การเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดียจากอดีตถึงปัจจุบัน ตอนที่ 1
1,859 views
0
0

เพลง Duniya Mein Hum Aaye Hain
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Mother India ฉายในปี ค.ศ. 1957 ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังคลาสสิคเรื่องหนึ่ง กำกับโดยเมห์บูบ ข่าน (Mehboob Khan) ดารานำคือ นาร์กิส (Nargis) สุนีล ทัตต์ (Sunil Dutt) ราเชนทระ กุมาร (Rajendra Kumar) และ ราช กุมาร (Raaj Kumar) เพลงนี้ขับร้องโดยพี่น้องสามคมจากครอบครัวมังเคศการ์ (Mangeshkar) คือ (1) ลตา (Lata) (2) มีนา (Meena) และ (3) อุษา (Usha) มังเคศการ์

การเสริมสร้างพลังให้แก่สตรีในอินเดีย หรือ Women Empowerment

ก่อนอื่นใดต้องขอขอบพระคุณแฟนรายการที่บอกกับเราว่าฟังรายการของเราอยู่เป็นประจำ เมื่อวันเสาร์ที่แล้วผมไปบรรยายที่ “หลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงชั้นสูง” จัดโดยมูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง ท่านพลเรือเอก ไพโรจน์ แก่นสาร ปัจจุบันเป็นราชการบำนาญกองทัพเรือ ก็บอกผมว่าฟังรายการของเรา

วันนี้ที่เราทั้งสองนำเรื่องการเสริมสร้างพลังให้แก่สตรีอินเดียมาเล่าให้ผู้ฟัง ส่วนหนึ่งก็เพราะเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา คุณแม่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีได้ถึงแก่กรรมแล้ว ท่านอายุ 99 ย่าง 100 ปี และถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ซึ่งที่ผ่านมาก็พอทราบกันแล้วว่า ท่านป่วยและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมาพักหนึ่งแล้ว

คุณแม่ของนายกโมดีชื่อว่า ฮีร่าเบน โมดี (Heeraben Modi) การจากไปของท่านทำให้เราทั้งสองขบคิดกันอยู่นานพอสมควร ในที่สุดเราก็ตัดสินใจว่าจะพูดเรื่องการเสริมสร้างพลังให้แก่สตรีในอินเดีย หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Women Empowerment”

ฮีร่าเบน โมดี (Heeraben Modi) คุณแม่ของนายกโมดี

ก่อนอื่นใดเราน่าจะเล่าให้ท่านผู้ฟังได้ทราบก่อนว่า คุณแม่ฮีร่าเบนนั้นสำคัญต่อชีวิตนายกรัฐมนตรีอินเดียผู้เป็นลูกอย่างไร แน่นอนว่าแม่ส่วนใหญ่ย่อมสำคัญต่อชีวิตลูกอยู่แล้ว แต่รายละเอียดหรือตัวอย่างที่คุณแม่แต่ละคนประสบเจอก็อาจจะแตกต่างกัน

นายโมดีเคยเขียนไว้ในเว็บไซต์ส่วนตัวเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2022 เมื่อแม่อายุครบ 99 ปีเต็ม โมดีเขียนในทำนองว่า ชีวิตและการเสียสละของแม่ได้หล่อหลอมจิตใจ บุคลิกภาพ และความมั่นใจในตนเองของเขา

โมดีเขียนด้วยว่า “แม่ผมทั้งมีความเรียบง่าย ทั้งมีความพิเศษ ก็เหมือนกับแม่ทั้งหลายนั่นแหละ” “My Mother is as simple as she is extraordinary. Just like all mothers.”

ข้อความที่โมดีเขียนถึงคุณแม่ของตนที่น่าสนใจอีก เช่น “ชีวิตวัยเด็กของเธอเป็นชีวิตแห่งความยากจนและการถูกกีดกัน” ที่ทราบจากข้อความของนายโมดีอีกคือ แม่ฮีร่าเบนแต่งงานในช่วงวัยรุ่น แต่งกับชายที่มีนามว่าทโมทรทาส มูลจันท์ โมดี (Damodardas Mulchand Modi) และย้ายไปอยู่ที่เมืองวัฑนคร (Vadnagar) ห่างจากบ้านเกิดไม่ไกลนัก มีบุตรชายด้วยกันห้าคน คือนอกจากตัวนายกโมดีซึ่งเป็นคนที่สามแล้ว ก็มี โสมะ (Soma) อมฤต (Amrut) ประหลาท (Prahlad) และ บงกช (Pankaj) ลูกสาวหนึ่งชื่อวสันติเบน (Vasantiben)

นายโมดีเล่าให้ฟังด้วยว่า “ที่วัฑนครครอบครัวของเราอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ซึ่งไม่มีแม้แต่หน้าต่าง ไม่ต้องพูดถึงความหรูหราอื่น เช่น ห้องอาบน้ำ หรือห้องส้วมเลย”

โมดีเล่าอีกว่า แม่ฮีร่าเบนไม่ชอบออกงานสาธารณะ เคยออกงานกับนายโมดีแค่สองงาน

นายโมดีเล่าด้วยว่า แม่เป็นคนตรงต่อเวลา เป็นคนสะอาด และเป็นคนขยันทำงาน “ในขณะที่แม่กำลังทำงาน แม่ก็จะฮัมเพลงภชันและบทสวดที่แม่โปรดปรานด้วย”

ความเรียบง่ายของแม่ฮีร่าเบนที่หลายคนนำมาพูดถึงกันอยู่บ้างก็คือ หลังจากรัฐบาลโมดียกเลิกธนบัตรมูลค่า 500 และ 1,000 รูปีแล้ว มีคนเห็นแม่ฮีร่าเบนและถ่ายรูปท่านขณะที่ท่านกำลังไปธนาคารเช่นเดียวกับชาวอินเดียนับล้านเพื่อแลกธนบัตรที่ยกเลิกกับธนบัตรใหม่

วันที่แม่ฮีร่าเบนถึงแก่กรรม นายโมดีก็เดินทางไปถึงมลรัฐคุชราต (Gujrat) เมื่อช่วงเช้า หลังจากงานศพก็เข้าร่วมประชุมออนไลน์ต่อ

เอาละนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาก ชีวิตของแม่ฮีร่าเบนคงส่งผลต่อนายกโมดีไม่น้อยเลย (นายโมดีรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกในปี ค.ศ. 2014)

สถานภาพสตรีในอินเดียตั้งแต่อดีตกาล

เราจะมาดูกันว่า นโยบายของโมดีต่อการเสริมสร้างพลังสตรีมีอะไรบ้าง แรกสุดเลยเราอาจจะต้องดูก่อนว่าสถานภาพสตรีในอินเดียตั้งแต่อดีตกาลมีความเป็นมาอย่างไรบ้าง

ในวัฒนธรรมอินเดียโบราณ ผู้หญิงได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับผู้ชาย ไม่มีการเลือกปฏิบัติบนฐานของเพศเพศ ผู้หญิงได้รับเกียรติจากสังคม สังคมสมัยนั้นถือว่าผู้หญิงเป็นชนนี (Janani) ซึ่งแปลว่าแม่ ในคัมภีร์ฮินดู ผู้หญิงถือเป็นเทวี

ผู้หญิงเคยได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่ ได้รับการศึกษาอย่างเสรี ในสังคมอดีตกาลด้วยที่ภรรยาของฤๅษีอาจจะเต็มใจมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางจิตวิญญาณกับสามีของพวกนาง หญิงที่เป็นภรรยายังเป็นที่รู้จักกันในนามอรรธางคินี (Ardhangini) หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “better half” หรืออีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ดีกว่าด้วย

ในช่วงเวลานั้น ผู้หญิงใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมเหมือนผู้ชาย เมื่อเวลาผ่านไป สถานภาพของพวกนางอาจเปลี่ยนไป แต่ในยุคพระเวท พวกนางเป็นสัญลักษณ์อันสัมบูรณ์แห่งผู้พิทักษ์ และผู้ปกป้องความเป็นมนุษย์และอุดมคติ

ความสำเร็จของ เช่น นางคารคี (Gargi) นางไมเตรยี (Maitreyi) นางสีดา (Sita) หรือนางเทราปที (Draupadi) กลายเป็นบทบาทในอุดมคติสำหรับสตรีในยุคสมัยนี้

ผู้หญิงเหล่านี้สามารถแข่งขันกับผู้ชายในหลายสาขาได้ ที่สำคัญคือ พวกเขายังได้รับสิทธิและความเสมอภาค กล่าวอย่างเรียบง่ายคือ ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ที่เห็นได้ชัดอีกคือ ผู้หญิงครอบครองทรัพย์สินมากมายด้วย นอกจากนั้น ผู้หญิงในยุคนั้นยังมีบทบาทสำคัญในการชี้นำบุตรหลานของพวกเขาด้วย

ในคัมภีร์โบราณของพระเวท แนวคิดเรื่องมนุษย์เป็นรากฐานของสังคม ในไตติริยสัมหิตะ (Taittiriya Samhita) ผู้หญิงและผู้ชายเปรียบเป็นสองล้อของเกวียน ซึ่งก็สื่อให้เห็นอย่างชัดเจนว่า บทเรียนจำนวนมากที่มาจากพระเวทเป็นตัวอย่างที่ดีแก่สังคมว่าด้วยความเสมอภาคระหว่างชายกับหญิง

ยุคมืดของสตรี

การเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดียเปลี่ยนไปมากในช่วงยุคกลาง ช่วงประมาณ ค.ศ. 500-1500 ยุคนี้เรียกกันอีกอย่างว่า ยุคมืดของสตรี (The Dark Age for Women) เชื่อกันว่าการเข้ามาของต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มมุสลิมเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สถานภาพของผู้หญิงในยุคนั้นตกต่ำลง ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องระมัดระวังจากการเหมารวมอันนี้ด้วย

เมื่อผู้พิชิตต่างชาติเช่นชาวมุสลิมรุกรานอินเดีย พวกเขาได้นำวัฒนธรรมของตนเองมาด้วย สำหรับวัฒนธรรมที่นำเข้ามานี้ ผู้หญิงเป็นทรัพย์สินของพ่อ พี่ชาย หรือสามีของเธอแต่เพียงผู้เดียว ตัวเธอเองไม่มีความประสงค์ใด ๆ เป็นของตัวเอง เธอควรปฏิบัติตามกฎที่กำหนดโดยสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้ชาย

และแล้วผู้หญิงก็เริ่มไม่ได้รับสิทธิในการศึกษาพระเวทท่องมนต์เวทและปฏิบัติพิธีกรรมเวท เพราะผู้หญิงถูกมองว่าด้อยกว่าผู้ชาย บ้านไหนให้กำเนิดเด็กหญิงก็จะไม่ได้รับความชื่นชม ที่อ่านเจออีกคือ เป็นเรื่องน่าอับอายด้วย เพราะลูกสาวก็จะกลายเป็นภาระของครอบครัว ยิ่งแต่งออกไปได้เร็วสุด ยิ่งเป็นเรื่องดี ไม่งั้นเดี๋ยวลูกสาวก่อปัญหา มีเรื่องอื้อฉาวได้

สถานภาพสตรีตกต่ำในยุคนี้ มี 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
1) การแต่งงานในวัยเด็ก
2) ระบบปรรทา (purdah / pardah system)
3) การอุทิศตนให้สามีผ่านสตี (sati) และ/หรือเชาหาร (Jauhar) การจำกัดการแต่งงานใหม่ของหญิงหม้าย
4) การจำกัดการเข้าถึงการศึกษาของเด็กหญิง

การแต่งงานในวัยเด็กคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ส่วนประเด็นที่สองก็หมายถึงการคลุมร่างกายของตนซึ่งกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของพวกเขา ประเด็นที่สามมีสามประเด็นย่อย คือ (3.1) สตี (3.2) เชาหาร และ (3.3) การจำกัดการแต่งงานใหม่ของหญิงหม้าย ว่าด้วย (3.1) เรื่องสตี รายการปกิณกะอินเดียเคยพูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว สำหรับ (3.2) คือเชาหารหมายถึงการฆ่าตัวตายหมู่ นี่เป็นประเพณีของราชปุต (Rajput) ที่สตรีชาวราชปุตยอมสละชีวิตเพื่อสามีเมื่อพวกเขากำลังจะพ่ายแพ้สงคราม สำหรับ (3.3) ก็ชัดเจนในตัวเองแล้ว แต่อาจจะต้องขยายความด้วยว่า หญิงหม้ายที่ไม่ได้ร่วมพิธีสตีจะถูกบังคับให้สวมเสื้อผ้าสีขาวจาง ๆ และต้องกินอาหารเฉพาะที่แม่หม้ายกินเท่านั้น และ (4) ค่อนข้างชัดเจน

ยุคสมัยใหม่แห่งการเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดีย

เมื่อเวลาผ่านไปสังคมได้พัฒนาไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ผู้หญิงก็มีโอกาสที่จะได้รับสิทธิและอำนาจของตน แต่สิ่งนี้ไม่ได้มีให้สำหรับผู้หญิงทุกคนในสังคม

ในช่วงเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่แห่งการเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดีย มีชื่อผู้หญิงหลายคนปรากฏขึ้นในสมัยที่บริษัทอินเดียตะวันออกเข้ามาในอนุทวีปอินเดีย ชื่อเหล่านี้ เช่นเบกัม ฮัซราต มะฮัล (Begum Hazrat Mahal) อุทาเทวี (Uda Devi) อซีซุน ไบยาล (Azizun Baial) และรานีลักษมีบายแห่งฌานสี (Rani Laxmi Bai of Jhansi)

การเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดียค่อย ๆ แกร่งขึ้น มีการปฏิรูปสังคมและมีผู้ชายหลายคนเข้าร่วมด้วย เช่น ราชา ราม โมหัน รอย (Raja Rammohan Roy) อีศวร จันทร วิทยสาคร (Iswar Chandra Vidyasagar) สวามีวิเวกานันท์ (Swami Vivekananda) และ สวามีทยานันทสรัสวัต (Swami Dayananda Saraswat) ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนช่วยให้สตรีกลับคืนสู่สถานะเดิมในสังคม

ครั้งต่อไป เราจะพูดถึงการเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดียในช่วงอังกฤษครองอินเดียเพิ่มเติมด้วย และหลังจากนั้นเราจะเข้าสู่การเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดียหลังอินเดียได้รับเอกราช ถ้าไม่จบ เราอาจจะมีตอนที่ 3 ครับ เพราะสิ่งที่ใคร่เน้นมากเป็นพิเศษคือ นายกโมดีในฐานะบุตรของฮีร่าเบนได้ทำอะไรไปบ้างเพื่อเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดีย
_______________
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย