วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
เพลง Akbar Birbal
จากสไตล์ดนตรีอันร่าเริงสดใส หลายคนคงเดาได้เลยว่าเป็นเพลงที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะเพลงนี้มาจากการ์ตูนสำหรับเด็กชุด Akbar Birbal หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า พระเจ้าอักบาร์กับพีรพล ออกอากาศเป็นภาษาฮินดีเมื่อประมาณช่วงปี ค.ศ. 2013 ซึ่งน่าจะเป็นรุ่นหนึ่งในหลาย ๆ รุ่นของการ์ตูนชุดนี้ เพราะเรื่องราวของพระเจ้าอักบาร์กับพีรพลนั้น เป็นนิทานที่เล่าขานกันมาทุกยุคทุกสมัย และได้รับความนิยมชมชอบในหมู่เด็ก ๆ มาก เค้าโครงหลักคือเรื่องราวระหว่างพระเจ้าอักบาร์ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์โมกุลผู้มีชื่อเสียง กับมนตรีและแม่ทัพคนหนึ่งที่ชื่อพีรพล ซึ่งเป็นชาวฮินดู และมีสติปัญญาเฉียบแหลม ใช้ปัญญาแก้ปัญหาหรือเตือนสติของพระองค์หลายต่อหลายครั้ง
ถ้าจะเปรียบเทียบกับบ้านเรา นิทานพีรพลก็อาจจะพอเปรียบได้กับนิทานศรีธนญชัย คือเป็นนิทานประเภทที่ตัวเอกของเรื่องจะใช้สติปัญญาแก้ปัญหาหรือแก้ไขสถานการณ์ ทั้งยังเป็นเรื่องราวในราชสำนักเหมือนกันด้วย แต่นิทานพระเจ้าอักบาร์กับพีรพลดูจะได้รับการยกย่องว่ามีคุณค่าในเชิงคติธรรมมากกว่านิทานศรีธนญชัย ซึ่งมักเป็นไปในทางฉลาดแกมโกง วันนี้รายการเราจะมาเล่าถึงพีรพลทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และในเชิงคติชาวบ้านด้วย
นิทานประเภทที่มีบุคคลเจ้าปัญญาเป็นตัวเอกของเรื่อง อินเดียแต่ละท้องถิ่นก็มีอยู่หลากหลายมาก
ตัวละครสำคัญเหล่านี้นอกจากพีรพล ก็จะมี โคปาล ภาณฑ์ (Gopal Bhand) เตนาฬิราม (Tenali Rama) และ มุลลอห์ โดปิยาซา (Mullah Dopiaza) เป็นต้น โดยเฉพาะตัวละครหลังคือมุลลอห์ โดปิยาซานี้เป็นคู่แข่งของพีรพล อยู่ในราชสำนักโมกุลสมัยพระเจ้าอักบาร์เหมือนกัน ซึ่งแม้ว่าบุคคลที่กล่าวชื่อมานี้จะมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ แต่พฤติกรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏในนิทานเหล่านี้เป็นเพียงตำนานหรือเรื่องเล่าที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจริง ๆ อีกทั้งหลายตำนานของหลายบุคคลก็ยังมีความคล้ายคลึงกัน เพียงแต่เปลี่ยนแปลงชื่อตัวละครหลักตามท้องถิ่นเท่านั้น
ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องธรรมดาในแต่ละวัฒนธรรม คือมีบุคคลหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นศูนย์กลาง และนำเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นคตินิทานชาวบ้านมายกให้เป็นพฤติกรรมของคนผู้นั้น
สำหรับในวัฒนธรรมอื่น ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็มีเช่น อีสปของกรีกผู้เล่านิทานต่าง ๆ ไว้หลายร้อยเรื่อง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเล่าทั้งหมด และเรื่องราวเหล่านั้นพ้องกับนิทานตะวันออกเช่นนิทานชาดกบ้างก็มี ข้างฝ่ายจีนก็มีเปาบุ้นจิ้น ผู้พิพากษาสมัยราชวงศ์ซ่งที่ตัดสินคดีอย่างเที่ยงธรรมไว้นับร้อยคดี ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่าเป็นพฤติการณ์ของขุนนางตงฉินอย่างน้อยประมาณสี่คนรวมกัน หรือแม้แต่ศรีธนญชัยของไทยซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นราชทินนามสำหรับขุนนางตำแหน่งหนึ่ง ในสมัยอยุธยามีตำแหน่งศรีธนญชัยมาหลายคน
พีรพลตัวจริงเท่าที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1528 - 1586 เขาเป็นชาวฮินดูในวรรณะพราหมณ์ รับราชการเป็นมนตรีคือที่ปรึกษาหลักของราชสำนักโมกุลสมัยพระเจ้าอักบาร์
นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่หรือที่เรียกว่า มุขยเสนาบดี (Mukhya Senapati) และยังได้รับเกียรติยศเป็นตำแหน่ง ซัรดาร์ (Sardar) ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซียที่หมายถึงหัวหน้าหรือผู้นำคณะมนตรีด้วย จะเห็นได้ว่าต่างกับข้อมูลที่คนไทยหลายคนมักจะรับรู้กันในฐานะว่าพีรพลเป็นจำอวดหรือตลกหลวง (court jester) ในราชสำนัก เพราะที่จริงแล้วเกียรติยศของพีรพลนั้นสูงกว่าตำแหน่งตลกหลวงมาก
พีรพลถือกำเนิดในปี ค.ศ. 1528 ในตระกูลพราหมณ์พวกหนึ่งที่เรียกว่า ภัตต์ (Bhatt) ถิ่นฐานอยู่ที่เมืองกัลปี ซึ่งตามพิกัดปัจจุบันอยู่ในมลรัฐอุตตรประเทศ เขามีชื่อเดิมว่า มเหศ ทาส (Mahesh Das) เป็นบุตรคนที่สามของคงคา ทาส (Ganga Das)
พีรพลเป็นผู้มีอัจฉริยภาพในทางกวีและวรรณกรรมมาตั้งแต่วัยเยาว์ เชี่ยวชาญทั้งภาษาสันสกฤตและภาษาเปอร์เซียซึ่งเป็นภาษาสำคัญในสมัยโมกุล และสร้างชื่อเสียงจากการประพันธ์ร้อยแก้วและบทเพลง ได้เริ่มต้นรับราชการกับราชสำนักของพวกราชปุตในแถบมัธยประเทศก่อน โดยใช้ชื่อ “พรหมกวี” จากนั้นจึงได้เข้ารับราชการในราชสำนักของพระเจ้าอักบาร์ในเวลาต่อมา ช่วงประมาณปี ค.ศ. 1556 เมื่อเขาอายุได้ 28 ปี
สำหรับชื่อ พีรพล (Birbal) พระเจ้าอักบาร์เป็นผู้พระราชทานให้ เป็นที่รับรู้กันว่า จักรพรรดิโมกุลพระองค์นี้ทรงนิยมปัญญาชน ทรงตั้งไว้ใช้งานและยกย่องให้เกียรติเสมอกันโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นชาวฮินดูหรือมุสลิม
คำว่า พีรพล ว่ากันว่าพระเจ้าอักบาร์ทรงแผลงมาจากชื่อ วีรวร (Virvar) ซึ่งเป็นตัวละครมนตรีผู้มีปัญญาและซื่อสัตย์จงรักภักดีในวรรณกรรมฮินดูที่พระองค์โปรดปรานเรื่องหนึ่งคือ เวตาลปัญจวิงศติ หรือที่คนไทยรู้จักในนาม “นิทานเวตาล” นั่นเอง
ด้วยเหตุที่พระเจ้าอักบาร์ทรงแต่งตั้งผู้มีความสามารถโดยไม่ยึดติดกับภูมิหลังทางศาสนานี้ ทำให้พีรพลกลายเป็นหนึ่งในเก้าปัญญาชนโมกุลที่เรียกขานกันว่า นวรัตนะ (Navaratna) และพระเจ้าอักบาร์ทรงเรียกว่าเขาเป็นรัตนะดวงที่สว่างที่สุดในเก้าดวง
แน่นอนว่าผู้มีความสามารถโดดเด่นเช่นเขาก็เป็นที่ริษยาจากผู้คนจำนวนไม่น้อย และเป็นที่เกลียดชังจากบรรดาที่ปรึกษาที่เป็นมุสลิมแบบเคร่งครัดตามขนบ ด้วยสาเหตุที่เขาเป็นฮินดู ถึงกับมีเรื่องลือกันว่า พระเจ้าอักบาร์โปรดปรานและเชื่อฟังพีรพลมากถึงกับยอมทิ้งอิสลาม ไปทรงตั้งลัทธิความเชื่อใหม่ที่เรียกว่า ดิน-อิลลาฮิ (Din-i-llahi) ซึ่งเป็นแนวทางที่ผสมผสานองค์ประกอบจากอิสลามกับฮินดูเข้าด้วยกัน และพีรพลเองก็หันมานับถือลัทธิความเชื่อดังกล่าวด้วยกัน ทว่าเรื่องที่พระเจ้าอักบาร์ทรงละทิ้งอิสลามเพราะพีรพลนั้นไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด หรืออย่างน้อยก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นเช่นนั้น แท้ที่จริงพระเจ้าอักบาร์ทรงมีทัศนคติส่วนพระองค์แบบพหุศาสนาอยู่แล้ว และยังทรงนิยมวรรณกรรมฮินดูอย่างมากด้วย
พีรพลรับราชการกับพระเจ้าอักบาร์อยู่ 30 ปี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั้นไม่เคยทำให้พระเจ้าอักบาร์ขัดเคืองพระทัยเลย เขาเป็นคนสนิทที่สุดที่สามารถเข้านอกออกในและอาศัยอยู่ในพระราชวังได้ แม้แต่ในช่วงหลัง ๆ ที่พระเจ้าอักบาร์พระราชทานบ้านให้พีรพล บ้านนั้นก็ยังอยู่ในรั้วพระราชวัง เพราะรับสั่งว่า “ทรงโปรดการมีพีรพลอยู่ใกล้ชิด” กระทั่งว่าในพระราชวังของพระองค์มีประตูหนึ่งที่ชื่อว่า ประตูพีรพล
สำหรับบั้นปลายชีวิตของเขานั้น ในปี ค.ศ. 1586 เกิดความไม่สงบขึ้นในดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเผ่าอัฟกันจำพวกหนึ่งที่เรียกชื่อว่า ยูซุฟไซ (Yusufzai) มีฐานที่มั่นอยู่ในแถบไคเบอร์ ปักตูนควา (Khyber Pakhtunkhwa) ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน ชนเผ่าเหล่านี้ก่อกบฏขึ้น พระเจ้าอักบาร์จึงโปรดให้ยกทหารไปปราบปราม ทว่ากองทัพระลอกแรกพ่ายแพ้ จึงโปรดให้พีรพลไปเป็นกองหนุน การศึกครั้งนี้กลายเป็นครั้งสุดท้ายของเขา เมื่อผลปรากฏว่า พีรพลถูกดักซุ่มโจมตีท่ามกลางหุบเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะเผ่ายูซุฟไซมีความรู้ความเชี่ยวชาญในชัยภูมิของตนเป็นอย่างดี ทำให้กองหนุนของพีรพลถูกบดขยี้ยับเยิน ตัวพีรพลเองกับไพร่พลกว่า 8,000 นายสละชีพกลางสมรภูมิ พระเจ้าอักบาร์ทรงเสียพระทัยอย่างที่สุด และที่สะเทือนพระทัยมากอีกประการหนึ่งคือ ไม่อาจหาศพพีรพลมาประกอบพิธีทางศาสนาได้ พระองค์เสวยและบรรทมไม่ได้ถึงสองวันเต็ม

เรื่องราวพีรพลในหน้าประวัติศาสตร์ก็จบลง แต่สำหรับเรื่องนิทานที่เล่าขานกันมานั้นมีมากมาย วันนี้ถ้าเราไม่เล่าให้ฟังสักสองเรื่องผู้ฟังก็คงรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเราจะเล่ากันคนละเรื่อง
นิทานเรื่องแรก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระเจ้าอักบาร์ทรงพระสุบินประหลาด กล่าวคือ พระทนต์ของพระองค์หลุดร่วงออกจนหมดสิ้น เมื่อทรงตื่นขึ้นก็รู้สึกหวาดหวั่นพระทัย จึงเชิญโหรหลวงทั้งหลายมาชุมนุมกันแล้วจึงตรัสเล่าพระสุบินดังกล่าวให้ฟัง รับสั่งถามว่ามีความหมายอย่างไร
เรื่องการฝันว่าฟันหักหรือฟันหลุด จะพบว่าในไทยเองก็มีคติความเชื่อคล้าย ๆ กันว่า อาจจะสูญเสียญาติพี่น้องหรือคนรัก สำหรับบรรดาโหรหลวงของพระเจ้าอักบาร์ในเรื่องนี้ หลังจากประชุมกันก็กราบทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า “เดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ พระสุบินนี้ตามตำราถือเป็นนิมิตร้าย คือในอนาคตบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์จะพากันล่วงลับไปก่อนจนหมด เหลือแต่พระองค์ผู้เดียวพระเจ้าข้า” ทำให้พระเจ้าอักบาร์กริ้วหนักมาก รับสั่งให้ขับไล่โหรหลวงเหล่านั้นออกไปทันที โดยไม่ตบรางวัลค่าทำนายให้แม้แต่สตางค์แดงเดียว
พอดีว่าขณะนั้นพีรพลเดินเข้ามา พระเจ้าอักบาร์ดีพระทัยที่เห็นหน้าเขา รีบเล่าพระสุบินให้ฟังและตรัสถามความหมาย พีรพลนิ่งนึกอึดใจหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระสุบินนิมิตนี้เป็นมงคลยิ่งแล้วพระเจ้าข้า ตามตำราท่านว่า พระองค์จะมีพระพลานามัยแข็งแรงและเจริญพระชนมายุยั่งยืนนานกว่าพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์” พระเจ้าอักบาร์ทรงชอบพระทัย ตบรางวัลให้พีรพลอย่างมากมาย ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เขาพูดนั้นก็มีผลลัพธ์ไม่ต่างจากการทำนายของโหรหลวงเท่าใดนัก แต่เขาฉลาดพูดให้ฟังแล้วสบายใจนั่นเอง
นิทานเรื่องที่สอง
อีกเรื่องหนึ่งมีอยู่ว่า มีพ่อค้าขายฆีอยู่สองคนในเมืองหลวง ตั้งร้านอยู่ใกล้ ๆ กัน พ่อค้าคนหนึ่งยืมเงินจากพ่อค้าคนที่สองเป็นจำนวนเงินห้าร้อยเหรียญทอง โดยที่ไม่มีสัญญากู้ยืมกันแต่อย่างใด ครั้นพอถึงเวลาพ่อค้าคนแรกกลับไม่ยอมชำระหนี้ให้ พ่อค้าคนที่เป็นเจ้าหนี้จึงไปถวายฎีกาต่อพระเจ้าอักบาร์ พระเจ้าอักบาร์จึงมอบหมายให้พีรพลชำระความ พีรพลนำพ่อค้าทั้งสองมาซักถาม พ่อค้าคนที่เป็นเจ้าหนี้รีบบอกพีรพลว่า เจ้าคนนี้กู้ยืมเงินเขาไปห้าร้อยเหรียญทองแล้วไม่ยอมคืน ส่วนพ่อค้าที่ถูกฟ้องร้องแก้ตัวว่า พวกเขาทั้งสองตั้งร้านฆีอยู่ใกล้กัน อีกคนจงใจกลั่นแกล้งเขาให้เสียชื่อเสียงจึงหาเรื่องใส่ร้ายป้ายสี หลังจากเถียงกันไปมาพีรพลเห็นว่ายังหาข้อยุติไม่ได้ ก็ปล่อยตัวกลับไป โดยบอกทั้งสองว่า ขอเวลาตรึกตรองก่อน อีกสิบวันให้มาฟังคำตัดสิน
ครั้นแล้วในอีกสองสามวัน พีรพลได้ให้คนไปหาฆีมาสิบไห โดยแกล้งใส่เหรียญทองลงไปในฆีสองไห ไหละหนึ่งเหรียญ จากนั้นเรียกประชุมพ่อค้าฆีในเมือง แจ้งว่า เขาได้ฆีมาสิบไห อยากทราบว่าเป็นของดีหรือไม่ ขอให้รับไปคนละไหเพื่อเอาไปทดสอบค่าความบริสุทธิ์ของฆีอย่างละเอียด พ่อค้าแต่ละคนก็รับไหของตัวเองไป ส่วนพ่อค้าสองคนที่เป็นคู่ความนั้น พีรพลจงใจให้ไหที่มีเหรียญทองไป
แน่นอนว่า เมื่อตรวจสอบฆีแล้ว ทั้งสองคนก็พบเหรียญทองที่อยู่ก้นไห พ่อค้าคนที่เป็นเจ้าหนี้รีบนำเหรียญทองมาคืนพีรพลในทันที ส่วนพ่อค้าคนที่ถูกฟ้องร้องกลับบอกให้ลูกชายเก็บเหรียญทองนั้นไว้ เมื่อครบเวลาสิบวันตามกำหนดนัด ทั้งสองคนก็มาพบพีรพลอีกครั้งเพื่อฟังคำตัดสิน
พีรพลมองดูในไหของพ่อค้าคนที่ถูกฟ้องร้องแล้วบอกว่า ดูเหมือนระดับฆีในไหจะลดลง มีอะไรถูกนำออกไปจากไหหรือไม่ พ่อค้าตอบว่า ฆีระเหยไปเมื่อเขาเอาไปตั้งไฟตรวจสอบ พีรพลจึงบอกให้เขารออยู่แล้วกระซิบสั่งคนสนิทไปบ้านพ่อค้าคนนั้น ให้ไปบอกลูกชายเขาว่า พ่อให้มาตามไปที่ศาลแล้วให้เอาเหรียญทองที่เจอในไหไปด้วย ลูกชายพ่อค้าก็ทำตาม ครั้นเมื่อเหรียญทองปรากฏเป็นวัตถุพยานแก่ทุกคน พีรพลจึงสรุปว่า แค่เหรียญทองเหรียญเดียวก็ยังจงใจจะโกง ไม่ต้องพูดถึงเงินที่จำนวนมากกว่านั้น แล้วก็บังคับให้เขาใช้หนี้แก่พ่อค้าที่เป็นเจ้าหนี้จนกว่าจะครบถ้วน
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย