วันที่ 6 พฤษภาคม 2566
เพลง WE ARE INDIA
จัดทำขึ้นโดย Alive India เนื่องในวันสาธารณรัฐปี ค.ศ. 2020 ความพิเศษของเพลงนี้คือประกอบด้วยภาษาต่าง ๆ ของอินเดียถึง 26 ภาษา ร้องโดยนักร้องมีชื่อเสียงของแต่ละภาษา เฉพาะท่อนที่เราตัดมาให้ฟังกันนั้น มีภาษามราฐี สันสกฤต ฮินดี กันนฑะ ทมิฬ มลยาฬัม อัสสมีส และภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาอื่น ๆ ที่เหลือแม้เราจะอยากให้ทุกคนได้ฟังแต่เนื่องจากเวลาออกอากาศที่จำกัด เราจำเป็นต้องตัดออกไป ส่วนเหตุผลที่นำเพลงนี้มาเปิดก็เพราะว่าเรากำลังจะพูดถึงภาษาต่าง ๆ อันหลากหลายในอินเดียนั่นเอง ซึ่งเราเคยเปิดเพลงนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งในรายการวันที่ 21 สิงหาคม 2564 หัวข้อ “สารพันปัญหาการถ่ายเสียงภาษาในอินเดีย” หัวข้อดังกล่าวเราได้พูดถึงการถ่ายทอดเสียงจากภาษาต่าง ๆ ในอินเดียเป็นเนื้อหาหลัก ส่วนวันนี้เราจะเล่าถึงภาษาของอินเดียในภาพรวม
หัวข้อดังกล่าวนี้ต้องบอกว่าที่จริงเป็นหัวข้อที่ใหญ่และมีรายละเอียดมาก การจะพูดให้ฟังในเวลาเพียงยี่สิบนาทีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นวันนี้เราคงพูดถึงได้แต่เพียงพื้นฐานเท่านั้น ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นจากประสบการณ์ของตนเองก่อนว่า หลายต่อหลายครั้งผมมักเจอคำถามจากผู้ที่ทราบว่าผมทำงานเกี่ยวกับอินเดียว่า ผมรู้ภาษาอินเดียหรือไม่ ซึ่งทุกครั้งผมก็จะตอบโดยใช้คำว่า ผมรู้บางภาษาในอินเดีย และจะต้องอธิบายต่อท้ายว่า
ในอินเดียไม่มีสิ่งที่เรียกว่าภาษาอินเดีย มีแต่ภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี และภาษาถิ่นอื่น ๆ อีกหลายภาษาด้วยกัน
ดังนั้นเริ่มแรกสุดเราจะต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าภาษาอินเดีย และเมื่อเราเห็นคนอินเดียหรือคนไทยเชื้อสายอินเดีย เราต้องเข้าใจด้วยว่า ถิ่นที่มาของเขาจะเป็นปัจจัยกำหนดว่าเขาพูดภาษาอะไรบ้าง นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ และภาษาฮินดีที่เป็นภาษาประจำชาติที่คนอินเดียจำนวนมากศึกษาเรียนรู้เพื่อใช้ติดต่อกันภายในอินเดีย
คนอินเดียโดยส่วนใหญ่ที่มีโอกาสเข้าศึกษาในระบบโรงเรียนมักจะรู้ภาษามากกว่าหนึ่งภาษา ดังต่อไปนี้
1. ภาษาแม่ของตัวเอง เป็นภาษาที่ใช้ในถิ่นฐานบ้านเกิดของตน ซึ่งอาจจะเป็นท้องถิ่นเล็กมาก ๆ และมีภาษาจำเพาะของตนเองก็ได้
2. ภาษาประจำมลรัฐ ตัวอย่างเช่น หากเกิดในมลรัฐโอริสสา ก็จะรู้ภาษาโอริยา และหากเกิดในมลรัฐคุชราตก็จะรู้ภาษาคุชราตี
3. ภาษาประจำชาติ คือภาษาฮินดี ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ติดต่อกันมากที่สุดในระหว่างคนอินเดียด้วยกัน
ในบางกรณี ตั้งแต่ข้อ 1-2-3 อาจจะเป็นเพียงภาษาฮินดีภาษาเดียวก็ได้เพราะบางคนก็มีภาษาฮินดีเป็นภาษาแม่ และเป็นภาษาประจำมลรัฐด้วย
4. ภาษาอังกฤษ เป็นภาษากลางที่สามารถใช้ได้ทั่วอินเดียเพราะภาษาฮินดียังคงมีข้อจำกัดมากในทางใต้ ที่มักจะไม่สนใจศึกษาภาษาฮินดีมากนัก ด้วยเหตุผลทางชาติพันธุ์นิยม
จากการสำรวจครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 2011 อินเดียมีภาษา (language) และภาษาถิ่น (dialect) รวม 19,569 ภาษา
ในจำนวนนี้ ภาษาที่มีผู้พูดมากกว่า 10,000 คน มีถึง 121 ภาษา ซึ่ง 22 ภาษาจากจำนวนนี้ มีผู้พูดรวมกันเป็นร้อยละ 96.71 ของประชากรทั้งหมด ทั้ง 22 ภาษาถูกระบุเป็นภาษาราชการ ในตารางแนบท้ายที่ 8 ของรัฐธรรมนูญอินเดีย เรียงตามชื่ออักษรโรมันดังต่อไปนี้คือ 1. อัสสมีส 2. เบงกาลี 3. คุชราตี 4. ฮินดี 5. กันนฑะ 6. กัศมีรี 7. โกงกณี 8. มลยาฬัม 9. มณิปุริ 10. มราฐี 11. เนปาลี 12. โอริยา 13. ปัญจาบี 14. สันสกฤต 15. สินธี 16. ทมิฬ 17. เตลุคุ 18. อุรดู 19. โบโด 20. สานถาลี 21. ไมถิลี 22. โดกรี
ถ้าท่านผู้ฟังเคยใช้เงินรูปี อาจสังเกตเห็นว่าด้านหลังของธนบัตรมีกรอบสี่เหลี่ยมแนวตั้งทางซ้ายมือ มีตัวอักษรหน้าตาต่าง ๆ กันไล่เรียงลงมาจำนวน 15 บรรทัด นั่นคือข้อความระบุราคาธนบัตรเป็นภาษาต่าง ๆ 15 ภาษา รวมถึงภาษาฮินดีและอังกฤษที่อยู่ด้านหน้าอีก 2 ภาษา เป็นทั้งหมด 17 ภาษา
ภาษาต่าง ๆ เหล่านี้มีความสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องปรากฏอยู่บนธนบัตรอินเดีย
แน่นอนเราต้องย้อนกลับมาพูดถึงเรื่องภาษาประจำมลรัฐ ทั้งนี้เพราะในบรรดา 28 มลรัฐผนวกกับ 8 ดินแดนสหภาพ ย่อมมีภาษาหลักประจำมลรัฐหรือดินแดนของตนเอง
แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าทุกที่จะต้องมีภาษาเป็นของตนเองจริง ๆ กล่าวคือบางภาษาก็เป็นภาษาหลักของหลายมลรัฐ เช่นภาษาฮินดี เป็นภาษาหลักของมลรัฐถึง 8 มลรัฐ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมภาษาฮินดีจึงกลายเป็นภาษาที่มีผู้พูดมากที่สุดในอินเดีย ดังที่เราได้เน้นย้ำความสำคัญไปแล้วในหลายตอน
ส่วนภาษาอื่น ๆ ในอินเดียนั้น ไม่ว่าจะมีมากสักเท่าไรก็ตาม เวลาที่เราจัดแบ่งตระกูลภาษา ซึ่งหมายความว่ารวมภาษาที่ใกล้ชิดกันเข้าไว้ในตระกูลเดียวกัน เราจะพบว่า
ภาษาที่คนใช้กันส่วนใหญ่มักอยู่ในสองตระกูลใหญ่คือ อินโดยุโรเปียน กับ ดราวิเดียน
อินโดยุโรเปียนร้อยละ 78.05 ดราวิเดียนร้อยละ 19.64 และตระกูลอื่น ๆ เช่น ทิเบต-พม่า มุนดา มอญ-แขมร์ บุรุชาสกี รวม ๆ กันมีเพียงร้อยละ 2.31
สรุปได้ว่าภาษาหลักในอินเดียมีสองตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุด กล่าวคือ ตระกูลอินโดยุโรเปียน ซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ในแขนงที่เรียกว่า อินโดอารยัน และตระกูลดราวิเดียน ซึ่งมีที่มาจากตอนใต้ของอินเดีย ในภาษาสันสกฤตเรียกคนเหล่านี้ว่า ทราวิฑ ซึ่งตรงกับคำว่า ทมิฬ นั่นเอง
ส่วนตระกูลภาษาย่อยอื่น ๆ นั้นที่พบมากที่สุดก็คงจะเป็นแถบมลรัฐเจ็ดสาวน้อยที่เราเคยนำเสนอไปในรายการปกิณกะอินเดียวันที่ 7 มกราคม 2566 หัวข้อ “ตะวันออกเฉียงเหนืออินเดีย หลากหลายแต่ใกล้ชิด”
เราอาจต้องกล่าวถึงทฤษฎีที่เป็นที่นิยมกันมากคือการปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมของชาวอารยันและชาวดราวิเดียน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน โดยมักเชื่อกันว่าชาวอารยันนั้นได้รุกล้ำเข้ามายังบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ทำสงครามแย่งชิงดินแดนและเบียดขับชาวดราวิเดียนให้ลงมาตั้งรกรากอยู่ทางตอนใต้
แม้ว่าทฤษฎีนี้จะยังมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งเห็นแย้ง แต่สิ่งที่เป็นเชิงประจักษ์คือ ในอินเดียมีมหากาพย์สำคัญที่ถ่ายทอดเรื่องราวการปะทะกันระหว่างสองชนเผ่านี้คือ เรื่องรามายณะหรือเรื่องรามเกียรติ์ นั่นเอง โดยที่พระรามเป็นตัวแทนชาวอารยัน และราวณะหรือภาษาไทยเรียกทศกัณฐ์เป็นตัวแทนฝ่ายดราวิเดียน
เป็นภาษาที่เก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดในบริเวณอนุทวีปอินเดีย เป็นตระกูลภาษาของคนที่ตั้งรกรากเป็นกลุ่มแรกหรือที่มีคำเรียกเฉพาะว่า อาทิวาสี ความเก่าแก่ของภาษาตระกูลนี้น่าจะมีอายุถึงกว่า 4,000 ถึง 5,000 ปีหรือนานกว่านั้น และภาษาที่ยังคงสืบทอดลักษณะโบราณมาจนปัจจุบันนี้มากที่สุดคือ ภาษาทมิฬ
ส่วนภาษาอื่น ๆ ที่สำคัญในตระกูลนี้คือ ภาษามลยาฬัม เป็นภาษาหลักของแคว้นเกรละ มีความใกล้เคียงกับทมิฬที่สุด แต่คำที่ใช้อาจมีความเป็นสันสกฤตมากกว่าบ้าง ภาษากันนฑะ เป็นภาษาหลักในมลรัฐกรรณาฏกะ ซึ่งเป็นตระกูลสายข้างเคียงของทมิฬกับมลยาฬัม แต่ยังจัดอยู่ในสายตระกูลภาษาดราวิเดียนใต้ และภาษาเตลุคุซึ่งเป็นภาษาหลักของมลรัฐอานธรประเทศกับเตลังคานะ ซึ่งไม่นานก่อนหน้านี้เคยอยู่รวมกันในฐานะมลรัฐอานธรประเทศ ภาษานี้แยกสายห่างจากทมิฬมาแต่ต้น คือจัดอยู่ในตระกูลดราวิเดียนกลาง จึงมีความแตกต่างกับอีกสามภาษาค่อนข้างมาก
สี่ภาษาสำคัญของตระกูลดราวิเดียนคือ 1. ทมิฬ 2. มลยาฬัม 3. กันนฑะ 4. เตลุคุ ทั้งสี่ภาษานี้ล้วนแต่มีมลรัฐของตนเอง เราคงพอกล่าวได้ว่าเป็น “Big Four” ของตระกูลดราวิเดียนเลยทีเดียว
ภาษาดราวิเดียนมีลักษณะทางไวยากรณ์แบบ agglutinative คำนี้เป็นศัพท์เทคนิคในทางภาษาศาสตร์ ถ้าจะให้อธิบายคือ เป็นภาษาคำติดต่อ คือการเอาหน่วยเล็ก ๆ ที่แสดงความหมายเฉพาะมาประกอบท้ายคำจนทำให้คำยาวขึ้นเรื่อย ๆ ขอยกตัวอย่างด้วยภาษาทมิฬ เช่น การเปลี่ยนคำเอกพจน์เป็นพหูพจน์ จะเติมหน่วย -gal ลงไปด้านหลังคำนาม หรือแม้แต่คำสรรพนาม ดังนั้น คำว่า naan ที่แปลว่า ฉัน หากต้องการให้หมายถึง พวกเรา ก็เติม -gal ลงไปเป็น naangal ส่วนคำว่า nii ที่แปลว่า เธอ ถ้าต้องการให้แปลว่า คุณ (สุภาพ) หรือ พวกคุณ (พหูพจน์) ก็เติม -gal เป็น niingal และหน่วยคำเดียวกันก็ต้องเติมในกริยาให้สอดคล้องกันด้วย เช่น you are พูดว่า niingal irukkirirgal หน่วย iru- หมายถึง to be หน่วย -kir- หมายถึงปัจจุบันกาล หน่วย -irgal หมายถึงเป็นกริยาของบุรุษที่ 2 พหูพจน์
ตรงนี้จะต่างกับภาษาภาษาฮินดีมาก สรรพนามพหูพจน์จะเปลี่ยนรูปคำไปเลย จาก main เป็น ham หรือจาก tu เป็น tum, aap คำกริยาก็จะแค่เปลี่ยนเสียงท้าย เช่น main hum ก็เป็น ham hain
อีกสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของภาษาตระกูลนี้คือการออกเสียงด้วยตำแหน่งลิ้นที่แตกต่างกันหลายระดับ เช่นเสียงตัว น ร ล มีระดับความลึกที่แตกต่างกันถึงสามระดับ ส่งผลให้ภาษาฟังดูรัวเร็วและออกเสียงยากพอสมควรสำหรับคนไทย
นักวิชาการภาษาศาสตร์เชื่อว่าภาษาตระกูลดราวิเดียนมีอิทธิพลต่อการนำเสียงเข้าไปสู่ภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นรากเหง้าของตระกูลอินโดอารยันด้วย คือเสียงวรรค ฏ ฐ ฑ ฒ ณ นั้นมาจากตระกูลนี้ เพราะไม่ปรากฏในอินโดยุโรเปียนแขนงอื่น ๆ
การจะทำความเข้าใจภาษาตระกูลอินโดอารยันต้องเริ่มจากภาษาสันสกฤต และแตกออกเป็นสามสาย คือ เศารเสนี มหาราษฏรี และมาคธี
สันสกฤตถูกกำหนดว่าเป็นภาษามาตรฐาน ส่วนภาษาอื่นเรียกว่า ปรากฤต จะมีไวยากรณ์และเสียงหละหลวมกว่า และภาษาอื่น ๆ ที่แตกออกมาจากสายเหล่านี้ก็วิวัฒนาการเป็นภาษาพูดตามท้องถิ่นต่าง ๆ มากมายในปัจจุบัน
ภาษาสำคัญในตระกูลนี้ แน่นอนว่าต้องมีภาษาฮินดีและภาษาอุรดูซึ่งคล้ายกันมาก เดิมทีเคยเป็นภาษาเดียวกันที่เรียกว่าฮินดูสตานี ส่วนภาษาอื่น ๆ ก็เช่น ปัญจาบี เบงกาลี มราฐี
ลักษณะไวยากรณ์ของภาษาตระกูลนี้เป็นแบบที่เรียกว่า inflected หรือที่ไทยเราชอบเรียกว่าภาษามีวิภัติปัจจัย ซึ่งเป็นแบบเดียวกับภาษาในยุโรปอย่างอังกฤษ เยอรมัน สเปน โปรตุเกส เป็นต้นนั่นเอง ภาษาแบบนี้มักจะมีการผันหางคำเพื่อแสดงความแตกต่างทางไวยากรณ์ เช่นเพศและพจน์ (ยกตัวอย่างคำว่า larka, larki, larke, larkiyon)
ภาษาฮินดีและอุรดู แตกต่างกันแค่ไหน ควรเลือกเรียนภาษาไหน
ในทางไวยากรณ์ สองภาษานี้ก็คือภาษาเดียวกันนั่นเอง แม้ว่าเวลาเขียนภาษาฮินดีจะเน้นศัพท์สันสกฤตเพราะกลุ่มหลักที่ใช้ภาษานี้คือชาวฮินดู ส่วนภาษาอุรดูเน้นศัพท์อาหรับเปอร์เซีย เพราะกลุ่มหลักที่ใช้ภาษานี้คือชาวมุสลิม แต่ในทางปฏิบัติคนที่พูดทั้งสองภาษาก็จะใช้คำศัพท์ทั้งสองแบบปะปนกันไปอยู่แล้ว และสามารถสื่อสารกันได้อย่างไม่มีปัญหา ตัวอย่างเช่น เราอาจใช้คำว่า mitr, dost แปลว่า เพื่อน jivan, zindagi แปลว่า ชีวิต hrday, dil แปลว่า หัวใจ stri, aurat แปลว่า ผู้หญิง jagat, duniyaa แปลว่า โลก ดังนั้นสิ่งที่แยกสองภาษานี้ได้ชัดเจนที่สุดคงจะเป็นตัวอักษรที่ใช้เขียน กล่าวคือภาษาฮินดีจะใช้อักษรเทวนาครี ส่วนภาษาอุรดูจะใช้อักษรอุรดูที่พัฒนามาจากอักษรเปอร์เซีย
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ