วันที่ 13 พฤษภาคม 2566
เพลง Yeh Hai Bombay Meri Jaan
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ CID ฉายในปี ค.ศ. 1956 กำกับโดยราช โคสลา (Raj Khosla) ดารานำคือเทพ อานันท์ (Dev Anand) ศกีลา (Shakila) จอห์นนี วอลเกอร์ (Johnny Walker) เค. เอ็น. ซิงห์ (K. N. Singh) และวะฮีดา เราะห์มาน (Waheeda Rehman) เพลงนี้ขับร้องโดยโมฮัมเหม็ด ระฟี (Mohammed Rafi) และคีตา ทัตต์ (Geeta Dutt)
________
ในวาระ 162 ปี ชาตกาล ครุเทพ รพินทรนาถ ฐากูร ผู้ซึ่งเคยเยือนประเทศไทยในปี ค.ศ. 1927 การเยือนนี้นับเป็นหมุดประวัติศาสตร์สำคัญว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับอินเดียในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และช่วงท้ายของการปกครองอินเดียโดยอังกฤษ เราจึงขออนุญาตอ่านบทกวีสำคัญบทหนึ่งของท่านรพินทรนาถ ฐากูร
๏ ณ ที่ใดดวงใจไม่ไหวหวั่น ไม่พรึงพรั่นหวั่นระแวงแหนงฉงาย
ณ ที่ใดอยู่ได้ด้วยเกียรติพราย มิต้องค้อมเศียรถวายผู้ใดเลย
๏ ณ ที่ใดไร้ซึ่งอวิชชา ล้วนวาจาส่อสัตย์จัดเฉลย
ณ ที่ใดโลกหล้าพาเสบย ไม่เฉยเมยเกี่ยงวิรุธประทุษกัน
๏ ณ ที่ใดมีความพยายามยิ่ง อุตสาหะเพื่อสิ่งสมบูรณ์มั่น
ณ ที่ใดธารใสแห่งเหตุนั้น ไม่เหือดแห้งไปพลันด้วยชาชิน
๏ ณ ที่ใดดวงใจจรดล สู่สถลแห่งกรรมกระทำสิ้น
อีกพลังจิตตาเป็นอาจิณ ขอสวรรค์โปรดยินดลบันดาล
๏ มาตุภูมิข้าไซร้ได้สัญจร สู่นครอันบำราศเรื่องร้าวฉาน
ณ ที่นั้นขอพระโปรดประทาน ให้สมฤทธิ์กิจการสมใจ เทอญฯ
บทกวีข้างต้นแปลโดย อาจารย์กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ คีตาญชลี ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2517
ตามการประมาณการของสหประชาชาติ ประชากรอินเดียมีจำนวนถึง 1,425,775,850 คน ซึ่งแซงหน้าจำนวนประชากรในจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว
ผมเองเคยศึกษาข้อมูลเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งก็พูดมาโดยตลอดว่า จำนวนประชากรอินเดียน่าจะแซงจีนมาพักหนึ่งแล้ว หลายคนคาดการณ์มานานแล้วว่ายังไงจำนวนประชากรอินเดียก็จะแซงหน้าจีนอย่างแน่นอน จำได้ว่าท่านรองประธานาธิบดีอินเดีย นายฮามิด อันสารี (Hamid Ansari) เคยพูดที่จุฬาฯ ในทำนองว่า อีกไม่นานจำนวนประชากรอินเดียก็จะแซงจีนอย่างแน่นอน ทว่าท่านก็เสริมด้วยว่า เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะภาคภูมิใจอะไร
การสำรวจสำมะโนประชากรของอินเดียที่ทำกันทุก 10 ปี และการสำรวจล่าสุดที่ต้องทำในปี ค.ศ. 2021 ก็ล่าช้าออกไป เพราะเวลานั้นวุ่นวายกับสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนัก ดังนั้นจึงไม่มีข้อมูลจำนวนประชากรอย่างเป็นทางการ ของจีนสำรวจล่าสุดคือครั้งที่ 7 คือปี ค.ศ. 2020 ในการประเมินและคาดการณ์จำนวนประชากรของทั้งอินเดียและจีน สหประชาชาติอาศัยข้อมูลจากหลายชุดเพื่อทำการประมาณการ
สิ่งที่ชัดเจนคือทั้งอินเดียและจีนมีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน และเป็นเวลากว่า 70 ปีที่มีประชากรมากกว่าหนึ่งในสามของประชากรโลก
ประชากรจีนมีแนวโน้มที่จะเริ่มหดตัวในปี 2024 ปีที่แล้วมีคนเกิด 10.6 ล้านคน มากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตเล็กน้อย เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์ลดลงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของสหประชาชาติ ประชากรจีนจะยังคงลดลงและอาจลดลงต่ำกว่าหนึ่งพันล้านคนก่อนสิ้นศตวรรษนี้
อัตราการเจริญพันธุ์ของอินเดียลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา คือจาก 5.7 การเกิดต่อผู้หญิงหนึ่งคนในปี ค.ศ. 1950 เหลือการเกิด 2.0 ต่อผู้หญิงหนึ่งคนในปัจจุบัน แต่อัตราการลดลงนั้นช้าลง ประชากรของอินเดียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษ สหประชาชาติคาดว่าจำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นสูงสุดในราวปี ค.ศ. 2024 และจากนั้นจะลดลงเรื่อย ๆ
เราขอพูดถึง 2 ข้อ เพื่อตอบคำถามข้อนี้ 2 ข้อที่ว่านี้ ได้แก่
1. อินเดียลดจำนวนประชากรช้ากว่าจีน
2. อินเดียกับการเป็นสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
จีนลดอัตราการเพิ่มของประชากรลงประมาณครึ่งหนึ่งจากร้อยละ 2 ในปี ค.ศ. 1973 เป็น ร้อยละ 1.1 ในปี ค.ศ. 1983
นักประชากรศาสตร์จำนวนมากมองว่า ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้จีนสามารถลดจำนวนประชากรของตนได้นั้นมาจากนโยบายลูกคนเดียว ซึ่งเป็นโครงการอย่างเป็นทางการที่ริเริ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 โดยรัฐบาลกลางของจีน จุดประสงค์ก็เพื่อจำกัดหน่วยครอบครัวส่วนใหญ่ในประเทศให้แต่ละคู่สมรสมีลูก 1 คน เหตุผลในการดำเนินนโยบายคือเพื่อลดอัตราการเติบโตของประชากรจำนวนมหาศาลของจีน
มีนักประชากรศาสตร์ที่ให้ความสำคัญเรื่องของการลงทุนด้านสาธารณสุขและการศึกษาที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้หญิง และการมีส่วนร่วมในแรงงาน มีส่วนทำให้ภาวะเจริญพันธุ์ลดลงด้วย
ประชากรอินเดียเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าในช่วงหกทศวรรษหลังได้รับเอกราช คือจาก 361 ล้านคนในปี ค.ศ. 1951 มาเป็นมากกว่า 1.2 พันล้านคนในปี ค.ศ. 2011
อินเดียมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 คือประมาณร้อยละ 2 ต่อปี ประกอบด้วยอัตราการเสียชีวิตลดลง อายุขัยเพิ่มขึ้น และรายได้เพิ่มขึ้น ผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองสามารถเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดและระบบระบายน้ำเสียที่ทันสมัย แต่นักประชากรศาสตร์บางคนก็ยังมองว่าอัตราการเกิดในอินเดียยังคงสูงอยู่
ถ้าเปรียบเทียบอินเดียกับจีน อินเดียเปิดตัวโครงการวางแผนครอบครัวในปี ค.ศ. 1952 และกำหนดเป็นนโยบายประชากรของประเทศเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1976 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนกำลังยุ่งอยู่กับการลดอัตราการเกิด
ที่อินเดียช้ากว่าจีนในเรื่องนี้อีกก็เพราะ การบังคับทำหมันคนจนหลายล้านคนในโครงการวางแผนครอบครัวที่ขยันขันแข็งในช่วงภาวะฉุกเฉินปี ค.ศ. 1975 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระงับสิทธิเสรีภาพ ทำให้เกิดกระแสสังคมต่อต้านการวางแผนครอบครัว กล่าวอย่างเรียบง่ายคือ การลดลงของภาวะเจริญพันธุ์จะเกิดขึ้นเร็วกว่านี้สำหรับอินเดีย หากไม่เกิดภาวะฉุกเฉินและหากนักการเมืองมีท่าทีเชิงรุกมากขึ้น นอกจากนี้ยังหมายความว่ารัฐบาลชุดต่อ ๆ มาทั้งหมดดำเนินการอย่างระมัดระวังเมื่อต้องวางแผนครอบครัว
ประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ไต้หวัน ไทย ซึ่งเปิดตัวโครงการประชากรช้ากว่าอินเดียมาก แต่กลับมีระดับการเจริญพันธุ์ต่ำกว่า ลดอัตราการเสียชีวิตของทารกและมารดา เพิ่มรายได้และปรับปรุงการพัฒนามนุษย์เร็วกว่าอินเดีย
รายได้ที่เพิ่มขึ้นและการเข้าถึงสุขภาพและการศึกษาที่ดีขึ้นได้ช่วยให้ผู้หญิงอินเดียมีลูกน้อยลงกว่าแต่ก่อน ทำให้อัตราการเติบโตลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ
คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่า การที่อินเดียมีประชากรมากที่สุดผนวกกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้น คงเสริมความแข็งแกร่งให้กับการอ้างสิทธิ์ของอินเดียในการมีที่นั่งถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีสมาชิกถาวร 5 ประเทศ รวมทั้งจีน
อินเดียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของสหประชาชาติ และยืนกรานการอ้างสิทธิ์ในการมีที่นั่งถาวร ซึ่งอินเดียมองว่ามีความชอบธรรม ในเมื่ออินเดียพัฒนาเศรษฐกิจของตน ในเมื่ออินเดียมีประชากรมากที่สุดในโลก ในเมื่ออินเดียอุทิศให้โลกอย่างมากมาย และในเมื่ออินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมโลกที่สำคัญโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม องค์ประกอบเหล่านี้จึงฟังดูสมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่อินเดียมีความชอบธรรมในการเรียกร้องให้ตนมีที่นั่งถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
การมีประชากรมากแม้จะมีข้อดีอยู่ ทว่าก็มีความท้าทายไม่น้อยเลยทีเดียว สิ่งแรกเลยคือ ต้องมีงานให้คนทำ ทั้งนี้ต้องตระหนักด้วยว่าในอนาคตจะมีคนเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิง การมีประชากรมากขึ้นก็หมายถึงมีผู้สูงอายุมากขึ้น ซึ่งอินเดียมีการบ้านที่ต้องทำมากขึ้นกว่าเดิม
________
วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน 2565 เราจะจัดงานโยคะที่สนามหน้าพระบรมรูป 2 รัชกาลที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ควรมาถึงที่จุฬาฯ เวลา 06:00 น. เพื่อลงทะเบียน และรับเสื้อยืดกับอาหารว่างฟรี
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ