วันที่ 24 ธันวาคม 2565
เพลง Buddha Chuno ya Yuddha Chuno
เป็นเพลงที่รวมอยู่ในอัลบั้มชื่อ “Mahakarunik the Lord Buddha” เสียงร้องของกุมาร สานุ (Kumar Sanu) เนื้อร้องโดยอวนีศ ราฮี (Avnish Rahi) และดนตรีโดยทโมทาร ราว (Damodaar Rao)
กุมาร สานุ เป็นหนึ่งในนักร้องอินเดียที่มีโอกาสถ่ายทอดเพลงเกี่ยวกับพุทธศาสนา นอกจากเขาแล้วยังมีอีกหลายคนที่เคยร้องเพลงเกี่ยวกับพุทธศาสนามาแล้ว เช่น ลตา มังเคศการ์ (Lata Mangeshkar) อุทิต นารายัณ (Udit Narayan) โสนุ นิคัม (Sonu Nigam) อาศา โภสเล (Bhosle) และนักร้องมีชื่ออีกหลายคน ซึ่งแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้เพราะพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ชาวอินเดียยอมรับร่วมกันว่าเป็นมรดกทางปรัชญาอันยิ่งใหญ่
เนื้อหาในวันนี้จะสืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเราได้พูดเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีอินเดียคนปัจจุบัน นายนเรนทรา โมดี ในเรื่องอันเกี่ยวข้องด้วยการทะนุบำรุงพุทธศาสนา ซึ่งจัดว่าน่าทึ่งอย่างยิ่ง เพราะมีความดำริต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเราได้สรุปรวมเป็นสองด้านใหญ่ ๆ คือด้านมรดกที่จับต้องได้ เช่นการฟื้นฟูพุทธศาสนสถานสำคัญ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ปรับสภาพภูมิทัศน์ รวมทั้งการเชื่อมต่อและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในพุทธสถานเหล่านี้ให้ชาวโลกเข้าถึงได้ง่าย ตัวอย่างสำคัญก็เช่นรถไฟสาย Buddhist Circuit Trains
ส่วนอีกด้านหนึ่งคือด้านมรดกที่จับต้องไม่ได้ อันหมายถึงมรดกทางภูมิปัญญาของพุทธศาสนา โมดีได้ริเริ่มสิ่งเหล่านี้ผ่านการทะนุบำรุงและจัดเก็บคัมภีร์ต่าง ๆ และส่งเสริมการศึกษาสาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยที่มีสาขาวิชาพุทธศาสนศึกษามีอยู่ประมาณ 30 หรืออาจจะ 32 แห่งทั่วอินเดีย สมควรกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า รัฐบาลโมดีได้ดำเนินการมากมายเกี่ยวกับพระไตรปิฎกฉบับภาษาต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ได้ส่งมอบพระไตรปิฎกโบราณฉบับภาษารัสเซียที่เก็บรักษาไว้ในอินเดียกลับคืนให้รัสเซีย และอนุมัติให้ตีพิมพ์พระไตรปิฎกโบราณของมองโกเลียที่สูญหายไปและได้รับการเก็บรักษาไว้ที่อินเดีย โดยใช้เทคนิคการพิมพ์แบบดิจิทัล
สิ่งที่น่าสนใจและเราจะชวนผู้ฟังคิดวิเคราะห์ในวันนี้ โดยที่เราเองก็สกัดมาจากบทสนทนากับคุณเกซัง วังดี อีกทีหนึ่งคือประเด็นว่า เพราะเหตุใดนายกรัฐมนตรีโมดีผู้เป็นชาวฮินดูและมาจากพรรคชาตินิยมฮินดูจึงเลือกส่งเสริมพุทธศาสนาอย่างแข็งขัน จะไม่ขัดแย้งกับอัตลักษณ์ความเป็นฮินดูหรอกหรือ
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2015 นเรนทรา โมดีเคยกล่าวสุนทรพจน์เอาไว้ครั้งหนึ่ง ณ กรุงเดลี เป็นที่รู้จักในนาม สุนทรพจน์เวสาข 2015 ซึ่งในสุนทรพจน์นี้ หลายจุดโมดีได้อ้างอิงหนังสือที่ชื่อ โพธิจารยาวตาร โดยอาจารยศานติเทพแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ใจความตอนหนึ่งของสุนทรพจน์ครั้งนี้ โมดีได้เน้นย้ำสิ่งที่เรียกว่า “ศตวรรษแห่งเอเชีย” ซึ่งกำลังเป็นที่กล่าวถึงมากว่าศตวรรษปัจจุบันคือศตวรรษที่ 21 นี้ เอเชียกำลังจะทะยานขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งกระแสโลก
สิ่งหนึ่งที่โมดีกล่าวก็คือ ศตวรรษแห่งเอเชียที่ว่านี้จะไม่อาจสมบูรณ์ได้เลยหากปราศจากปรัชญาแห่งพุทธศาสนา และเราจำเป็นต้องย้อนเยือน (revisit) อีกหนึ่งเรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าใหม่อีกครั้ง (relearn)
เพราะเหตุใดในโลกที่เจริญก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ เรายังต้องย้อนกลับไปหาปรัชญาโบราณเช่นนั้นอีก นั่นเป็นเพราะว่า ปัญหาต่าง ๆ แห่งโลกปัจจุบันที่กำลังถกเถียงและหาทางออกกันอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วก็เคยได้รับการอภิปรายและเสนอแนะทางแก้ไขไว้อย่างสวยงามตั้งแต่ยุคโบราณแล้วนั่นเอง เราเพียงแต่ต้องย้อนกลับไปอ่านความรู้เหล่านั้นเพื่อนำมาใช้เป็นทางออกของปัญหาในทุกวันนี้ ซึ่งบางครั้งวิธีแก้อาจจะง่ายอย่างเหลือเชื่อเพียงแต่เรารู้จักปรับมุมมองเสียใหม่
ดังคำพูดหนึ่งที่โมดีเน้นมากก็คือ ในศตวรรษแห่งเอเชีย เอเชียจะนำโลกด้วยความรู้ที่จะไม่ใช่ลักษณะเดียวกับความรู้แบบจักรวรรดิในครั้งกาลก่อน ที่เน้นการปฏิวัติอุตสาหกรรมและส่งผลให้เกิดการขูดรีด ทำให้เกิดความยุ่งยากในหลาย ๆ ส่วนของโลกตราบเท่าทุกวันนี้
แน่นอนว่าความพยายามของโมดีที่จะย้อนเยือนพุทธศาสนานั้น มิใช่ความพยายามครั้งแรกแต่เป็นการต่อยอดจากบุคคลในอดีตหลายท่าน
หนึ่งในบุคคลที่ชาวไทยรับรู้กันมากที่สุดว่าเป็นผู้ฟื้นฟู หรือที่บางคนเข้าใจว่า “คืนชีพ” พุทธศาสนาในอินเดียก็คือรัฐบุรุษที่ชื่อว่า ภีมราว รามยี อัมเบดการ์ ที่เราเคยเสนอเรื่องราวของเขาไว้อย่างละเอียดเกือบยี่สิบตอนนั่นเอง
ที่อัมเบดการ์ฟื้นฟูพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาเป็นฟันเฟืองสำคัญตัวหนึ่งในการขยายชุมชนพุทธศาสนา แต่เขามิได้ทำสิ่งนั้นโดยเริ่มจากศูนย์ หรือโดยปราศจากรากฐานโดยสิ้นเชิง เพราะอย่างที่เน้นย้ำไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าแท้จริงพุทธศาสนาไม่เคยเสื่อมสูญไปจากอินเดียอย่างแท้จริง หากแต่แปรสภาพจากความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุภายนอกไปสู่เชิงนามธรรมคืออิทธิพลต่อความคิดจิตใจแบบอินเดียมากกว่า
ขณะนั้นอินเดียกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการปกครองตะวันตก ผนวกกับการที่มีระบบวรรณะซึ่งคนถูกกดขี่ขูดรีดมานานนับพันปี อัมเบดการ์จึงกำลังต่อสู้สงครามสองทาง ทางหนึ่งคือการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย ในขณะที่อีกทางหนึ่งเขาสู้เพื่อชุมชนของตนเอง เพื่อขจัดความคิดที่ว่าคนวรรณะต่ำถูกกำหนดให้เกิดมาเช่นนั้นและต้องจำยอมรับสภาพเช่นนั้นโดยไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไปได้ เขาท้าทายสิ่งนี้ด้วยการประสบความสำเร็จด้วยตนเอง เพื่อพิสูจน์ว่าคนทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน
เหตุหนึ่งที่อัมเบดการ์ต้องหยิบยกพุทธศาสนาขึ้นมาใช้ในการต่อสู้ก็เพราะว่า อัมเบดการ์ตระหนักแน่ในใจว่าถ้าคนของเขายังคงตกอยู่ในระบบศาสนาฮินดูก็จะไม่ก้าวไปไหน เขาค้นพบอิสรภาพที่จะพาคนของเขาออกมาได้ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาจึงใช้พุทธศาสนาในฐานะเครื่องมือทางการเมืองในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพด้วย
ดังนั้นกลุ่มชาวพุทธใหม่จึงก่อกำเนิดขึ้นพร้อมกันกว่า 500,000 คนด้วยกิจกรรมการประกาศตนเป็นพุทธมามกะที่เขาเป็นผู้นำในวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1956 ที่เมืองนาคปูร์ ซึ่งนับว่าสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมอินเดียอย่างรุนแรงพอสมควร จึงไม่แปลกที่คนไทยหลายคนจะเข้าใจว่าอัมเบดการ์เป็นผู้ฟื้นฟูพุทธศาสนาในอินเดีย
สิ่งที่อัมเบดการ์ทำนั้น เป็นการขยายชุมชนชาวพุทธให้กว้างขวางขึ้นก็จริง แต่ก็ยังคงต้องกล่าวว่าพุทธศาสนาในอินเดียนั้นมีความแตกต่างกับในไทยอยู่พอสมควร เพราะความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมและเคยอยู่ในระบบวรรณะมาก่อน ผลที่สุดสังคมพุทธใหม่ที่ผุดขึ้นมาก็ยังยากที่จะหลุดพ้นจากแนวคิดของการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะในหมู่ชาวพุทธอยู่ดี (ซึ่งเป็นเรื่องที่ฟังย้อนแย้งมาก)
อัมเบดการ์เองก็เสียชีวิตหลังจากกิจกรรมครั้งนั้นไม่นาน ไม่ได้อยู่ต่อมาเพื่อจะเสริมสร้างสังคมพุทธใหม่ที่ว่านี้ให้แข็งแกร่ง แต่สำหรับอีกด้านหนึ่งนั้น ก็ต้องยกความดีให้บุคคลก่อนอัมเบดการ์ด้วย คือภิกษุชาวลังกาชื่ออนาคาริกธรรมบาล (Anagarika Dhammapala) ในศตวรรษที่ 18
ท่านอนาคาริกธรรมบาลพยายามฟื้นฟูพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ลงแรงไปมากกับการปกป้องพุทธศาสนสถานเป็นหลัก เพราะสมัยนั้นไม่มีกลุ่มที่เรียกว่า “ชาวพุทธ” มาปกป้อง ศาสนสถานเหล่านี้จึงถูกละเลยหรือประสบชะตากรรมต่าง ๆ กันไป อนาคาริกธรรมบาลมองว่า การจะส่งเสริมการปฏิบัตินั้นจะต้องมีสถานที่เหล่านี้ไว้ยึดเหนี่ยวด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือ ท่านได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากผู้พิพากษาชาวเบงกอลที่มีนามว่าอศุโตษ มุเขอร์จี (Ashutosh Mukherjee) ซึ่งเป็นชาวฮินดู หาใช่ชาวพุทธแต่อย่างใดไม่
ข้อมูลน่าสนใจที่เราได้รับทราบจากคุณวังดีคือ ก่อนความพยายามของท่านอนาคาริกธรรมบาล พุทธคยาเคยเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของกลุ่มเจ้าที่ดินฮินดูที่เรียกว่า มหันต์ ทั้ง ๆ ที่เป็นสถานที่สำคัญที่มีชาวพุทธมาจาริกแสวงบุญจากดินแดนต่าง ๆ ซึ่งเจ้าที่ดินมหันต์เหล่านี้ก็ไม่ลังเลที่จะหาผลประโยชน์ด้วยการเก็บค่าธรรมเนียมในการเข้าเยี่ยมเยียน ซึ่งผู้พิพากษามุเขอร์จี ชาวฮินดูผู้เคร่งครัดคนนี้เองเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทวงคืนพุทธคยาจากพวกมหันต์ให้ได้รับสถานะทรัพย์สินของแผ่นดิน
นอกจากนี้ อนาคาริกธรรมบาลยังไปสร้างวิหารแห่งใหม่ขึ้นในบริเวณพุทธคยา หรือที่รู้จักกันดีในนามมูลคันธกุฎีวิหาร ในจุดที่เชื่อว่าเดิมก็เคยมีวิหารเก่าอยู่เช่นกันแต่สาบสูญไปแล้ว จึงกล่าวได้ว่า แม้อัมเบดการ์จะช่วยสร้างชุมชนพุทธขึ้นในอินเดีย แต่ในทางมรดกที่จับต้องได้ทำได้นั้น ต้องยกให้เป็นความชอบ อนาคาริกธรรมบาลและสหายร่วมอุดมการณ์คือ ผู้พิพากษาอศุโตษ มุเขอร์จี แม้แต่สวามีวิเวกานันท์ก็เคยมีส่วนร่วมเช่นกัน
แน่นอนว่าโมดีเองไม่ละเลยที่จะกล่าวถึงอัมเบดการ์ด้วย เขากล่าวว่าจะต้องสานต่อสิ่งที่อัมเบดการ์ทำไว้ เขาเองก็มาจากวรรณะที่ไม่สูง และเขาตระหนักว่าความเชื่อเรื่องวรรณะจะทำให้อินเดียล้าหลัง เขาเองจึงพึ่งพาปรัชญาพุทธอันมีลักษณะมนุษยนิยมในการวิพากษ์สิ่งเหล่านี้
สมัยที่เขาเริ่มดำรงตำแหน่งใหม่ ๆ โมดีตั้งใจไปเยี่ยมสถานที่ทางพุทธหลายแห่ง เช่นเมื่อคราวที่ไปภูฏาน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของอินเดียอยู่แล้ว เขาไปไหว้พระพุทธรูปในวัดของภูฏานด้วย แม้ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีหรือเข้าพบปะบุคคลสำคัญอื่น ๆ ของภูฏานก็เป็นการเพียงพอแล้ว
นอกจากนั้นในระหว่างสองสามปีแรกที่เขาดำรงตำแหน่ง เขาไปเยี่ยมประเทศพุทธมาทุกประเทศ และในทุกประเทศเขาก็เข้าไปเยี่ยมชมวัดสำคัญของประเทศนั้น ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่าโมดีมีเจตนาจงใจอย่างยิ่งทีเดียวที่จะกระทำสิ่งเหล่านี้ ด้วยความรู้สึกและความเชื่อส่วนตัวของเขาเอง
ในสุนทรพจน์ปี 2015 เขาได้อธิบายไว้ว่าทำไมจึงผูกพันกับพุทธศาสนา ก็เพราะบ้านเกิดของเขาเองก็มีวิหารและสถูปของพุทธศาสนาอยู่แล้ว ที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเขาก็เคยครุ่นคิดถึงสมัยที่วิหารและสถูปนี้ยังคงเรืองรอง
โมดีศึกษาพุทธศาสนาด้วยตนเอง มิได้เข้าศึกษาในสถาบันใด อย่างที่รู้กันดีว่าหากบุคคลศึกษาสิ่งใดด้วยตนเองแล้วก็แสดงว่ามีความสนใจใฝ่รู้ในสิ่งนั้นจากใจจริง
ผู้นำอีกคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาและแบ่งปันความสนใจทางพุทธศาสนาร่วมกันคือ อดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะของญี่ปุ่น ผู้ล่วงลับ พวกเขามีแนวคิดชาตินิยมเหมือนกัน และอาเบะเองก็ยอมรับโดยไม่ขัดเขินว่าเขามีความเชื่อในพุทธศาสนาด้วย ซึ่งแปลกจากวิสัยผู้นำญี่ปุ่นทั่วไปที่มักจะยึดแนวฆราวาสนิยม โมดีไปพบปะกับอาเบะในวัดพุทธที่สำคัญของญี่ปุ่นชื่อวัดโทจิในกรุงเกียวโตเมืองหลวงเก่าญี่ปุ่น เมื่ออาเบะถูกสังหาร โมดีรู้สึกตกใจและเสียใจมาก และไปร่วมงานศพด้วยตนเอง
ก็เพราะโมดีตระหนักผลสืบเนื่องมาจากค่านิยมทางอารยธรรม หากเปรียบเทียบค่านิยมที่เชิดชูโดยอารยธรรมตะวันตกกับอารยธรรมตะวันออก จะเห็นได้ว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพราะรากเหง้าความเชื่อที่ฝังอยู่ในอารยธรรมตะวันตกมาจากการมองมนุษย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล และสิ่งต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ในขณะที่อารยธรรมตะวันออกจะเน้นความอยู่ร่วมอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติมาแต่ดั้งเดิมแล้ว
ฉะนั้นจะกล่าวว่าเป็นเรื่องย้อนแย้งน่าขันก็ได้ ที่เมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาชาวตะวันตกได้ตักตวงทรัพยากรและเผยแพร่ปรัชญาแห่งการขูดรีดจากธรรมชาติให้กลายเป็นระบบทั่วหน้า จนถึงจุดที่ตนพบว่ากลายเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติแล้ว ถึงได้เริ่มรู้สึกตัวและย้อนกลับมาพูดเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติกับชาวตะวันออก ที่เข้าใจสิ่งนี้กระจ่างมาตั้งแต่ต้นแล้ว
อิทธิพลสำคัญที่ทำให้พุทธศาสนามีความโดดเด่นยิ่งในแง่ปรัชญา สะท้อนให้เห็นในแนวคิดที่ว่าด้วยศักยภาพในการพัฒนาตนเองให้ทะยานขึ้นมาได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดใด ๆ ผนวกกับแนวคิดแบบประชาธิปไตยซึ่งเคยเป็นลักษณะการปกครองของแคว้นจำนวนหนึ่งตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว
โมดีมีความคิดที่จะส่งเสริมแนวคิดที่เรียกว่า “สัมวาท” หรือแปลภาษาอังกฤษว่า Dialogue ทั้งในระดับการเมืองและในระดับรากหญ้า เพราะเขาไม่เชื่อในแนวคิด Clash of Civilizations ที่เสนอโดยฮันติงตัน หากแต่เชื่อในการสนทนาแลกเปลี่ยน มีการจัดงานสัมวาทในปี 2015 ที่พุทธคยา และโมดีได้ประกาศไว้ในงานครั้งนั้นว่า “Let’s make this Bodhgaya the spiritual capital of the world.”
โมดีเป็นนักการเมืองผู้ชาญฉลาดที่จะใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือ เพื่อเรียกคะแนนจากชาวพุทธ แต่ข้อวิพากษ์นี้ไม่สมเหตุผลเพราะประชากรพุทธมีน้อยมาก ถ้าโมดีหวังผลทางการเมืองจริงเขาคงจะต้องยึดมั่นแนวทางฮินดูอย่างเหนียวแน่น เพราะเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ
จุดนี้ขอย้อนกล่าวเปรียบเทียบกับผู้พิพากษาอศุโตษสักเล็กน้อย ที่น่าสนใจคือเขาเป็นพ่อของศยามาประสาท มุเขอร์จี หนึ่งในผู้ก่อตั้ง BJP ทั้งคู่เคยเป็นประธานมหาโพธิสมาคมแห่งอินเดีย (แม้ทั้งคู่จะไม่ใช่พุทธ) การที่ผู้พิพากษาอศุโตษต่อสู้กับเจ้าที่ดินมหันต์เพื่อทวงคืนสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา บ่งบอกได้ว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาของเขานั้นมิได้เป็นเพื่อผลทางการเมืองเช่นกัน
ที่หลายคนเคยพูดว่าพุทธศาสนาสาบสูญไปจากอินเดียนั้นเป็นเพียงคำกล่าวจากสิ่งที่มองเห็นได้ภายนอก แก่นสำคัญของพุทธศาสนายังคงอยู่ในจิตวิญญาณชาวอินเดีย และโดยมากไม่เคยมองพุทธศาสนาแปลกแยกจากฮินดูเลย
แม้แต่พิธีศพชาวพุทธในอินเดีย ก็ทำร่วมกับชาวฮินดูและมีนักบวชฮินดูมาประกอบพิธีด้วย ปรัชญาทั้งสองคือฮินดูและพุทธอยู่ร่วมกันมานาน ซึ่งก็ทำให้อยู่รอดมาด้วยกัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องสร้างอัตลักษณ์พุทธแยกออกมา
________________
รายการปกิณกะอินเดีย
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย