วัฒนธรรมวันแห่งความรักในอินเดีย
1,369 views
0
0

เพลง Jab Pyar Kiya To Darna Kya
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Mughal-E-Azam ฉายในปี ค.ศ. 1960 ชื่อภาพยนตร์ “Mughal-E-Azam” แปลเป็นไทยก็คือโมกุลที่ยิ่งใหญ่ ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยเค. อะซีฟ (K. Asif) ดารานำคือปฤถวิราช กะปูร์ (Prithviraj Kapoor) ทิลิป กุมาร (Dilip Kumar), มธุพาลา (Madhubala) และ ทุรคา โขเต (Durga Khote) ภาพยนตร์เรื่องนี้นับได้ว่าเป็นหนึ่งในคลาสสิกตลอดกาล และถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเรื่องแรกด้วยที่ทำเป็นสีโดยวิธีดิจิตัล และนำฉายอีกครั้งในปี ค.ศ. 2004 ครั้งนี้ก็ประสบความสำเร็จอีก

ถ้าจะพูดถึงฉากเพลงนี้ละก็ คุยกันได้ยาวเลย เพราะนี่ถือเป็นฉากที่สุดยอดมาก การเต้นกถักโดยมธูพาลาก็สุดยอดมาก เพลงประกอบการเต้นก็คือเพลงที่เปิดให้ฟังบางส่วนก็สุดยอดมากเช่นกัน เพลงนี้ขับร้องโดย ลตา มังเคศการ์ (Lata Mangeshkar) วันนี้เลยใคร่นำตอนที่เปิดให้ฟังมาแปลเป็นไทย

chup na sakega ishq hamara – ความรักของเราไม่อาจซ่อนเร้น
chaaron taraf hai unka nazara – มองเห็นได้จากสี่ทิศ
parda nahi jab koi khuda se – ไม่มีม่านปิดบังจากพระผู้เป็นเจ้า
bandhon se parda karna kya – แล้วจะไปปิดบังจากมนุษย์ทำไม
pyar kiya toh darna kya – จะกลัวอะไรถ้าเรารักใคร

14 กุมภาพันธ์ วันกอดวัว

เรื่องมีอยู่ว่าทางการอินเดียใคร่เห็นวันวาเลนไทน์ในอินเดียเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนเป็นวันกอดวัว หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Cow Hug Day

วัวสำหรับชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู ส่วนใหญ่ถือว่าวัวเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือจะกล่าวว่าคู่ควรแก่การสักการะทางศาสนาก็ได้ วิถีคิดเช่นนี้ก็มีมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่ใช้คำว่า “ส่วนใหญ่” ก็เพราะว่ายังมีฮินดูจำนวนหนึ่งในอินเดียที่ทานเนื้อวัวด้วย โดยเฉพาะทางใต้แถว ๆ รัฐเกรฬะ (Kerala) คนฮินดูสมัยใหม่จำนวนหนึ่งก็เห็นทานเนื้อวัวกันบ้าง

ทางการอินเดียจึงอยากจะเห็นวันกอดวัว แล้วทำไมต้องเลือกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก็เพราะเป็นวันแห่งความรัก ซึ่งก็มีเจตนาให้เปลี่ยนไปรักวัวแทน อีกส่วนหนึ่งที่ต้องเลือกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ก็เพราะทางการมองว่า วันวาเลนไทน์เป็นวัฒนธรรมที่นำเข้ามาจากตะวันตก ผู้คนจำนวนหนึ่งที่เห็นด้วยกับทางการมองว่า เป็นการรุกรานวัฒนธรรมอินเดีย

การประกาศให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็น “วันกอดวัว” ปรากฏในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2023 แถลงการณ์ที่ว่านี้มาจากคณะกรรมการสวัสดิภาพสัตว์แห่งอินเดีย ซึ่งระบุว่าวัวเป็น “กระดูกสันหลังของวัฒนธรรมอินเดียและเศรษฐกิจในชนบท”

คณะกรรมการสวัสดิภาพสัตว์แห่งอินเดีย

เป็นหน่วยงานตามกฎหมายที่ให้คำแนะนำแก่ Ministry of Fisheries, Animal Husbandry and Dairying ถ้าจะแปลเป็นไทยก็คือ กระทรวงประมง การเลี้ยงสัตว์ และผลิตภัณฑ์นมของอินเดีย คณะกรรมการสวัสดิภาพสัตว์แห่งอินเดียนี้กล่าวว่า วัวคือ “ผู้ให้ทุกสิ่ง มอบความอุดมสมบูรณ์แก่มนุษยชาติ” เพราะวัวเป็นสัตว์ที่บำรุงธรรมชาติ

ตามคำแถลง การกอดวัว “จะนำมาซึ่งความรุ่มรวยทางอารมณ์” และ “จะเพิ่มความสุขส่วนตัวและความสุขส่วนรวมของเรา” แถลงการณ์ดังกล่าวผลักดันให้กอดวัวเป็นส่วนหนึ่งการส่งเสริมขนบ "พระเวท" หรือขนบฮินดูอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งกล่าวอ้างโดยทางการว่าถูกกัดกร่อนโดยอิทธิพลของตะวันตก

ถ้อยแถลงระบุว่า “เมื่อวันเวลาผ่านไป ขนบพระเวทเกือบจะสูญพันธุ์เนื่องจากความก้าวหน้าของวัฒนธรรม (ตะวันตก) ฉะนั้นแล้ว “ความตื่นตาตื่นใจของอารยธรรมตะวันตกทำให้วัฒนธรรมทางกายภาพและมรดกของเราเกือบถูกลืม”

ความพยายามของคณะกรรมการสวัสดิภาพสัตว์แห่งอินเดียได้รับการตอบกลับในทางตรงกันข้าม คือผู้คนนำมาล้อเลียนเยอะแยะมากมาย ในที่สุดทางการอินเดียก็กลับลำ ประกาศใหม่ในวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ ว่าขอยกเลิกวันกอดวัว แต่ไม่ได้ระบุถึงเหตุผลเบื้องหลังการยกเลิกวันดังกล่าว

ลองมาดูตัวอย่างการล้อเลียนเรื่องดังกล่าวกัน
1) “ถ้าฉันไปกอดวัว แล้วมันกระโจนใส่ฉันละ บริษัทประกันจ่ายไหม”
2) “ต้องให้วัวสมยอมหรือเปล่าจึงจะกอดได้ ไม่สมยอมเข้าข่ายละเมิดทางเพศนะ”
3) บ้างก็เล่นตรงไปยังพรรคภารตียชนตา โดยเขียนว่า “มันไม่ง่ายอย่างนั้น” พร้อมด้วยคลิปวิดีโอเก่าซึ่งเห็นวัวกำลังเตะผู้นำพรรคภารตียชนตาชื่อจี.วี.แอล นรสิงห์ ราว (G.V.L. Narasimha Rao) ในรัฐอานธรประเทศ (Andhra Pradesh) ในขณะที่เขากำลังเข้าใกล้วัวตัวนั้น

บทวิเคราะห์ว่าด้วยการล้อเลียน

เห็นอาจารย์อ่านคอมเมนท์ชาวอินเดียเยอะมาก อาจารย์พอจะลองเสนอบทวิเคราะห์ว่าด้วยการล้อเลียนเหล่านี้ที่ทำให้ทางการอินเดียยกเลิกวันกอดวัวที่จะนำมาใช้วันวาเลนไทน์ได้หรือไม่

เท่าที่ผมคิดได้มีข้อคิด 3 ข้อด้วยกัน

1) ความพยายามยกเลิกวันวาเลนไทน์แล้วเปลี่ยนเป็นวันกอดวัวหรือวันรักวัวนี่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อหนุ่มสาวหลายคน วันที่ 14 กุมภาพันธ์สำหรับหลายคนแล้วคือวันที่เขาเฝ้ารอคอยที่จะดูว่าแต่ละฝ่ายจะให้ของขวัญอะไรกัน ดอกกุหลาบเป็นที่นิยมบ้าง แต่ที่นิยมมากคือบัตรอวยพร ของกุ๊กกิ๊กน่ารัก ซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อจากร้านค้าอยู่ไม่กี่แห่ง สองในนั้นคือ ร้านอาร์ชี่ (Archie) และ ฮอลล์มาร์ก (Hallmark) ซึ่งเดี๋ยวนี้ขายออนไลน์กันด้วย การซื้อบัตรอวยพรหรือการ์ดตามเทศกาลต่าง ๆ ยังเป็นประเพณีอินเดียอยู่ กล่าวคือยังเขียน ยังเลือกที่จะเขียนเพิ่มเติมจากถ้อยคำที่เขียนมาแล้ว หรือจะเขียนเองทั้งหมด สำหรับคนเหล่านี้วันกอดวัวแลดูจะเป็นภัยต่อความรักของพวกเขา

2) ความรักเป็นเรื่องสากล เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้รักกันในละแวกบ้านแต่อย่างเดียว อย่าลืมนะว่าอินเดียหลายหลากมาก ข้ามพื้นที่ไปนิดเดียวก็ไม่เหมือนแถวบ้านแล้ว ยิ่งข้ามเมือง ข้ามมลรัฐ ข้ามประเทศแล้วก็ วันวาเลนไทน์แลดูจะเป็นอะไรสากลมาก ตอบสนองความต้องการของผู้คนไม่น้อย

3) กลุ่มปัญญาชนกลุ่มหนึ่งที่มองเห็นเรื่องนี้เป็นการสร้างชาตินิยมแบบผิด ๆ หรือไม่เหมาะสม ตรงนี้ความคิดเรื่องการทำให้วัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ก็อาจจะนำสารัตถะมาได้จากหนังสือเล่มหนึ่งที่หลายคนนำมาใช้อ้างอิงอยู่บ่อยมาก หนังสือเล่มนี้ชื่อ The Myth of the Holy Cow โดยนักประวัติศาสตร์ชาวอินเดียชื่อทวิเชนทระ นารายัณ ฌา (Dwijendra Narayan Jha) หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้โต้แย้งว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของวัวเป็นเพียงตำนาน แท้จริงแล้วเนื้อวัวเป็นส่วนสำคัญในอาหารของอินเดียโบราณ หนังสือเล่มนี้โต้แย้งด้วยว่า การกินเนื้อวัวไม่ใช่มรดกตกทอดของอิสลามในอินเดีย ข้อนี้เขาใช้การอ้างอิงจากกคัมภีร์ทางศาสนาของฮินดู พุทธ และเชน ในฉบับตีพิมพ์ล่าสุด ผู้เขียนแนบเรื่องการทานเนื้อวัวของภีมราว รามยี อัมเบดการ์ไว้ด้วย ตรงนี้ก็คือ ที่อัมเบดการ์รวบรวมหลักฐานเพื่อโต้แย้งว่าในสมัยพระเวทนั้น “สำหรับพราหมณ์ทุกวันคือวันสเต็กเนื้อ”

อาจจะมีเหตุผลอื่นอีกหรือเปล่า หรือควรคิดวิเคราะห์ไปในทางอื่นหรือไม่ ผมก็ไม่ทราบเช่นกัน สำหรับเยาวชนไทยที่เฝ้าคอยวันวาเลนไทน์ ผมก็ไม่ได้มองว่าจะเป็นเรื่องผิดไปหมด หากใช้ศัพท์ภาษาของมหาตมาคานธีก็คือ ความรักคือพรหรือของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า ที่ผมคิดว่าต้องตระหนักก็คือ จะทำอะไรให้คิดหน้าคิดหลังก่อน การเรียนสำคัญ การมีงานสำคัญ ดังนั้นแล้ว อย่าไปเทใจทั้งหมดให้ความรักแต่อย่างเดียว
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
สุรัตน์ โหราชัยกุล และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย