วันที่ 10 ธันวาคม 2565
เพลง Kala Chashma
ภาษาไทยแปลว่า “แว่นตาดำ” เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Baar Baar Dekho ฉายในปี ค.ศ. 2016 กำกับโดยนิตยา เมห์รา (Nitya Mehra) ดารานำคือคาทรีนา คายฟ์ (Katrina Kaif) และสิทธัตถะ มัลโฮตรา (Sidharth Malhotra)
เพลงนี้ดังมาก เปิดตามร้านอาหารก็มีหลายคนใคร่ลุกเต้นหรือร้องตาม เหตุที่เปิดเพลงนี้ในวันนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับหัวข้อ แต่มาจากประสบการณ์โดยตรง เมื่อไม่นานมานี้ ผมไปเล่นโบว์ลิ่งกับลูกแถว ๆ เอกมัย ก็พบว่ามีชาวอินเดียไม่น้อยเลยที่ไปโยนโบว์กัน ระหว่างเล่นก็มีดีเจเปิดเพลงสนุกสนาน สักพักหนึ่งดีเจก็เปิดเพลงนี้ขึ้น ทันทีที่ได้ยินเพลงนี้ ชาวอินเดียหลายคนก็ลุกขึ้นเต้น เด็กเล็กเด็กน้อยก็เต้นและร้องตามด้วย นี่ก็บ่งบอกว่าดีเจไทยเราก็เก่ง รู้จักเอาใจทั้งชาวไทยเชื้อสายอินเดียและชาวอินเดียที่มาโยนโบว์ลกัน
เป็นชาวอินเดียหรือเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม งานของท่านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมีชื่อว่า คีตาญชลี (Gitanjali) ภาษาไทยแปลโดย กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย
• เราเคยพูดถึงชีวประวัติและเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับฐากูรไปเยอะแล้ว เพราะฐากูรเป็นบุคคลสำคัญ เคยเยือนไทย เคยเยือนจุฬาฯ ด้วย ก่อนหน้านี้รายการปกิณกะอินเดียก็เคยเสนอเรื่องฐากูรกับการศึกษา
• นอกจากจะเขียนงาน เช่น บทกวี เรื่องสั้น และวรรณกรรมประเภทอื่น ๆ แล้ว มีเรื่องของดนตรีด้วย ก็คือรพินทร์สังคีต ฐากูรวาดภาพด้วย แต่เริ่มวาดภาพก็ตอนช่วงท้ายของชีวิต ฐากูรเริ่มวาดภาพในช่วงวัยกลางหกสิบ และลงเอยด้วยการผลิตงานศิลปะออกมากว่า 2,300 ชิ้นในช่วงหนึ่งทศวรรษ ก่อนที่จะถึงแก่กรรมใน ค.ศ. 1941
• เราเคยนำภาพ replica ของฐากูรมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการที่จุฬาในปี ค.ศ. 2011 ด้วย ตอนนั้นก็ในวาระ 150 ปีชาตกาลรพินทรนาถ ฐากูร
สิ่งที่ท่านทำก็คือ การนำความคิดเกี่ยวกับอิสรภาพเข้ามาสู่ศิลปะของท่านในอินเดีย ในช่วงทศวรรษ 1930 สหรัฐอเมริกากับสหราชอาณาจักรยังมิได้เตรียมเปิดรับศิลปะแบบโมเดิร์นมากนัก เมื่องานศิลปะของครุเทพได้รับการจัดแสดงในเยอรมนี ผู้คนก็เปรียบเทียบงานของท่านกับงานประเภทเซอร์เรียลิสต์กับเอ็กซเพรสชั่นนิสต์ ทำให้งานของฐากูรมีชื่อเสียงโด่งดัง
• เรื่องมีอยู่ว่ามีภาพวาดโดยฐากูรทั้งหมด 5 ภาพ ซึ่งโดยรวมแล้วก็มีนก ผู้คน และมีเด็กหญิง 1 คนใส่เสื้อคลุมสีแดง ซึ่ง 5 ภาพนี้วาดด้วยหมึกสีและสีน้ำแบบทึบ (gouache อ่านว่า กูอาช มาจากภาษาฝรั่งเศส เป็นสีที่มีลักษณะเหมือนสีน้ำ แต่ต่างกันตรงที่มีความทึบแสง ในขณะที่สีน้ำแบบดั้งเดิมจะโปร่งแสง)
• ฐากูรมอบภาพวาดทั้ง 5 ภาพนี้เป็นของขวัญแก่เยอรมนีในปี ค.ศ. 1930 และทั้ง 5 ภาพก็อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในกรุงเบอร์ลิน (Berlin)
ในปี ค.ศ. 1937 คือ 7 ปีหลังจากที่ฐากูรมอบภาพวาดทั้ง 5 ภาพให้เยอรมนี นาซีก็ขึ้นมามีอำนาจ และกวาดล้างภาพวาดเหล่านี้ โดยจำแนกด้วยว่าภาพวาดเหล่านี้เป็นศิลปะที่ไม่เหมาะสมและเสื่อมทราม
• แต่ไม่ใช่ภาพวาดโดยฐากูรเท่านั้นที่ฮิตเลอร์สั่งให้กวาดล้าง ศิลปะมากกว่า 16,000 ชิ้น ถูกสั่งโดยฮิตเลอร์ให้นำออกจากพิพิธภัณฑ์
• วิธีจำแนกของฮิตเลอร์ก็ดังที่บอกไว้ คืออะไรที่ไม่เหมาะสมหรือเสื่อมทราม ถ้าขยายความเพิ่มเติมก็คือ สำหรับฮิตเลอร์แล้ว ศิลปะสมัยใหม่ยุคหลังอิมเพรสชั่นนิสต์บ่งบอกถึงจิตใจที่วิกลจริต
• ฮิตเลอร์ซึ่งเป็นศิลปินที่ล้มเหลวคนหนึ่งนั้นสั่งให้จัดนิทรรศการเพื่อเยาะเย้ยศิลปะดังกล่าวว่าเสื่อมทรามอย่างไร
อาจมีหลายคนสงสัยว่า เพราะฐากูรไม่ใช่คนผิวขาวหรือเปล่า ฮิตเลอร์เลยกวาดล้างงานของท่านทั้ง 5 ชิ้น จริง ๆ แล้วไม่น่าจะใช่ แม้ฮิตเลอร์จะมองคนที่มีเชื้อชาติอื่นเป็นสิ่งปนเปื้อนไม่บริสุทธิ์เหมือนชาวอารยันในแบบฮิตเลอร์ ทว่าการกวาดล้างภาพวาดโดยฐากูรเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการกวาดล้างทั้งหมด เพราะเมื่อกี้ได้กล่าวไปแล้วว่ามีมากกว่า 16,000 ชิ้น ที่ถูกกวาดล้าง ฮิตเลอร์มีความเห็นว่า “ใครก็ตามที่เห็นและวาดสีท้องฟ้าเป็นสีเขียว เห็นและวาดภาพทุ่งหญ้าเป็นสีน้ำเงิน ควรได้รับการฆ่าเชื้อ”
• ฐากูรเยือนเยอรมนีสามครั้งในปี ค.ศ. 1921, 1926 และ 1930 น่าจะเป็นปี ค.ศ. 1930 นี่แหละที่ฐากูรมอบภาพวาดโดยตนให้เยอรมนี
• หนังสือของฐากูรได้รับการแปลเป็นภาษาเยอรมันแล้ว 24 เล่ม และ มาร์ทิน คัมพ์ (Martin Kampchen) หนึ่งในนักเขียนเยอรมันที่แปลงานของฐากูรได้กล่าวไว้ว่า “ไม่ว่าเขาจะไปพูดที่ใด ในห้องนั้นก็จะมีผู้คนแน่นขนัด หนังสือพิมพ์รายงานข่าวเกี่ยวกับการชกต่อยทะเลาะวิวาทกันเนือง ๆ ของผู้คนที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าฟัง”
• สื่อท้องถิ่นยกย่องกวีอินเดียท่านนี้ว่าเป็น “นักปราชญ์แห่งบุรพทิศ” และ “ผู้เผยพระวจนะ ผู้วิเศษ และพระเมสสิยาห์”
• ว่าด้วยเรื่องความนิยมชมชอบเกี่ยวกับฐากูร ก็เป็นอะไรที่ตรงกับของประเทศไทยเรา คือสมัยที่ฐากูรเยือนสยามในปี ค.ศ. 1927 ก็มีคนมาฟังท่าน ต้อนรับท่านอย่างแน่นหนาเลยทีเดียว แม้แต่ห้อง 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ที่ท่านใช้บรรยาย ก็มีภาพที่ผู้คนมาต้อนรับไม่น้อยเลย ก็ดูได้จากรูปของ อ. ธีรวัต ณ ป้อมเพชร ที่มอบให้ อ. สาวิตรีใช้ในหนังสือ
• ในปี ค.ศ. 1930 มีการนำผลงานศิลปะของฐากูรกว่า 300 ชิ้นเดินทางไปจัดแสดงในยุโรป ภาพวาดของเขามากกว่า 100 ภาพจัดแสดงในปารีส และอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจัดแสดงที่หอศิลป์แห่งชาติ (National Gallery of Art) ในกรุงเบอร์ลิน ก่อนที่นิทรรศการจะดำเนินต่อไปที่ลอนดอน
จนถึงปี ค.ศ. 1937 ภาพวาดของฐากูรถูกเก็บไว้ในพระราชวังมกุฎราชกุมารสไตล์บาโรกของเบอร์ลิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอศิลป์แห่งชาติด้วย ตามคำบอกเล่าของนักประวัติศาสตร์ศิลป์ คอนสแตนติน เวนซลาฟฟ์ (Konstantin Wenzlaff) เมื่อการกวาดล้างฮิตเลอร์เริ่มต้นขึ้น “รายการสิ่งของที่ถูกกวาดล้างตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1937 นั้นรวมภาพวาด 5 ภาพนี้ของฐากูรอยู่กับรายชื่อภาพของจิตรกรแนวเอ็กซ์เพรสชั่นนิสต์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน ซึ่งถูกนำออกจากวังและถูกนำเข้าไปยังโรงเก็บของที่มีการจำกัดการเข้าถึงในเมือง”
วันนี้ที่เราต้องนำเรื่องนี้มาเสนอก็เพราะว่า คนที่มีหน้าที่ดูแลสิ่งของของผู้นำอินเดียในอดีต ก็คงรู้สึกกระวนกระวาย หลายคนบอกว่าไม่มี 5 ภาพนี้อยู่ในรายชื่อ แหล่งเก็บภาพวาดเหล่านี้คือ วิศวภารตี ศานตินิเกตัน ที่อินเดียไม่ว่าจะทางการ หรือมูลนิธิจะมีความกระตือรือร้นมากหากเขารู้ว่าสิ่งของของผู้นำเขาในอดีตอยู่ที่ใด
แต่เรื่อง 5 ภาพนี้ อาจจะหาได้ไม่ง่ายนัก แม้นาซีหรือนิสัยคนเยอรมนีจะบันทึกแทบทุกสิ่งไว้อย่างละเอียด แต่ไม่มีใครทราบว่าภาพวาดทั้ง 5 ชิ้นนี้หายไปอย่างไร รู้ด้วยว่านาซีต้องการคืนบางชิ้นให้ฐากูรด้วย แต่หลายเรื่องก็ยังกำกวมอยู่
อีกเหตุผลหนึ่งที่เรานำเรื่องนี้มาเสนอก็เพราะเราต้องการบอกสังคมไทยด้วยว่าวิถีคิดแบบนาซีนั้นเป็นวิถีคิดที่ไม่ถูกต้อง ถ้าศิลปินมองฟ้าเป็นสีเขียวหรือสีแดง ถ้าศิลปินมองทุ่งหญ้าเป็นสีฟ้าหรือสีน้ำตาล มันก็คือจินตนาการของศิลปิน ศิลปินอาจจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากใครหรือมาจากเรื่องใด ศิลปินอาจจะต้องการสื่ออะไรให้เราทราบ ศิลปินอาจจะรู้สึกว่าอารมณ์ของเขา ณ ขณะนั้นคือแบบนี้ เขาจึงต้องการสื่อแบบที่เขารู้สึก ฉะนั้นแล้ว ศิลปะหลายชิ้นหลายแขนงไม่จำเป็นต้องเหมือนจริงหมด บางครั้งศิลปะบางชิ้นก็เข้ามาขัดเกราเรา บางครั้งเรายืนมองบางชิ้นก็มีคำถามอีกมากมาย เช่น ศิลปินต้องการสื่ออะไร แม้ในบางครั้งเราจะไม่มีคำตอบ แต่ก็ชวนให้เราฉุกคิดอะไรขึ้นมา
ศิลปะในการสร้างงานแต่ละชิ้นคือ สิ่งที่ลงไปในงานคือตัวศิลปิน หลายคนไม่ได้มองแต่ละสิ่งเหมือนกันหมด
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย