วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566
เพลง Mera Dil Ye Pukare Aaja
เพลงที่เปิดไปมีชื่อว่า “Mera Dil Ye Pukare Aaja” แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ทำใหม่ และได้รับความนิยมแบบ short clips ทาง Tik Tok ทาง เฟสบุ๊ก และทาง YouTube กล่าวได้ว่า Tik Tok มีอิทธิพลต่อสื่อสังคมออนไลน์อื่นอย่างปฏิเสธมิได้ เพลงที่เปิดไปแบบเวอร์ชั่นใหม่จัดทำโดย Chill Music มีผู้คนเข้าชมมากถึง 2.3 ล้านคน
ส่วนเพลงเดิมเป็นเวอร์ชั่นเศร้า เพราะเนื้อหาและทำนองคือความเศร้าอันเกิดจากการรอคอย เวอร์ชั่นต้นฉบับบเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Nagin ฉายในปี ค.ศ. 1954 กำกับโดยนัทลาล ชัสวันตลาล (Nandlal Jaswantlal) ดารานำคือวิชยันติมาลา (Vyjayanthimala) ประทีป กุมาร (Pradeep Kumar) ชีวัน ธาร์ (Jeevan Dhar) เพลงนี้ขับร้องโดยลตา มังเคศการ์ (Lata Mangeshkar)
ที่เปิดเพลงนี้อีกส่วนหนึ่งเพราะล่าสุดมีข้าราชการท่านหนึ่งที่ฟังรายการเราอยู่เป็นประจำ ถามผมว่า ที่ไทยเรานิยมสร้างหนังผีซ้ำหลาย ๆ ตอน หรือหลายเวอร์ชั่น ที่อินเดียเขานิยมทำหนังเรื่องใดซ้ำ ๆ บ้างไหมครับ คำตอบก็คือ มีอยู่บางเรื่อง แต่ที่เกี่ยวกับงูนี่ก็หลายเวอร์ชั่นเหมือนกัน เวลากดคำว่า Nagin ในกูเกิ้ลจะพบเจอหลายเวอร์ชั่นอยู่
วันนี้เป็นตอนสุดท้ายสำหรับหัวข้อ “การเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดียจากอดีตถึงปัจจุบัน”
ตอนที่หนึ่ง เราได้เล่าให้ฟังว่า การจากไปของนางฮีร่าเบน โมดี มารดาของนายนเรนทรา โมดีคือที่มาของหัวข้อนี้ หลังจากนั้นเราก็ได้เล่าให้ฟังว่า ในสมัยอินเดียโบราณ ค่อนข้างจะมีความเสมอภาคทางเพศ แต่สักประมาณ ปี ค.ศ. 500 ถึงปี 1500 ก็เข้าสู่ยุคมืดสำหรับสตรี ต่อมาเราก็เล่าให้ฟังถึงวิวัฒนาการบางส่วน
ตอนที่สอง เราก็เล่าถึงวิวัฒนาการของความพยายามในการเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดีย พูดถึงบทบาทของหลายคน
ตอนที่สาม วันนี้ที่เราใคร่เล่าให้ฟังคือ 1) กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเพศหญิงในอินเดีย 2) นโยบายของรัฐบาลอินเดียนำโดยนายนเรนทรา โมดี
อินเดียมีกฎหมายมิให้เลือกปฏิบัติต่อสตรีค่อนข้างครบถ้วนเลยทีเดียว
มาตรา 14 และ 15 แห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย กล่าวถึงความเสมอภาคตามกฎหมาย รัฐจะปฏิเสธความเสมอภาคตามกฎหมายมิได้ หรือจะปฏิเสธความคุ้มครองที่เท่าเทียมกันของกฎหมายภายในอาณาเขตของอินเดียมิได้ รัฐธรรมรูญต้องห้ามการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งศาสนา เชื้อชาติ วรรณะ เพศ หรือถิ่นเกิด
มาตรา 16 ความเท่าเทียมทางโอกาสในการได้รับจ้างงานในภาครัฐ
มาตรา 51A ให้ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของประชาชน ให้ละทิ้งการประพฤติที่จะทำให้ศักดิ์ศรีสตรีเสื่อมเสีย
• มีกฎหมายห้ามการล่วงละเมิดทางเพศหรือการบังคับค้าประเวณี กฎหมายนี้มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 และได้รับการแก้ไขอีกในปี ค.ศ. 1986
• มาตราอันเกี่ยวเนื่องกับการตั้งครรภ์และคลอดบุตรปี ค.ศ. 1961 ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามนายจ้างจ้างผู้หญิงโดยเจตนาในสถานประกอบการใด ๆ ในช่วงหกสัปดาห์หลังจากวันที่เธอคลอดบุตรหรือการแท้งบุตร
• กฎหมายห้ามให้หรือรับสินสอด ปี ค.ศ. 1961
• มาตราค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันแห่งปี ค.ศ. 1976 ให้มีการจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันแก่คนงานชายและหญิง และเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศต่อผู้หญิงในเรื่องการจ้างงานและในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
• มีกฎหมายว่าด้วยเทคนิคการวินิจฉัยก่อนคลอดแห่งปี ค.ศ. 1984 กฎหมายนี้ก็เพื่อหยุดการฆ่าเด็กที่จะถือกำเนิด
• รัฐบัญญัติหลักประกันการจ้างงานในชนบทแห่งชาติ ปี ค.ศ. 2005 คือกฎหมายแรงงานของอินเดียและมาตรการประกันสังคมที่รับประกันสิทธิในการทำงานในพื้นที่ชนบท
• ยังมีกฎหมายอื่นอีก และแม้รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ ต้องห้ามการเลือกปฏิบัติทางเพศดังที่ได้กล่าวมา แต่ก็มีกฎหมายที่อนุญาตให้กลุ่มศาสนา/ชาติพันธุ์อีกจำนวนหนึ่งสามารถดำเนินการตามศาสนาของตนได้
โดยสรุปกล่าวได้ว่า กฎหมายในอินเดียไม่เพียงแต่เพียงพอในการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง แต่ยังให้เสริมสร้างพลังให้สตรีด้วย รัฐธรรมนูญอินเดียเองเปี่ยมไปด้วยพื้นที่เพื่อประโยชน์ของผู้หญิง ลักษณะหนึ่งของรัฐธรรมนูญในมุมมองผม คือ มองผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า เสียเปรียบ และถูกเลือกปฏิบัติในสังคมที่เพศชายเป็นใหญ่ ในบางกรณีศาลสูงสุดของอินเดียเคยออกคำสั่งให้รัฐบาลปฏิบัติตามด้วย แม้จะมีกฎหมายมากมายก็ตามแต่ ทว่าหากสังคมยังมีค่านิยมแบบเดิมอยู่ก็ไม่ง่ายต่อการเปลี่ยนแปลง
1. โครงการ Sukanya Samriddhi Accounts (โครงการบัญชีสุกัญญาสัมฤทธิ)
เปิดตัวเมื่อวันที่ 22 มกราคม ปี ค.ศ. 2015 โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเด็กผู้หญิงในประเทศให้ดีขึ้นโดยการยกเลิกการกำหนดเพศ การเลือกปฏิบัติทางเพศ การคุ้มครองเด็กผู้หญิง และการมีส่วนร่วมที่สูงขึ้นของเด็กผู้หญิงในด้านการศึกษาและด้านอื่น ๆ ในรายละเอียดคือ ให้เด็กหญิงได้เก็บออมเงิน รัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง
2. โครงการ “Beti Bachao Beti Padhao” (ป้องกันลูกสาว ให้การศึกษาลูกสาว)
ในปี ค.ศ. 2015 รัฐบาลอินเดียได้ริเริ่มโครงการนี้เพื่อจัดการกับการเลือกปฏิบัติทางเพศและการเสริมสร้างพลังสตรีในอินเดีย โดยรวมแล้ว โครงการนี้มุ่งเน้นบรรลุเป้าหมาย 5 ข้อคือ (1) ปรับปรุงอัตราสัดส่วนเพศของเด็ก (2) รับรองความเท่าเทียมทางเพศและการเสริมพลังสตรี (3) ป้องกันการลำเอียงทางเพศ การเลือกเพศ (4) รับประกันความอยู่รอดและการปกป้องเด็กผู้หญิง (5) ส่งเสริมการศึกษาและการมีส่วนร่วมของเด็กผู้หญิง
3. โครงการจัดสรรที่พักอาศัยถาวร หรือ Pradhan Mantri Awas Yojana
โครงการนี้เริ่มวันที่ 1 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2015 โดยมีเป้าหมายในการจัดหาที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาให้แก่คนจนในเมือง นอกจากนี้ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มประชากรเฉพาะ เช่น กลุ่มที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ ผู้หญิง และชนกลุ่มน้อย รวมถึงวรรณะด้อยโอกาสและชนเผ่าด้วย
4. โครงการนิรภัย (Nirbhaya Scheme)
โครงการนี้ดังชื่อโครงการ รัฐบาลอินเดียได้จัดตั้งกองทุนเฉพาะที่เรียกว่า “กองทุนนิรภัย” (Nirbhaya Fund) เพื่อดำเนินการตามความคิดริเริ่มที่มุ่งเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นคงสำหรับผู้หญิงในประเทศ ภายใต้โครงการนี้ที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษคือ “One Stop Center” ที่นำมาใช้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ปี ค.ศ. 2015 โดยมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงด้วยบริการที่หลากหลายแบบบูรณาการภายใต้ศูนย์เดียวกัน เช่น การอำนวยความสะดวกของตำรวจ ความช่วยเหลือทางการแพทย์ การให้คำปรึกษาทางกฎหมายและบริการคำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา และให้ที่พักพิงชั่วคราว ในปี ค.ศ. 2022 รัฐบาลได้เพิ่มเงินเข้าไปในโครงการนี้อีก เพื่อที่จะเพิ่มช่องทางที่เรียกว่า ศาลแบบรวดเร็ว หรือ fast-track courts เพื่อความปลอดภัยของผู้หญิงในประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการ
5. โครงการประธานมนตรีอุชชวาลโยชนะ (Pradhan Mantri Ujjwala Yojana)
โครงการนี้เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2016 โดยจัดหาก๊าซ LPG ให้ผู้หญิงที่ยากจน ณ ขณะนี้มีผู้หญิงมากถึง 10 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้แล้ว ในรายละเอียดหมายถึงรัฐเข้าไปสนับสนุนก๊าซถังละ 200 รูปี
6. การหย่าโดยการกล่าวคำว่า “เฏาะลาก” (Talaq) สามครั้งจะไม่ถือเป็นการหย่าโดยนิติธรรมอย่างสัมบูรณ์อีกต่อไป
ในปี ค.ศ. 2017 ศาลสูงสุดได้ตัดสินว่าการหย่าโดยกล่าวคำว่า เฏาะลาก” สามครั้งแล้วถือว่าการหย่าเสร็จสิ้นทางนิตินัยนั้น ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญของอินเดีย และย้อนแย้งกับคำสอนของศาสนาอิสลาม
สถานภาพของสตรีในอินเดียทุกวันนี้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ทว่าผู้วิพากษ์วิจารณ์อินเดียหรือรัฐบาลอินเดียมองว่า โครงการที่รัฐบาลทำขึ้นยังไม่บรรลุเป้าหมาย ตัวผมเองก็เห็นด้วยกับผู้วิจารณ์ในบางเรื่องบางส่วน แต่จะกล่าวว่าไม่ดีขึ้นเลย อันนี้ก็ไม่น่าจะสะท้อนความจริงทั้งหมด การนับว่าดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็ไม่ใช่ของง่าย เช่น Gender Gap Index
อีกส่วนหนึ่งที่เราต้องจับตามองก็คือ ส่วนสังคม ส่วนกฎหมายมีแล้ว ส่วนมาตรการก็ทำมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนสังคมยังคืบหน้าไม่มากนัก มีคนวิจารณ์ด้วยว่า รัฐบาลอินเดียใช้เงินไม่มีประสิทธิภาพ เช่น โครงการป้องกันลูกสาว ให้การศึกษาลูกสาว คนวิจารณ์มองว่า รัฐบาลใช้เงินในการประชาสัมพันธ์โครงการมากไป สำหรับผมแล้ว ผมกลับไม่มองแบบนั้น เหตุที่ผมไม่มองแบบนั้นก็เพราะว่า การประชาสัมพันธ์นี้สำคัญมาก อย่าลืมนะครับว่านายกโมดีมีผู้คนศรัทธาจำนวนมาก การประชาสัมพันธ์แบบนี้เวิร์คมาก ยิ่งผู้คนที่ศรัทธาโมดี เริ่มละทิ้งคุณค่าความคิดในการเลือกปฏิบัติต่อเพศหหญิงได้มากขึ้น นี่และครับคือส่วนสังคม พวกเขาก็จะมองเห็นความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกสาว ของน้องสาว ของหลานสาว ในขณะเดียวกัน ปฏิเสธมิได้ด้วยว่า โครงการเหล่านี้ที่รัฐบาลโมดีได้ริเริ่มมา ต้องใช้เวลากว่าจะนำสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย