วันที่ 25 มีนาคม 2566
เพลง Chal Chal Chal Mere Saathi
เพลงที่เปิดไป คนไทยรุ่นเก่าหลายคนรู้จักดี เพลงนี้มีชื่อว่า “Chal Chal Chal Mere Saathi” เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Haathi Mere Saathi ภาษาไทยใช้ชื่อว่า ช้างเพื่อนแก้ว ภาพยนตร์นี้ฉายในปี ค.ศ. 1971 กำกับโดย เอ็ม.เอ. ติรุมุกัม (M. A. Thirumugam) ดารานำก็เช่นราเชศ ขันนา (Rajesh Khanna) ตนุชา (Tanuja) มทัน ปุริ (Madan Puri) เสียงร้องก็ใช่ใครอื่นใด คือเสียงของกิโศร์ กุมาร (Kishore Kumar)
ฉายในปี ค.ศ. 2022 ได้รับรางวัลออสการ์ (Oscar) ณ งานอะคาเดมี อวอร์ดส์ (Academy Awards) ครั้งที่ 95 รางวัลนี้คือในหมวด “Best Documentary Short film” หรือภาพยนตร์สารคดีสั้นที่ดีที่สุด ในหมวดนี้นับเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของอินเดียที่ได้รับรางวัลนี้
สำหรับชาวอินเดีย นี่ถือเป็นข่าวที่น่ายินดีมาก เพรายังมีสารคดีที่เข้าชิงรางวัลในงานนี้อีกคือ Stranger at the Gate และ How do you Measure a Year?
ภาพยนตร์สารคดีนี้กำกับโดยการ์ติกี กอนซาลเวส (Kartiki Gonsalves) ผลิตโดยคุนิต มงคา (Guneet Monga)
ก่อนอื่นใดเราอาจต้องพิจารณาคำว่า “The Elephant Whisperers” เสียก่อน คำว่า “whisperer” ถ้าแปลเป็นไทยตามบริบทนี้คือ ผู้รู้ใจสัตว์ เช่น “horse whisperer” คือคนรู้ใจม้า หลายคนอาจงงว่า จริง ๆ แล้ว whisperer น่าจะแปลว่าผู้กระซิบหรือเปล่า ก็ไม่ผิดแต่ประการใด แต่เมื่อใดนำมาวางข้างหลังชื่อสัตว์ ก็หมายถึงคนรู้ใจสัตว์นั้น ๆ

ชื่อภาพยนตร์สารคดีนี้กับเนื้อหาสาระทั้งหมดก็ตรงกัน ไม่มีอะไรต้องนั่งขบคิด เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับคู่รักชาวพื้นเมืองชื่อบ็อมมัน (Bomman) และเบลลี (Bellie) ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกช้างกำพร้าที่บาดเจ็บชื่อรฆุ (Raghu) สารคดีนำพาเราไปสู่การดูแลที่ว่านี้ว่าลึกซึ้งมากอย่างไร นับเป็นความสัมพันธ์อันล้ำค่าระหว่างช้างกับผู้ดูแลช้าง
ทั้งบ็อมมันและเบลลีเป็นชาวเผ่ากาฏฏุนายกัณ (Kattunayakan) ซึ่งเป็นชาวเผ่าที่ปกป้องปกป้องผืนป่ามาหลายชั่วอายุคนแล้ว คำว่า “Kattunayakan” แปลว่า ราชาแห่งป่าหรือ “king of the jungle” ชาวเผ่านี้ยังคงใช้ชีวิตแบบพรานล่าสัตว์ในป่าทางตอนใต้ของอินเดีย ยังมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมอยู่มาก เช่นเดียวกับบ็อมมัน ปู่และพ่อของเขาเป็นผู้ดูแลช้างและอุทิศทั้งชีวิตเพื่อดำรงไว้ซึ่งหลักปฏิบัติของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์
บ็อมมันเติบโตมาท่ามกลางช้างและเริ่มทำงานเป็นผู้ดูแลช้างได้ไม่นานหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต ในทางกลับกัน เบลลีเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกช้างในรัฐทมิฬนาฑู การดำรงชีวิตของพวกเขามีป่าเป็นฉากหลังของความสุขและความสูญเสียทั้งหมดของพวกเขา สามีของ เบลลีถูกเสือฆ่า ส่วนบ็อมมันต้องหยุดทำงานกับช้างที่โตเต็มวัยหลังจากที่เขาถูกช้างตัวหนึ่งเอางาแทง
ตัวลูกช้างรฆุเองก็เช่นกัน ตอนที่รฆุมาอยู่ภายใต้การดูแลของบ็อมมันและเบลลี ชีวิตของรฆุก็แตกสลายในทำนองเดียวกัน แม่ของรฆุถูกไฟดูดจนตาย รฆุก็บาดเจ็บ กลายเป็นลูกช้างที่ไม่ร่าเริง ไม่สุงสิงกับใครมาก ชอบอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง ไม่แน่ใจว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือไม่ แต่สิ่งที่ภาพยนตร์สารดีนี้ทำให้ผู้ชมซาบซึ้งมากคือ ทั้งบ็อมมันและเบลลีไม่ย่อท้อที่จะดูแลรฆุ ที่ไม่ย่อท้อเพราะทั้งหมดทำด้วยความรัก พวกเขาดูแลรฆุเป็นเวลา 3 ปี เมื่อรฆุโตเป็นช้างวัยรุ่น กรมป่าไม้ของรัฐก็จะรับตัวเขาไปและให้ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ในการจัดการช้างในช่วงชีวิตนี้มากกว่า ทั้งคู่ใจสลาย และคิดถึงรฆุอย่างสุดซึ้ง
สารคดีเต็มไปด้วยฉากเคลื่อนไหวที่ถ่ายทอดความรักและความทุ่มเทที่ช้างและผู้ดูแลช้างมีให้กัน ในเวลาต่อมาทั้งบ็อมมันและเบลลีได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกช้างอัมมุ ฉากที่ลูกช้างอัมมุเช็ดน้ำตาของเบลลีเพราะเธอเสียใจที่ต้องแยกจากรฆุนั้น ผู้ชมหลายคนก็อดร้องไห้ไม่ได้
The Elephant Whisperers ถ่ายทำในปางช้างเทปปากุฑุ (Theppakadu) ที่อยู่ในเขตสงวนเสือมุฑุมุไล (Mudumulai Tiger Reserve) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐทมิฬนาฑู (Tamil Nadu)
ปางช้างแห่งนี้มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว เป็นหนึ่งในค่ายพักฟื้นช้างที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย
ระหว่างชมภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ สิ่งที่รับรู้ได้อีกคือ พลังของความเป็นชุมชนแห่งนี้ และวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชน ซึ่งแน่นอนว่าการนับถือพระพิฆเนศก็เป็นส่วนสำคัญของชีวิตผู้คน
สารคดีนี้ยอดเยี่ยมมากเพราะผู้ชมดูบ็อมมันและเบลลีได้อย่างไม่รู้จบ ยากที่เราจะละสายตาจากหน้าจอแม้แต่ชั่วครู่ ตัวช้างรฆุก็น่ารักแบบของตนไม่แพ้กันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งดึงดูดผู้ชมด้วยความเปราะบางและนิสัยขี้เล่นของเขา เมื่อทั้งบ็อมมันและเบลลีมีปฏิสัมพันธ์กับรฆุ ซึ่งตอบสนองต่อความรักและมีความกระตือรือร้นเหมือนเด็ก ก็ทำให้การดำเนินเรื่องน่าระทึกใจยิ่ง เมื่ออัมมุที่อายุน้อยกว่าเข้ามา สักพักรฆุก็เรียนรู้ที่จะดูแลอัมมุในแบบที่บ็อมมันและเบลลีปกป้องเขา
สิ่งที่สวยงามอย่างโดดเด่นคือ กล้องจับภาพความซับซ้อนของชีวิตคนและช้างแบบเรียลไทม์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ชมดื่มด่ำไปกับสิ่งแวดล้อมราวกับว่าผู้ชมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ต้องชื่นชมเรื่องกล้องและการถ่ายทำที่สำแดงพื้นที่อันงดงามแห่งนี้ออกมาได้เสมือนจริง คือผู้ชมเห็นภูมิทัศน์ป่าบริสุทธิ์ และรายละเอียดสีสันของผู้อยู่อาศัย เท่าที่อ่านเจอคือเน้นแสงธรรมชาติเป็นหลัก ระหว่างดำเนินเรื่องผู้ชมก็ได้เห็นภาพสัตว์ต่าง ๆ ที่สวยแบบธรรมชาติ มีลิง นกกระเรียนเกาะบนควายป่า หมูป่า เสือ นกเค้าแมว ไก่ ภาพจำนวนมากทำให้เรารู้สึกว่าพิสัยของธรรมชาติ ของการอยู่ร่วมกัน เช่น ลิงทานอาหารเหลือจากช้าง หรือหมูป่าเดินตามหมู่บ้าน
ความเป็นธรรมชาติของ Bomman กับ Bellie ก็สำแดงผ่านเรื่องทั้งหมดนี้ ที่ชอบมากคือฉากการเกี้ยวพาราสีของ บ็อมมันและเบลลี ซึ่งเบลลีหยอกล้อหรือแกล้งบ็อมมันอย่างน่ารัก เหมือนกับคู่รักหลาย ๆ คู่ หรือแม้แต่ฉากทานอาหารด้วยกันระหว่างทั้งสองก็คงชวนเราตั้งคำถามอะไรต่อมิอะไร เวลาส่วนใหญ่ที่ทั้งคู่อยู่ใกล้กันนั้นหมดไปกับการแบ่งงานบ้านในขณะที่พวกเขาออกไปหาอาหารและน้ำให้รฆุ ในแง่หนึ่งรฆุอาจจะทำให้สองคนนี้ไม่ต้องนึกถึงความเศร้าของตนเองบ่อย เพราะยุ่งอยู่กับรฆุ แต่อีกแง่หนึ่งคือรฆุทำให้ทั้งสองมีชีวิตที่ดีมีความสุขกว่าเดิม
ทำไปทำมาภาพยนตร์สารคดีก็สื่อว่าทั้งหมด บ็อมมัน เบลลี รฆุ และอัมมุ ดูแลซึ่งกันและกันด้วยความรัก ซึ่งเป็นคุณค่าสากลที่ทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีความหวังด้วย เรื่องความรักนี้ก็น่าสนใจมาก คือโดยปกติสังคมบางแห่งของอินเดียก็จะพูดหรือเน้นเรื่องหญิงหม้ายแต่งงานใหม่ แต่เรื่องนี้ปล่อยให้ความรักปล่อยให้สัมพันธภาพแบบธรรมชาติอยู่เหนือกฎกติกาหรือวัฒนธรรม
• ในคำปราศรัยตอบรับ ผู้อำนวยการ การ์ติกี กอนซาลเวส กล่าวว่า "วันนี้ฉันมายืนที่นี่เพื่อพูดถึงสายสัมพันธ์อันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างเรากับโลกธรรมชาติของเรา สำหรับความเคารพต่อชุมชนพื้นเมืองและการเอาใจใส่ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เราแบ่งปันพื้นที่ด้วย และสุดท้ายคือการอยู่ร่วมกัน"
• คุนิต มงคา ผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดีนี้ แบ่งปันข่าวการชนะรางวัลผ่านอินสตาแกรมว่า "คืนนี้เป็นคืนแห่งประวัติศาสตร์ เพราะนี่เป็นออสการ์ครั้งแรกสำหรับการผลิตของอินเดีย ความรุ่งโรจน์ของอินเดียกับผู้หญิงสองคน"
• นายกรัฐมนตรีอินเดีย นายนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) กล่าวว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ "เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์"
• ส.ส.และผู้นำระดับสูงของพรรคคองเกรสฝ่ายค้าน ราหุล คานธี (Rahul Gandhi) ก็แสดงความยินดีกับผู้กำกับภาพยนตร์ การ์ติกี กอนซาลเวส และผู้ผลิตภาพยนตร์ คุนิต มงคา โดยเขียนข้อความทวิตเตอร์ว่า ด้วยภาพยนตร์สารคดีที่สื่อถึงความอบอุ่นใจในความงามและความสำคัญของการอนุรักษ์สัตว์ป่า ผู้หญิงทั้งสองคนนี้ทำให้อินเดียภาคภูมิใจ
ผมพยายามบอกหลายครั้งแล้วว่า อินเดียเป็นประเทศที่น่าจับตามองมาก ด้านภาพยนตร์ชาวอินเดียยืดหยุ่นมาก มีหนังสไตล์บอลลีวูดแบบเน้นเต้นเน้นชก มีบอลลีวูดแบบเพลงน้อย แบบเรียลิสติก มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์อื่นในอินเดียอีก คืออินเดียมีความยืดหยุ่นมาก
วันนี้เขาทำให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถทำภาพยนตร์สารคดีสั้นระดับโลกได้แล้ว จริง ๆ แล้วมีภาพยนตร์สารคดีของอินเดียอีกจำนวนไม่น้อยที่ทำได้ดีเยี่ยมมาก อีกเรื่องที่ควรดูคือ All that Breathes จำได้ว่ามีคำพูดที่กินใจด้วย ถ้าจำไม่ผิดคือ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งปวงที่หายใจนั้น เราไม่ควรมองให้แตกต่างกัน
อีกเรื่องที่ผมใคร่จะชวนคิดคือ ทั้งผู้กำกับและผู้ผลิตภาพยนตร์สารดีสั้นเรื่องนี้คือผู้หญิง ตรงนี้แหละที่เราเคยเน้นกันมากว่าปัจจัยสตรีนี้จะทำให้ประเทศอินเดียทะยานขึ้นมาเป็นมหาอำนาจภายในเวลาไม่กี่ปีจากนี้
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ