วันที่ 1 เมษายน 2566
เพลง Chinukai Kurisindi (ฝนตกปรอยๆ)
เป็นเพลงภาษาเตลูกู ประกอบภาพยนตร์เตลูกูปี 2018 เรื่อง Paper Boy (เด็กส่งหนังสือพิมพ์) เป็นภาพยนตร์โรแมนติกที่แสนจะอบอุ่น นำแสดงโดยสันโตษ โศภัน (Santosh Shobhan) ในบทบาทเด็กส่งหนังสือพิมพ์ชื่อ รวิ (Ravi) ที่ตกหลุมรักกับหญิงสาวจากตระกูลฐานะร่ำรวยชื่อ ธรณี (Dharani) นำแสดงโดย ริยา สุมัน (Riya Suman) แน่นอนอยู่แล้วว่าตามธรรมเนียมของสังคมอินเดีย ความรักของคนทั้งคู่ต้องถูกกีดกันอย่างแน่นอน ภาพยนตร์เรื่องนี้ผลิตโดย สัมปัต นันที (Sampath Nandi) ส่วนเพลงนี้ร้องโดยชะฮีด มัลยา (Shahid Mallya)
________
ก่อนอื่นขอเรียนแจ้งให้ผู้ฟังทุกท่านทราบว่า ณ วันออกอากาศ 1 เมษายน คือวันครบรอบ 12 ปีของศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการวันแรก และในวันพรุ่งนี้ 2 เมษายน ก็จะตรงกับวันมงคลอีกวันหนึ่งคือวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พวกเราทั้งสองขอน้อมเกล้าถวายพระพรชัยมงคล ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
หัวข้อที่จะนำเสนอในวันนี้เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่พิเศษมาก ๆ ขอเท้าความก่อนว่า ปกติในวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมจะไปสอนภาษาไทยให้คนอินเดีย มีครั้งหนึ่งที่เราถกกันเรื่องหนังสือพิมพ์ โดยเขากล่าวว่า ในเมืองไทยหาหนังสือพิมพ์ที่เป็นฉบับตีพิมพ์ยากเหลือเกิน และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในเมืองไทยก็ราคาแพงมาก สำหรับคนอินเดีย หนังสือพิมพ์ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอยู่ ผมจึงบอกเขาว่า เป็นเช่นนั้นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ ๆ คนนิยมอ่านข่าวสารออนไลน์กันหมดแล้ว ส่วนในชนบทนั้น หนังสือพิมพ์ยังคงขายได้ตามแผงอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่ายอดขายก็คงลดลง หนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ ๆ ในไทยต่างก็มาเน้นนำเสนอข่าวสารออนไลน์กันหมดแล้ว
คำถามนี้ตอบได้หลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยอดตีพิมพ์หรือความนิยมของผู้อ่าน
ต้องบอกว่า หนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ที่สุดในอินเดียในแง่ของยอดตีพิมพ์เป็นภาษาฮินดี ชื่อว่า แดนิก ภาสกร (Dainik Bhaskar) แปลตรงตัวว่า “รุ่งอรุณรายวัน” ขายได้ถึงเฉลี่ยวันละ 4 ล้าน 5 แสนกว่าฉบับ ตามติดมาด้วย แดนิก ชาครัณ (Dainik Jagran) หรือ “ตื่นรู้รายวัน” เป็นภาษาฮินดีเช่นกัน ยอดขายเฉลี่ยถึงกว่า 3 ล้าน 6 แสนฉบับ อีกทั้งยังเป็นหนังสือพิมพ์ที่ครองแชมป์มีผู้อ่านมากที่สุด คือประมาณเกือบ 17 ล้านคน
การวัดด้วยผู้อ่านต่างจากยอดขายรายวัน โดยเก็บข้อมูลจากจำนวนคนที่ได้อ่านหนังสือพิมพ์นั้นจริง ๆ เพราะหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวย่อมมีผู้เวียนอ่านได้หลายคน
ที่กล่าวมาคือสองฉบับใหญ่ที่สุดของอินเดีย ซึ่งเป็นภาษาฮินดี แต่สำหรับภาษาอังกฤษนั้น อย่างไรเสียก็ไม่พ้นหนังสือพิมพ์ที่ชื่อ เดอะ ไทมส์ ออฟ อินเดีย (The Times of India) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มุมไบ ยอดขายเฉลี่ยไม่น่าจะต่ำกว่าวันละ 3 ล้านฉบับ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอีกฉบับที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันคือ ฮินดูสตานไทมส์ (Hindustan Times) สำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวเดลี
ในส่วนภาษาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษาฮินดีหรืออังกฤษก็มีอีกมากมายตามแต่ละมลรัฐ สะท้อนให้เห็นว่า แม้ภาษาฮินดีและอังกฤษจะแพร่หลายเพียงใด ผู้คนก็ยังคงนิยมอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาแม่ของตนอย่างมาก
แต่หนังสือพิมพ์ฉบับที่เราจะมาเล่าให้ฟังในวันนี้ ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ใหญ่อะไรเลย ที่จริงแล้วต้องกล่าวว่าเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กมาก ๆ มีผู้ติดตามเพียงหลักหมื่นคนเท่านั้น ทว่ามีเอกลักษณ์อย่างสำคัญยิ่งที่หาไม่ได้อีกแล้วจากที่อื่นในอินเดียหรือแม้แต่ในโลก กล่าวคือหนังสือพิมพ์เขียนมือที่ชื่อว่า “เดอะมุซัลมาน” (The Musalman) นั่นเอง
เดอะมุซัลมาน ความหมายของชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นหนังสือพิมพ์เพื่อชาวมุสลิม พิมพ์จำหน่ายในเมืองเจนไน มลรัฐทมิฬนาฑู แต่ว่าภาษาที่ใช้ไม่ใช่ภาษาทมิฬ หากแต่เป็นภาษาอุรดู ซึ่งเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาฮินดีมาก แต่ใช้ตัวอักษรต่างกัน กล่าวคือใช้ตัวอักษรตระกูลอาหรับ-เปอร์เซีย
ความพิเศษสุดของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้คือ ตัวอักษรทุกตัวบนหนังสือพิมพ์เขียนด้วยมือ ด้วยศิลปะที่เราเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Calligraphy หรือแปลไทยว่า ลิปิศิลป์ นั่นเอง คำว่า ลิปิ หมายถึง การเขียนตัวอักษร
หนังสือพิมพ์เดอะมุซัลมาน ออกจำหน่ายในเวลาเย็นทุกวัน หนึ่งฉบับมีเพียงสี่หน้าเท่านั้น คือเป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวพับทบกัน คำว่า หนังสือพิมพ์เขียนมือ หมายถึงการที่ให้ลิปิกรคือนักเขียนอักษรที่มีลายมือสวยงาม มาบรรจงเขียนตัวอักษรลงไปบนกระดาษทีละตัว ก่อนจะนำมาตัดเรียงกันจัดคอลัมน์ ทำเป็นต้นฉบับ แล้วจึงเอาต้นฉบับนั้นไปเข้าแท่นพิมพ์ให้ออกมาเป็นหนังสือพิมพ์ที่สมบูรณ์ ซึ่งหนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ออฟอินเดียที่เราเพิ่งจะกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ก็เคยลงบทความเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์เดอะมุซัลมาน โดยกล่าวว่านี่น่าจะเป็น หนังสือพิมพ์เขียนมือฉบับเดียวที่ยังคงเหลือรอดอยู่ในโลก

สำหรับความเป็นมาของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ปีที่ก่อตั้งคือ ค.ศ. 1927 โดยนายซัยยิด อาซมาตุลลอฮ์ (Syed Azmathullah) ดังนั้นนับมาถึงปัจจุบันก็มีอายุเกือบร้อยปีแล้ว
เป็นเพราะต้องการสืบทอดลิปิศิลป์ซึ่งมีบทบาทมากในโลกมุสลิม ซึ่งมีความสำคัญยิ่งมาตั้งแต่อดีต เพราะในสมัยโบราณยังไม่มีเทคโนโลยีในการพิมพ์แบบสมัยใหม่ การเขียนอักษรจึงเป็นกรรมวิธีสำคัญในการคัดลอกคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งมุสลิมเชื่อว่าคือพระวจนะของพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้ คนที่เขียนอักษรได้ลายมืองดงามจึงได้รับเกียรติและฐานะอันสูงส่งจากสังคม โดยเฉพาะในช่วงที่มุสลิมเรืองอำนาจ เช่น ในราชสำนักโมกุล เป็นต้น
บุคคลเหล่านี้จะได้รับชื่อเรียกว่า “กาติ๊บ” (Katib) ตรงกับภาษาไทยว่า “ลิปิกร”
คำว่า กาติ๊บ เองก็มีความสัมพันธ์กับคำว่า กิต๊าบ (Kitab) ซึ่งมีความหมายว่า หนังสือ สมควรกล่าวด้วยว่า คำว่ากาติ๊บก็เป็นนามสกุลสำคัญนามสกุลหนึ่งในเมืองไทยด้วย ซึ่งอาจบ่งบอกว่าต้นตระกูลทำงานเป็นลิปิกร
งานของลิปิกรเหล่านี้ลดบทบาทความสำคัญลงเมื่อเทคโนโลยีการพิมพ์แพร่หลายขึ้น
ในกรณีของอินเดียนั้นยิ่งถึงจุดย่ำแย่ลงไปอีกเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครอง เทคโนโลยีการพิมพ์เฟื่องฟูและเข้ามาแทนที่การเขียนในเกือบทุกด้าน
สิ่งที่หนังสือพิมพ์เดอะมุซัลมานทำคือการสืบทอดลมหายใจของศิลปะการเขียนอักษร และมอบโอกาสการทำงานให้ลิปิกร
หลังจากซัยยิด อาซมาตุลลอฮ์ เสียชีวิตลง ผู้สืบทอดหนังสือพิมพ์คือบุตรชายของเขานามว่า ซัยยิด ฟายซุลลอฮ์ (Syed Faizullah) เป็นโชคดีของหนังสือพิมพ์เดอะมุซัลมาน ที่ฟายซุลลอฮ์ก็รักในศิลปะการเขียนอักษรอย่างยิ่ง และยังอุทิศชีวิตให้แก่ภาษาอุรดู ดังนั้นเขาจึงเผยแพร่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้เรื่อยมา ตลอดช่วงเวลาที่เขาเป็นบรรณาธิการ เขามีความภาคภูมิใจว่านี่คืองานที่เขาจะทำไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต และแล้วเขาก็ทำงานดังกล่าวเรื่อยมาอย่างยาวนานจนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 2008 ด้วยวัย 78 ปี
มีข้อมูลกล่าวว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมื่อปี ค.ศ. 2007 ฟายซุลลอฮ์เคยปรารภว่า หนังสือพิมพ์เขียนมือฉบับนี้อาจตายไปกับเขา เพราะลูก ๆ ของเขาไม่มีความสนใจศิลปะการเขียนอักษร
อย่างไรก็ดี ลูกชายของฟาซลุลลอฮ์คนหนึ่งก็ออกมาพิสูจน์ว่าพ่อของตนเองนั้นผิดถนัด เขาชื่อ ซัยยิด อะรีฟุลลอฮ์ (Syed Arifullah) ซึ่งได้ก้าวเข้ามาบริหารหนังสือพิมพ์แทนพ่อของเขาเมื่อปี ค.ศ. 2008
อะรีฟุลลอฮ์มีการศึกษาสูงมาก จบปริญญาหลายใบ เราไม่อาจทราบได้ว่าในแรกเริ่มเขามีความคิดอย่างไรต่อการมาบริหารงานแทนพ่อ ได้แต่เดาว่า สมัยที่พ่อมีชีวิตอยู่ อะรีฟุลลอฮ์น่าจะมุ่งไปในทางอื่น จนพ่อของเขาปรารภว่าหนังสือพิมพ์อาจจะตายไปกับพ่อ การมาเป็นบรรณาธิการเดอะมุซัลมานของอะรีฟุลลอฮ์จึงอาจเป็นเพียงความจำเป็นก็ได้
จากสารคดีสั้นที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2011 สามปีหลังจากอะรีฟุลลอฮ์ได้เป็นบรรณาธิการ สิ่งที่เขาพูดในสารคดีแสดงออกว่า เขารักงานนี้อย่างสุดจิตสุดใจและมันกลายเป็นชีวิตของเขาไปแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าการซึมซับการทำงานที่เดอะมุซัลมานอาจปลูกฝังความรักศิลปะการเขียนอักษรให้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นได้
วิธีการทำงานของเดอะมุซัลมานเรียบง่ายอย่างยิ่ง ห้องสำนักงานมีเพียงห้องเดียว มีขนาดเพียง 800 ตารางฟุต เครื่องอำนวยความสะดวกภายในสำนักงานก็มีเพียงแต่พัดลมบนกำแพง 2 ตัว หลอดไฟกลม 3 ดวง และหลอดไฟนีออนอีก 1 ดวง
ปี ค.ศ. 2008 ที่อะรีฟุลลอฮ์ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง มีลิปิกรชาย 1 คนและหญิง 2 คน ใช้เวลาในการทำงานถึงเกือบ 3 ชั่วโมงต่อหน้าหนังสือพิมพ์ 1 หน้า หลังจากเขียนเรียบร้อยแล้ว ก็นำไปถ่ายเป็นปรูฟเนกาทีฟ ซึ่งก่อนจะนำไปตีพิมพ์ก็เป็นหน้าที่ของอะรีฟุลลอฮ์ที่จะนำปรูฟนั้นมากางตรวจอย่างละเอียด เมื่อถูกต้องเรียบร้อยจึงขึ้นแท่นพิมพ์
สำหรับรายได้ของบุคคลเหล่านี้นั้น ตามที่มีบันทึกในปี ค.ศ. 2007 ระบุว่า เราะห์มาน ฮุสเซนี (Rahman Husseini) หัวหน้าทีมลิปิกร ได้เงินเดือน 2500 รูปีต่อเดือน ส่วนลิปิกรหญิงอีกสองคนคือชาบานา (Shabana) กับกุรชีด (Kurshid) ได้รับค่าแรงหน้าละ 60 รูปี ซึ่งเงินจำนวนนี้ถือว่าน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับแรงงานที่พวกเขาลงไปในการบรรจงเขียนอักษรแต่ละตัว
เราอาจกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้สามารถทำงานอยู่ได้นั้นมิใช่ค่าแรง แต่เป็นความรักที่พวกเขามีต่อศิลปะการเขียนอักษร และความภาคภูมิใจที่ได้ผลิตหนังสือพิมพ์น่าจะฉบับเดียวในโลกที่เขียนด้วยมือทั้งฉบับ
ในสารคดีสั้นชื่อ “The Musalman – Preservation of a Dream” พวกเขาต่างออกมาถ่ายทอดความรู้สึกต่องานนี้
อะรีฟุลลอฮ์ กล่าวว่า “มุซัลมานฉบับหนึ่งรวมไว้ทุกเรื่อง ทั้งการเมือง วัฒนธรรม การละหมาด บทฮะดีษ คัมภีร์อัลกุรอาน กีฬา และเหตุการณ์สำคัญทุกเรื่อง เรารักษาขนบมาตลอด 82 ปีที่ผ่านมา ทุกคนพากันแนะให้ผมเปลี่ยนมาใช้คอมพิวเตอร์ แต่ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ผู้อ่านของพวกเรามีความสุขมาก พวกเขาเข้าใจลายมือเขียนได้ง่าย หลังจากทำงานมาสามปี ผมก็ตัดสินใจว่าผมเองก็จะอุทิศชีวิตให้มุซัลมาน”
เขากล่าวเสริมว่า “มุซัลมานก็คือศิลปะการเขียนอักษรนั่นเอง ทุกคนที่ติดตามอ่านก็เป็นเพราะศิลปะการเขียนอักษร ถ้าผมเปลี่ยนเป็นคอมพิวเตอร์เสียแล้ว ผมจะต่างอะไรกับหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นเล่า ... ความสำคัญหลัก อยู่ที่ศิลปะการเขียนอักษร ... เป็นหัวใจของมุซัลมาน ถ้าคุณควักหัวใจออกไป ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก”
บรรดาลิปิกรผู้เขียนอักษรมีความรู้สึกอย่างไร
เราะห์มาน ฮุสเซนี หัวหน้าลิปิกรกล่าวว่า “หนังสือพิมพ์เดอะมุซัลมานเลี้ยงชีวิตผมมา 30 ปี ด้วยเหตุที่เรารู้ภาษาอุรดู เราจึงได้รับเกียรติ ... ผมจะทำงานให้มุซัลมานไปจนลมหายใจสุดท้าย ...”
กุรชีด หนึ่งในลิปิกรหญิงกล่าวว่า “ฉันหลงใหลภาษาอุรดูมาก ฉันเรียนภาษาอุรดูแล้วจึงสามารถได้ทำงานนี้ ฉันจะทำงานด้วยภาษาอุรดูไปจนวาระสุดท้าย”
ชาบานา ลิปิกรหญิงอีกคน กล่าวว่า “เราเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวในโลกที่เขียนด้วยมือ หนังสือพิมพ์เขียนมือไม่มีที่อื่นอีกแล้วในโลกเว้นแต่มุซัลมาน หนังสือพิมพ์ภาษาอุรดูฉบับอื่น ๆ เช่นในไฮเดอราบาดหรือเดลี ล้วนแต่เป็นของบริษัทใหญ่ ๆ มีแค่สี่หน้ากระดาษของมุซัลมานที่เขียนด้วยมือ”
อะรีฟุลลอฮ์เผยว่า พ่อของเขาอุทิศทั้งชีวิตให้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาหกสิบปี พ่อจะพูดทุกครั้งว่าตนจะทำหนังสือพิมพ์นี้ไปจนตาย และก็ทำจริง ๆ ในวาระสุดท้ายของชีวิต
พ่อติดเชื้อในปอด ต้องหามส่งโรงพยาบาล พ่อยังพะวงอยู่เลยว่า ใครจะดูแลหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ อะรีฟุลลอฮ์บอกว่า “อย่าห่วงเลยป๊า ผมจะดูแลเอง”
หนังสือพิมพ์เขียนด้วยมือฉบับนี้ยังคงมีอยู่จวบจนปัจจุบันในราคาจำหน่ายฉบับละ 75 แปสา คนที่เข้ามาทำงานให้เดอะมุซัลมานไม่เคยมีใครลาออก ทุกคนทำงานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตจริง ๆ
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ