จะเข้ามลรัฐเหล่านี้ได้ ในบรรดา Dry States มลรัฐที่เป็นที่รู้จักที่สุดและออกกฎหมายห้ามก่อนที่อื่นเลยก็คือ มลรัฐคุชราต ซึ่งได้ห้ามแอลกอฮอล์ทั้งหมดมาตั้งแต่ ค.ศ. 1960 แล้ว นอกจากเรื่องของแอลกอฮอล์แล้ว ชาวคุชราตส่วนใหญ่ก็ไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ด้วย

หากเราหันมาดูด้านมลรัฐที่อนุญาตสุรา เราก็จะเห็นว่ามีการจำกัดอายุผู้บริโภค ซึ่งแต่ละมลรัฐต่างกัน ต่ำสุดคือ 18 ปี ที่นิยมที่สุดคือ 21 ปี และสูงสุดคือ 25 ปี เช่นมลรัฐปัญจาบก็เป็นมลรัฐหนึ่งที่จำกัดอายุการบริโภคสุราไว้ที่อายุต้องเกิน 25 ปีขึ้นไป และไม่เพียงแต่เท่านั้น การห้ามบริโภคสุรายังเกิดขึ้นเฉพาะกาลหรือเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งวันเหล่านี้ เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า “Dry Days”

สำหรับในเดลี มีวันห้ามดื่มอยู่สามวันด้วยกัน คือวันสาธารณรัฐ ตรงกับ 26 มกราคม วันเอกราช ตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม และวันคานธีชยันตี หรือวันเกิดมหาตมาคานธี ตรงกับวันที่ 2 ตุลาคม ในมลรัฐอื่น ๆ ก็มีวันห้ามดื่มที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะผูกโยงกับวันทางศาสนาเช่น มหาศิวราตรี รามนวมี กฤษณชันมาษฏมี คุรุนานักชยันตี เป็นต้น มลรัฐที่มีวันห้ามดื่มมากที่สุดคือเบงกอลตะวันตก คือห้ามถึง 22 วันใน 1 ปี โดยในบรรดาวันเหล่านั้นมีทั้งวันสำคัญของชาติอย่างวันเอกราช และวันสำคัญทางศาสนาฮินดู อิสลาม คริสต์ เชน

ไม่ว่ามลรัฐใดจะห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ ท้องถิ่นต่าง ๆ ก็มีสุราพื้นบ้านมากมายหลายชนิด วัตถุดิบที่นำมาทำเรียกว่านับไม่ถ้วน มีทั้งข้าวเหนียว ข้าวเจ้า อ้อย ตาล มะพร้าว ผลไม้ ดอกไม้ ฯลฯ และนอกเหนือจากสุราพื้นบ้าน อินเดียยังผลิตเหล้าต่างประเทศออกจำหน่าย อย่างเบียร์ บรั่นดี วิสกี้ รัม หลายยี่ห้อมีชื่อเสียงมากในระดับโลกด้วย แต่แน่นอนว่าเราจะไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยี่ห้อเหล่านี้

เราขอกล่าวโดยสรุปว่า ท่ามกลางการออกกฎหมายห้ามและจำกัดการบริโภคแอลกอฮอล์ อินเดียยังมีผู้เสียชีวิตจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้นเหตุไม่ว่าจะโรคภัยไข้เจ็บหรืออุบัติเหตุ หรือการทะเลาะวิวาท ถึงปีละกว่า 260,000 คน นั่นเท่ากับ 712 คนต่อวันหรือ 29 คนต่อชั่วโมง ทุกปีมีการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในอินเดียประมาณ 594 ล้านลิตร แต่มีการคาดการณ์ว่าการบริโภคอาจพุ่งสูงถึง 1,680 ล้านลิตรในไม่ช้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สร้างรายได้ให้รัฐบาลอินเดียทั้งภายในและนอกประเทศรวมถึงกว่า 3 ล้านล้านรูปี และประมาณว่าการบริโภคเฉพาะในประเทศมีมูลค่าถึงกว่า 8 หมื่นล้านรูปี

สุดท้ายนี้ เราทั้งสองคนขอฝากไว้ด้วยความหวังดีว่า ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้เทศกาล เพราะกำลังย่างเข้าสู่ปีใหม่ การสนุกสนานรื่นเริงนั้นคงเป็นเรื่องปกติ ทว่าการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเราจะต้องบริโภคอย่างมีสติและมีความรับผิดชอบ หาไม่แล้วอาจนำไปสู่ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มแล้วขับ นับว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย