วิสัยทัศน์ของนายกฯ โมดีกับการย้อนเยือนพระพุทธศาสนาในอินเดีย (ตอนที่ 1)
565 views
0
0

เพลงพระรัตนตรัย
เพลงนี้ชื่อ “พระรัตนตรัย” จากเสียงร้องอันนุ่มนวลเป็นที่คุ้นเคยของสุเทพ วงศ์กำแหง ศิลปินแห่งชาติประจำปี พ.ศ. 2533 ท่านเพิ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อปี พ.ศ. 2563 นี้เอง ส่วนเนื้อร้อง-ทำนองสร้างสรรค์โดยชาลี อินทรวิจิตร และสมาน กาญจนะผลิน ทั้งสองท่านนี้ก็เป็นศิลปินแห่งชาติทั้งคู่ ทุกท่านที่เอ่ยชื่อมาล้วนแต่ศิลปินชั้นครูของวงการดนตรีสากลในไทยช่วงต้นพุทธศตวรรษนี้ และฝากผลงานที่ตราตรึงในหัวใจคนมากมาย สำหรับเพลงที่เราเลือกมาในวันนี้ ที่เป็นเพลงไทยก็เพราะเราต้องการสื่อถึงร่องรอยความสัมพันธ์กับอินเดียผ่านทางปรัชญาและศาสนา กล่าวคือพุทธศาสนาที่เป็นมรดกสำคัญยิ่งจากแผ่นดินอินเดีย

เหตุที่จุดประกายให้เกิดหัวข้อในครั้งนี้

ต้องขอเท้าความไปถึงงาน “ปิยมหาราชา วัฒนานุรักษ์” ที่เราจัดขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2565 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม งานดังกล่าวนั้นจัดขึ้นในฐานะส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลอง 150 ปีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือสมเด็จพระปิยมหาราช เสด็จเยือนอินเดีย ซึ่งการเสด็จเยือนครั้งนั้นมีนัยสำคัญต่อพัฒนาการของสยามในเวลาต่อมามากมายหลายด้าน รายละเอียดของการเสด็จท่านอาจย้อนกลับไปฟังรายการของเราในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเราได้เชิญ อ.สาวิตรีมาสัมภาษณ์ในรายการ และท่านได้ตอบคำถามไว้อย่างละเอียดยิ่ง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสริมอะไรเลย

ด้านหนึ่งที่แฝงอยู่ในการเยือนครั้งนี้ คือการที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไม่เพียงมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรความทันสมัยแต่เพียงถ่ายเดียว แต่สนพระราชหฤทัยสายใยความสัมพันธ์ของอินเดียกับไทยที่มีมาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งอดีตอันไกลโพ้นอีกด้วย กล่าวคือพระพุทธศาสนานั่นเอง พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนสารนาถเพื่อทอดพระเนตรป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สถานที่แสดงปฐมเทศนา ซึ่ง ณ ขณะนั้นยังเพิ่งค้นพบใหม่ไม่นานนัก โดยนักสำรวจชาวตะวันตก ขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดมาก เพราะฟังย้อนหลังได้ แต่วันนี้เราจะมาเล่าเรื่องใหม่ให้ฟัง

เรื่องที่ว่านี้คือ ในระหว่างงานปิยมหาราชา วัฒนานุรักษ์ นายนาเกช ซิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทยได้กล่าวปาฐกถา เนื้อหาโดยรวมของปาฐกถาของท่านทำให้เราปลื้มปีติว่าอินเดียให้น้ำหนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับไทยเป็นอย่างมาก และสิ่งหนึ่งที่น่ายินดียิ่งคือ ท่านทูตได้แจกแจงความริเริ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลโมดี อันเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา ที่กล่าวว่าน่ายินดีก็เพราะพระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในสถาบันที่คนไทยยกย่องเทิดทูนว่าเป็นสถาบันหลักของชาติ และมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของคนไทยทุกมิติเสมอมา

พุทธศาสนามาจากอินเดีย

คนไทยส่วนใหญ่รับรู้ว่าพระพุทธศาสนามาจากอินเดีย แต่ก็อาจยังไม่เห็นพัฒนาการของพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในอินเดียเท่าที่ควร กลับไปงอกงามเฟื่องฟูในประเทศอื่นมากมาย แม้แต่ในประเทศต้นธารอารยธรรมอีกสายอย่างจีน เกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธศาสนาในอินเดีย

วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กัน และที่สำคัญ โมดีที่เป็นฮินดูดำริทำอะไรกับพระพุทธศาสนาบ้างและทำไปเพื่ออะไร แต่ต้องขอกล่าวล่วงหน้าก่อนว่า เนื่องจากเนื้อหามีรายละเอียดมาก เราจะแบ่งเป็นสองตอน เพื่อที่จะได้เก็บรายละเอียดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

พวกเราทั้งสองต้องขอขอบคุณ นายเกซัง วังดี (Kesang Wangdi) ผู้เชี่ยวชาญพุทธศาสนาในอินเดีย ที่เดินทางมาสนทนาและให้ความรู้ที่มีประโยชน์แก่เราถึงห้องทำงานของผมในภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ พวกเราใช้เวลาสนทนากันยาวนานเกือบ 3 ชั่วโมงและเก็บรายละเอียดที่สำคัญได้ไม่น้อย คุณวังดีได้ชวนพวกเราครุ่นคิดในหลายประเด็น ซึ่งช่วยให้เราเห็นภาพรวมของพุทธศาสนาอินเดียได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยเสริมข้อมูลนอกเหนือจากปาฐกถาของท่านทูตมากขึ้นอีก

พุทธศาสนาในอินเดีย

ประเด็นแรกเริ่มเลยที่พวกเราใช้เปิดการสนทนาคือ ตกลงเราควรจะใช้คำศัพท์ว่าอะไรดี เมื่อกล่าวถึงนโยบายเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดีย เราจะใช้คำว่า “revive” ที่แปลว่า “คืนชีพ” ได้หรือไม่ ประเด็นเรื่องคำศัพท์นี้สำคัญมาก เพราะสิ่งใดที่เราจะใช้คำว่า revive หรือคืนชีพได้ก็ย่อมแสดงว่าสิ่งนั้นได้ตายไปครั้งหนึ่ง ซึ่งคุณวังดีก็คัดค้านมตินี้ในทันทีพร้อมกับให้เหตุผลว่า พุทธศาสนาในอินเดียไม่เคยตายไปเลยแม้แต่น้อย แต่ดำรงอยู่มาตลอด ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก

คุณวังดีกล่าวว่า ตามความรับรู้ของคนทั่วไป พุทธศาสนาได้ตายไปจากอินเดียแล้ว ความพยายามของอินเดียในตอนนี้คือการทำให้พุทธศาสนากลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่นั่นเป็นเพียงเปลือกนอกของสภาวะเท่านั้น คือพระพุทธศาสนาในอินเดียก่อนหน้านี้อาจไม่ได้รุ่งเรืองเฟื่องฟูในเชิงวัตถุหรือเชิงรูปธรรมเท่าที่ควร เช่น ศาสนสถานถูกทิ้งร้างไม่ได้รับการเหลียวแล ทว่าแก่นแห่งคำสอนหรือจิตวิญญาณของพระพุทธศาสนานั้นยังคงแทรกซึมอยู่ในความเป็นอินเดียอย่างลึกซึ้ง

ด้วยเหตุนี้หลังจากที่สนทนากันสักพัก เราจึงลงเอยด้วยคำว่า revisit หรือที่คุณณัฐได้แปลไว้เป็นชื่อรายการวิทยุตอนนี้ว่า “ย้อนเยือน” นั่นเอง เพื่อให้รู้ว่าพุทธศาสนาในอินเดียไม่เคยหายไปไหน แต่อาจไม่มีใครเหลียวแลอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก

พุทธศาสนาในสมัยของโมดี

จนกระทั่งมาถึงสมัยของโมดี จากปาฐกถาท่านทูต นายกโมดีได้เริ่มเน้นเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดียเป็นพิเศษมาตั้งแต่ปี 2014 ที่เขาเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับว่าเชื่อมโยงกับยุคสมัยอย่างยิ่ง

เพราะในสภาพการณ์ปัจจุบันโลกเต็มไปด้วยความตึงเครียดทั้งจากการเมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งความขัดแย้ง สารของพระพุทธเจ้าที่เปี่ยมด้วยสันติภาพ อหิงสา และความเมตตานั้น เป็นสิ่งที่พึงเผยแพร่ออกไปเพื่อสันติสุขแห่งมวลมนุษยชาติ ท่านทูตไม่ลังเลเลยที่จะกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเป็นชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดมา และในอนาคตก็คงจะไม่มีชาวอินเดียผู้ใดยิ่งใหญ่ไปกว่านี้แล้ว

วิสัยทัศน์ของโมดี

ที่จะเล่าถึงในตอนนี้ เราจะแบ่งออกเป็นสองด้านใหญ่ ๆ ด้านหนึ่งคือด้านมรดกที่จับต้องได้ อีกด้านหนึ่งคือมรดกที่จับต้องไม่ได้

1. มรดกที่จับต้องได้
ต้องยอมรับว่า นับตั้งแต่อดีตจนถึงช่วงไม่นานมานี้นั้น พุทธศาสนาในอินเดียเสื่อมโทรมลงไปกว่ายุคที่เคยเจริญรุ่งเรืองอย่างขีดสุดมากทีเดียว เรารับรู้กันว่าในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชพระพุทธศาสนาถึงพร้อมทั้งด้านรูปธรรมและนามธรรม มีอุโบสถ วิหาร สถูป คัมภีร์ และพระภิกษุสงฆ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นธรรมทูตจาริกเดินทางออกไปยังแดนไกลเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา ทว่าเวลาที่ผ่านไปรูปการณ์กลับดูเสมือนว่าในขณะที่พระพุทธศาสนาออกไปประดิษฐานมั่นคงอยู่ในดินแดนอื่นเช่นศรีลังกาหรืออาณาจักรโบราณในสุวรรณภูมิ แต่ในอินเดียกลับถูกเพิกเฉย วัดหรือสถานที่สำคัญอื่น ๆ ถูกทิ้งร้าง ซึ่งเหตุผลก็แตกต่างกันในแต่ละที่

ดังนั้นนายกโมดีจึงกำลังปรับปรุงและพัฒนาการเชื่อมต่อและการอำนวยความสะดวกในพุทธสถานสำคัญต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดอย่างโพธคยา (ไทยเรียกพุทธคยา) สารนาถ สาวัตถี กุสินารา นาลันทา ราชคฤห์ เวสาลี สังกัสสะ สาญจี สถานที่เหล่านี้กำลังอยู่ในระหว่างพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้จาริกแสวงบุญจากทั่วโลกเดินทางเข้าถึงได้ง่าย ตัวอย่างเช่นมีการสร้างสนามบินระหว่างประเทศที่กุสินารา พุทธคยา และพาราณสี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรถไฟที่เรียกว่า Buddhist Circuit Trains ซึ่งเราอยากตั้งชื่อเรียกเล่น ๆ ว่า “รถไฟสายพุทธ” ที่เดินรถไปตามเส้นทางแสวงบุญของพุทธศาสนา เท่าที่ไปหาภาพดูก็ประดับตกแต่งอย่างสวยงามโดยนอกตู้เป็นรูปของสถานที่สำคัญทางพุทธต่าง ๆ รถไฟสายนี้เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อเดือนมกราคม ปี 2022 นี่เอง ที่น่าสนใจยิ่งคือเป็นการต่อยอดจากที่ก่อนหน้านี้อินเดียก็มีรถไฟสาย “มหาปรินิรวาณ” ที่เริ่มดำเนินการปี 2007 ท่านที่สนใจอยากท่องเที่ยวไปตามจุดจาริกแสวงบุญทางพุทธศาสนาด้วย Buddhist Circuit Train ก็ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่เรียกว่า Grand Buddha Relic Project หรือโครงการพระบรมสารีริกธาตุ งบประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ กำลังดำเนินการอยู่ที่ อาษฐกุญช์ (Aastha Kunj) อุทยานแห่งหนึ่งในเดลี สำหรับรองรับพระบรมสารีริกธาตุซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินิวเดลี อาษฐกุญช์นั้นจัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหตุที่เป็นที่ตั้งหินอโศก ซึ่งบ่งชี้จุดที่พระพุทธเจ้าทรงประทับแรมระหว่างเสด็จไปทุ่งกุรุเกษตร และทรงแสดงสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของคนไทย มีอีกชื่อหนึ่งว่า กุรุสูตร

2. มรดกที่จับต้องไม่ได้ (หมายถึงองค์ความรู้และมิติทางปรัชญาของพุทธศาสนา รวมทั้งคัมภีร์ต่าง ๆ)
เป็นที่ทราบกันดีว่าในประวัติศาสตร์อินเดีย มีเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น กล่าวคือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 มหาวิทยาลัยสงฆ์ชื่อ นาลันทามหาวิหาร (Nalanda Mahavihara) ที่เคยตั้งอยู่ในแคว้นมคธซึ่งปัจจุบันอยู่ในมลรัฐพิหาร และเคยเป็นศูนย์รวมความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในอินเดียนั้น ถูกรุกรานและเผาทำลายโดยราชวงศ์ฆุรีดของเปอร์เซีย นำโดยนายพลผู้หนึ่งของฝ่ายฆุรีดชื่อ มุฮัมมัด บัฆติยาร์ ฆัลจี (Muhammad Bakhtiyar Khalji) ซึ่งการรุกรานครั้งนี้ส่งผลให้คัมภีร์พุทธจำนวนมากถูกเผาทำลายไปพร้อมกับห้องสมุดของนาลันทา

กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าองค์ความรู้ทั้งหลายจะสาบสูญไปกับกองเพลิง เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดการเผาทำลาย ก็เคยมีประเทศอื่น ๆ อย่าง จีน เกาหลี มองโกเลีย ทิเบต มาอัญเชิญพระไตรปิฎกออกไปแล้ว อีกทั้งยังมีคัมภีร์บางส่วนที่ถูกนำออกมาจากห้องสมุดได้โดยไม่เสียหาย แต่องค์ความรู้ต่าง ๆ เหล่านี้ไปตกทอดอยู่ตามถิ่นต่าง ๆ กระจัดกระจายไปทั่วอินเดีย ตามพิพิธภัณฑ์ หรือตามบ้านส่วนบุคคล ซึ่งนักวิชาการก็กำลังพยายามรวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ เหล่านี้ให้กลับมาอยู่ในฐานข้อมูลเดียวกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความพยายามในเชิงวิชาการ ซึ่งอาจยังไม่ได้รับการเปิดเผยสู่โลกภายนอกมากนัก

ในส่วนของโมดี อาจกล่าวได้ว่า สิ่งหนึ่งที่เขาพยายามจะทำเกี่ยวกับองค์ความรู้เหล่านี้คือ การเผยสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เป็นที่รับรู้ของสาธารณชน และการรณรงค์ส่งเสริมการศึกษาในสาขาพุทธศาสน์ศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อให้การศึกษาวิจัยพุทธศาสนาในอินเดียเข้มแข็งยิ่งขึ้น

สถาบันทางพุทธศาสนาในอินเดีย

รัฐบาลโมดีได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการมาร่างหลักสูตรการศึกษาสงฆ์ขึ้นเพื่อนำระบบการศึกษาแบบพุทธมาใช้ควบคู่กับระบบการศึกษาทั่วไป ขณะเดียวกันก็ผลักดันสี่สถาบันหลักให้ทำงานวิจัยทางพุทธศาสนาอย่างเข้มข้น

1. นวนาลันทามหาวิหาร (นาลันทาใหม่) มลรัฐพิหาร
2. Central Institute of Higher Tibetan Studies (CIHTS) เมืองสารนาถ
3. Central Institute of Buddhist Studies (CIDS) เมืองลาดัข
4. Central Institute of Himalayan Culture Studies (CIHCS) มลรัฐอรุณาจัลประเทศ

หน้าที่หลักของสถาบันเหล่านี้คือการให้การศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนาและพุทธปรัชญา ส่งเสริมการวิจัยเกี่ยวกับพุทธศาสนาในหลายแง่มุม ที่สำคัญยิ่งคือการทะนุบำรุงรักษาคัมภีร์พุทธ จัดเก็บพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ทางพุทธอื่น ๆ ในรูปแบบดิจิทัล

ตัวบทเหล่านี้มีตั้งแต่ภาษาบาลี สันสกฤต ไปจนถึงภาษาทิเบต จีน ญี่ปุ่น และอื่น ๆ นอกจากนี้สถาบันต่าง ๆ เหล่านี้ยังมีการหมุนเวียนจัดสัมมนา การประชุมวิชาการระดับนานาชาติเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เป็นประจำ โดยมีผู้เข้าร่วมจากนานาประเทศ

โครงการอื่น ๆ ที่รัฐบาลโมดีดำริเพื่อพุทธศาสนาในระดับนานาชาติ

เช่น การสนับสนุนอุปกรณ์แก่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เพื่อการจัดเก็บพระไตรปิฎกและคัมภีร์พุทธอักษรล้านนาในรูปแบบดิจิทัล การจัดการประชุมวิชาการนานาชาติที่นวนาลันทามหาวิหารเป็นเวลาสามวันตั้งแต่ 17-19 มีนาคม ค.ศ. 2017 ในหัวข้อ Nalanda Tradition: Buddhist Response to World Crisis การจัดเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาหรือที่เรียกในอินเดียว่า เวศาขพุทธปูรณิมาทิวัส (Vesak Buddha Purnima Diwas) นิทรรศการสัญจรในนานาประเทศ โดยเน้นประเทศที่มีประชากรพุทธ เช่นกัมพูชา จีน ฮ่องกง เวียดนาม พม่า ไทย ลาว อินโดนีเซีย นอกจากนี้นวนาลันทามหาวิหารยังจัดโครงการที่เรียกว่า Nalanda Dialogue เป็นประจำทุกปี โดยเชิญนักวิชาการจากทั่วอินเดียและทั่วโลกมาอภิปรายร่วมกันและแสดงมุมมองเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ในสถานการณ์โลกและการปรับประยุกต์ใช้พุทธปรัชญา

เหล่านี้เป็นสิ่งที่สรุปคร่าว ๆ มาจากเอกสารอ้างอิงที่ท่านทูตใช้ประกอบปาฐกถา ซึ่งได้แจกแจงรายการความดำริต่าง ๆ ของรัฐบาลอินเดียเกี่ยวกับพุทธศาสนาไว้ทั้งสิ้น 14 หัวข้อ ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงอีกก็มีเช่นการให้ทุนแลกเปลี่ยนระดับนานาชาติ เวิร์คช็อป โร้ดโชว์ ภาพยนตร์สั้น และการประชาสัมพันธ์ทางเว็บไซต์ของการท่องเที่ยวอินเดียในโครงการ “อินเดีย ดินแดนของพระพุทธเจ้า” (India the Land of Buddha) ทั้งหมดทั้งปวงล้วนแต่แสดงความตื่นตัวของรัฐบาลในการส่งเสริมพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
_______________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย