รำลึกบรมศิลปาจารย์ เฟื้อ หริพิทักษ์ (ตอนที่ 1)
631 views
0
0

เพลง Amader Shantiniketan
เป็นเพลงภาษาเบงกาลี ชื่อ “Amader Shantiniketan” (ศานตินิเกตันของพวกเรา” เป็นหนึ่งในผลงานรพินทรสังคีต ประพันธ์โดยท่านคุรุเทพรพินทรนาถ ฐากูร เมื่อ ค.ศ. 1911 และเป็นเพลงสำคัญมาก คือเพลงประจำมหาวิทยาลัยวิศวภารตี เวอร์ชั่นที่นำมาให้ฟังนี้เป็นดนตรีใหม่ขับร้องใหม่ เรียบเรียงและขับร้องเมื่อประมาณปี ค.ศ. 2011 ร้องนำโดยศิลปินหญิงที่ชื่อ ปิว มุเขอร์จี (Piu Mukherjee) ผู้ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรพินทรภารตี โกลกาตา และศึกษารพินทรสังคีตมาอย่างแตกฉาน เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าปีที่ขับร้องเวอร์ชั่นนี้ห่างจากปีที่ประพันธ์เป็นเวลา 100 ปีพอดี

[ลองแปลท่อนแรกให้ฟังกันสักหน่อย]
আমাদের শান্তিনিকেতন আমাদের সব হতে আপন।
Aamader shaantiniketon aamader shob hote aapon.
ศานตินิเกตันของเรา เป็นที่หวงแหนของพวกเราทุกคน

তার আকাশ-ভরা কোলে মোদের দোলে হৃদয় দোলে,
Taar aakash-bhora kole moder dole hridoy dole,
หัวใจของพวกเราแกว่งไกวบนตักของเธอที่เป็นดุจดั่งอากาศกว้าง

মোরা বারে বারে দেখি তারে নিত্যই নূতন॥
Mora baare baare dekhi taare nitoi nuton.
พวกเราเห็นเธอดุจดั่งรุ่งอรุณใหม่เป็นนิตย์

สาเหตุที่เปิดเพลงนี้ในรายการ เพราะวันนี้เนื้อหาหลักจะนำเสนอเรื่องราวของศิลปินระดับปรมาจารย์ท่านหนึ่งของไทย อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ผู้ซึ่งเคยเข้าศึกษาในวิศวภารตีมาก่อน แม้ว่าท่านจะไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากที่นั่นก็ตามที แต่ก็นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยที่มีอดีตผูกพันกับสถานศึกษาแห่งนี้ และนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของบรรดาศิษย์เก่าวิศวภารตีชาวไทย ว่าครั้งหนึ่งเคยร่วมสถาบันกับท่าน
________

ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาหลัก เราขอกล่าวถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งผ่านมาหลายวันแล้ว กล่าวคือในวันที่ 2 มิถุนายน 2023 ได้เกิดอุบัติเหตุรถไฟชนกันสามขบวนที่มลรัฐโอริสสา เกิดจากความผิดพลาดในการสับราง ทำให้รถด่วนโคโรมันเดลชนเข้ากับรถไฟขนสินค้า และท้ายขบวนสะบัดไปชนรถด่วนบังกาลอร์-ฮาวราห์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 288 คนและบาดเจ็บ 1,175 คนตามรายงานของทางการมลรัฐโอริสสา ถือเป็นอุบัติเหตุทางรถไฟที่สะเทือนขวัญร้ายแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีนี้ พวกเราทั้งสองขอไว้อาลัยผู้เสียชีวิตทุกคน และขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัวผู้สูญเสีย รวมทั้งขอให้ผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่พักฟื้นโดยเร็ววัน

ที่มาของเรื่องราว

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน หรือก็คือสองวันก่อนออกอากาศ ผมได้รับการไหว้วานจากคุณธีระ วานิชธีระนนท์ นักสะสมงานศิลปะ ให้ไปช่วยตรวจสอบหนังสือโบราณของอินเดียว่าเขียนด้วยอักษรใดภาษาใด แต่สถานที่ที่ผมไปเยือนนั้นนับว่าน่าสนใจยิ่งคือ หอจดหมายเหตุอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ บนถนนสุรศักดิ์ นามของท่านผู้นี้เป็นรู้จักกันดีอยู่ในวงการพวกเราชาวอินเดียศึกษา ก็เพราะท่านเป็นหนึ่งในศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยวิศวภารตี ศานตินิเกตัน ทำเอาผมต้องหยุดเตรียมสคริปต์ที่ตั้งใจไว้ก่อนชั่วคราวแล้วสลับมาเขียนเรื่องนี้ก่อน

สิ่งที่ได้เห็นในหอจดหมายเหตุอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ผมคงเล่าให้ฟังไม่หมด และที่สำคัญถ้าเล่าหมดก็ไม่ตื่นเต้นสำหรับผู้ที่อยากไปเยือน ขอกล่าวแต่เพียงคร่าว ๆ ว่ามีผลงานของอาจารย์เฟื้อบางชิ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ท่านได้ทำงานเกี่ยวกับโบราณสถานในไทย อีกทั้งจดหมายลายมือที่ท่านโต้ตอบกับบุคคลหลายท่าน รวมไปถึงเอกสารสำคัญบางชิ้นที่เกี่ยวกับการศึกษาของท่านในสถาบันต่าง ๆ ทำให้เราได้ทราบเรื่องราวชีวิตของท่านหลายส่วน ไม่เพียงแต่เท่านั้น เรายังเห็นบทกวีที่อาจารย์อังคาร กัลยาณพงศ์ประพันธ์และเขียนเป็นลายมือเพื่อไว้อาลัยอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์อีกด้วย

ผมได้ชมหอจดหมายเหตุอยู่ระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นก่อนแยกจากกัน ผมได้บอกกล่าวคุณธีระว่า ขอนำเรื่องราวอาจารย์เฟื้อมาทำรายการวิทยุสักตอน คุณธีระก็กรุณามอบ หนังสืออนุสรณ์ที่ชื่อ “ตามชีวิต เฟื้อ หริพิทักษ์ 109 ปีชาตกาล” มาให้ฉบับหนึ่ง ซึ่งผมกับอาจารย์สุรัตน์ได้ช่วยกันสกัดตอนสำคัญ ๆ มาเล่าให้ฟังในวันนี้

ประวัติชีวิตของอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์

อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ถือกำเนิดเมื่อวันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2453 หรือ 113 ปีก่อน เดิมทีแล้วท่านใช้นามสกุลว่า ทองอยู่ เป็นบุตรนายเปล่งและนางเก็บ ชาวจังหวัดธนบุรี (สมัยนั้นยังเป็นจังหวัด) นายเปล่งบิดาของท่านรับราชการเป็นมหาดเล็กกรมช่างในรัชกาลที่ 6 และโชคร้ายถึงแก่กรรมระหว่างตามเสด็จหัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นเวลาหกเดือนก่อนที่เด็กชายเฟื้อจะคลอดออกมา ซ้ำร้ายนางเก็บผู้มารดาก็ถึงแก่กรรมตามไปเมื่อเด็กชายเฟื้ออายุเพียง 7 ขวบ

แต่นั้นมาเด็กชายเฟื้อก็อยู่ในอุปการะของคุณยายทับทิม โดยอาศัยอยู่หลังวัดสุทัศนเทพวราราม พระนคร ชีวิตช่วงนี้ อาจารย์เฟื้อเล่าไว้ด้วยคำพูดของท่านเองว่า “ตอนนั้นผมลำบากหลายอย่างครับ อยู่กันสองคนยายหลานเท่านั้น ขล็อกแขล็กหน่อย เคราะห์ดีที่ยายท่านเก่งค้าขาย หาเลี้ยงไม่ให้อนาทร ผมจะเอาอะไร จะเรียนอะไรก็หามาให้จนได้”

ด้วยความที่ตนชอบเขียนภาพมาแต่เล็ก เมื่อนายเฟื้อ ทองอยู่ จบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วจึงเข้าศึกษาในโรงเรียนเพาะช่าง แผนกวิชาครู ทว่านายเฟื้อ ทองอยู่เป็นคนชนิดที่สมัยปัจจุบันนี้เรียกว่า “อินดี้” อย่างเต็มพิกัด กล่าวคือ เมื่อปีการศึกษาที่ 4 อันหมายความว่าใกล้จะจบการศึกษาอยู่แล้ว ท่านเกิดความคิดแผลง ๆ ขึ้นมา ไม่ยอมเขียนภาพตามหลักสูตร เพราะเห็นว่าจืดชืด ไม่มีชีวิตชีวา ก็เลยเขียนตามใจชอบ ผลออกมาคือสอบวาดเขียนตก ทั้ง ๆ ที่วิชาอื่น ๆ สอบผ่านหมดแล้ว อาจารย์เฟื้อกล่าวในภายหลังว่า “...ที่เพาะช่างขีดเส้นเอาไว้อย่างนั้น แต่เรากระโจนออกไปเลย เพราะเราเห็นความจริง...”

ต่อมานายเฟื้อจึงได้เข้าไปศึกษาในโรงเรียนประณีตศิลปกรรม สังกัดกรมศิลปากร ซึ่งก่อตั้งโดยศาสตราจารย์คอร์ราโด เฟโรจี ชาวอิตาเลียน หรือที่ชาวไทยรู้จักดีในนาม ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ณ ที่นี้ท่านได้พบกับ ม.ร.ว. ถนอมศักดิ์ กฤดากร ซึ่งในกาลต่อมาจะได้กลายเป็นคู่สมรสคนแรกของท่าน

ส่วนเรื่องการศึกษานั้นก็เกิดเรื่องอีกเช่นเคย ท่านไม่ชอบวิชาจิตรกรรมที่สอนโดยพระสรลักษณ์ลิขิต เพราะเป็นการสอนในแนวทางเดิมเหมือนที่เพาะช่าง ที่สุดทนไม่ไหว ขอลาออก และไปเรียนพิเศษกับอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นการเฉพาะ จนในภายหลังเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่า ศิษย์เอกของอาจารย์ศิลป์มีสองคน คือนายแช่ม ขาวมีชื่อ เป็นประติมากร และนายเฟื้อ ทองอยู่ เป็นจิตรกร

สำหรับ ม.ร.ว. ถนอมศักดิ์ กฤดากรที่เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกับหนุ่มเฟื้อ ความรักได้ก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสองที่แม้จะมีฐานันดรศักดิ์ต่างกันมาก แน่นอนว่าไม่ใช่ความรักที่ราบรื่นเลย ท่านถูกกีดกันจากผู้ใหญ่ต่าง ๆ นานาที่ไปรักกับชายหนุ่มยากจนเช่นเฟื้อ ที่สุดท่านก็หนีออกมาอยู่กินกับเฟื้อในห้องแถวแคบ ๆ และขยับขยายไปเช่าบ้านเล็ก ๆ อยู่ด้วยกัน ครองรักกันมา 4 ปีและมีบุตรชายด้วยกันคนหนึ่งคือ นายทำนุ หริพิทักษ์ ปัจจุบันก็เป็นศิลปินเช่นเดียวกับบิดา

นายเฟื้อไปเรียนต่ออินเดีย

คราวนี้มาถึงตอนสำคัญก็คือตอนที่นายเฟื้อไปเรียนต่ออินเดีย เรื่องมีอยู่ว่า แรกเริ่มเดิมที ท่านประสงค์จะไปเรียนต่อที่อิตาลี ทว่าเป็นกาลประจวบเหมาะกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้นในปี พ.ศ. 2482 จึงไม่สะดวกไปยุโรป ไม่เพียงเท่านั้น นายเฟื้อเกิดติดใจอินเดียขึ้นมาจากการได้เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียจากศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ท่านจึงตัดสินใจไปเรียนที่มหาวิทยาลัยวิศวภารตี ศานตินิเกตันแทนในปี พ.ศ. 2483

ค่าใช้จ่ายในการศึกษาครั้งนี้ ผู้สนับสนุนทุนก็คือภรรยาของท่านนั่นเอง โดยนำทุนมาจากกองมรดก อาจารย์เฟื้อตอนนั้นไม่มีใบประกาศนียบัตรใด ๆ เพราะไม่เรียนจบสถาบันอะไรเลย อาศัยเพียงใบรับรองจากอาจารย์ศิลป์เป็นใบเบิกทางไปเท่านั้น

แรกเริ่มเดิมทีความสามารถของอาจารย์เฟื้อยังไม่เป็นที่ยอมรับ ครั้นมีการจัดแสดงงานขึ้น ปรากฏว่าบรรดาศาสตราจารย์หลายคนที่เข้ามาชมแลเห็นงานของท่านเข้าก็เข้าใจว่าเป็นของศิลปินรุ่นใหญ่ พอมาทราบภายหลังว่าเป็นงานของอาจารย์เฟื้อ ก็บอกว่า ไม่ต้องมาเรียนแล้ว แค่ออกไปเขียนงานแล้วนำมาให้อาจารย์วิจารณ์เท่านั้นก็พอ

บรรยากาศการศึกษาที่อินเดีย

ตรงนี้ขอให้ผู้ฟังเข้าใจว่า วิธีการเรียนของวิศวภารตีนั้นแปลกกว่าที่อื่นตรงที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติและเน้นให้ผู้เรียนดึงศักยภาพตนเองออกมา สร้างสรรค์ในสิ่งที่ตนอยากจะทำจริง ๆ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้นักเรียนแต่ละคนเห็นคุณค่าของศิลปะประจำชาติตนเองด้วย เหตุนี้อาจารย์เฟื้อจึงได้บ่มเพาะความรักหวงแหนศิลปะไทยขึ้นมา ณ ที่แห่งนี้ และเมื่อท่านกลับมาอยู่ไทยท่านจึงได้สืบทอดศิลปะไทยอย่างจริงจัง

ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก หากเราพิจารณาจากบรรยากาศการศึกษาของท่านระหว่างเวลาที่อยู่เมืองไทยกับอยู่อินเดีย เราจะพบว่า วิทยาลัยเพาะช่างแม้จะเป็นวิทยาลัยศิลปะชั้นนำของประเทศ แต่กลับไม่อาจสร้างความซาบซึ้งต่อศิลปะไทยให้แก่อาจารย์เฟื้อได้ดีเท่าวิศวภารตี ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเพาะช่างสอนไม่ดี แต่น่าจะเป็นเพราะจริตของอาจารย์เฟื้อเป็นไปในทางรักอิสระ จึงอาจจะเหมาะกับการศึกษาในสภาพแวดล้อมอย่างวิศวภารตีมากกว่า

พบเรื่องเศร้าสลดร้ายแรง

ระหว่างที่อาจารย์เฟื้อศึกษาอยู่ที่ศานตินิเกตัน ท่านได้พบเรื่องเศร้าสลดร้ายแรง คือยายที่เลี้ยงมาแต่เด็กเสียชีวิต และภรรยาคู่ใจที่ติดต่อกันมาตลอดระหว่างเรียนก็กลายเป็นโรคประสาท

อาจารย์เฟื้อในคราวนั้นรู้สึกราวกับตนสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ท่านถึงกับเดินตากฝนไปตามถนนด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผ่านหมู่บ้านเข้าไปยังป่าละเมาะ และในขณะนั้นที่ท่านรู้สึกเหมือนกับไร้ที่พึ่ง อยู่เดียวดายในโลก ท่านได้เงยหน้าขึ้นบนฟ้า อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อินเดียให้ช่วยคุ้มครอง ฉับพลันนั้นฝนฟ้าที่กำลังอึงคะนึงก็พลันสงบเงียบลงราวปาฏิหาริย์ นายเฟื้อ ทองอยู่ได้เกิดความเลื่อมใสในเทพของอินเดียมาแต่นั้น จึงได้เริ่มศึกษาศาสนาฮินดูอย่างจริงจัง

จากเหตุการณ์นี้มีสำนวนของอาจารย์เฟื้อเล่าไว้อย่างกินใจว่า “ผมนั่งร้องไห้ทั้งคืน นั่งตัวชาไม่รู้สึกตัว ผมแทบบ้า คิดถึงอดีตที่มีแต่ความทุกข์ และยังเกาะกุมมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ผมเดินไปตามท้องถนน สายฝนกระหน่ำลงมา ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฟ้าคำรามลั่นอย่างน่ากลัว ผมรู้สึกหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต...”

ชีวิตในค่ายกักกัน

ในกาลต่อมาสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แผ่ขยายมาทางทวีปเอเชีย รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้เข้าร่วมลงนามกับญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2485 การกระทำครั้งนี้ของรัฐบาลไทยส่งผลถึงคนไทยในต่างแดนหลายคนที่บังเอิญอยู่ในดินแดนที่อังกฤษปกครองอยู่

นายเฟื้อ ทองอยู่ นักศึกษาศานตินิเกตัน ก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกจับกุมในเวลานั้น และถูกคุมขังอยู่ภายในค่ายกักกัน ที่น่าสนใจยิ่งก็คือ อาจารย์เฟื้อถูกจับกุมคุมขังพร้อมกับค่ายกักกันปุราณกิลา (Purana Qila) พร้อมกับชาวไทยอีก 6 คน หนึ่งในนั้นคืออาจารย์กรุณา กุศลาสัย นักศึกษาร่วมสถาบันกับอาจารย์เฟื้อ ที่เราเคยเล่าประวัติของท่านให้ฟังมาแล้ว และในภายหลังอาจารย์กรุณา กุศลาสัย ก็กลายเป็นปรมาจารย์ทางอินเดียศึกษาที่ประเทศไทยต้องจดจำจารึกชั่วกาลนาน

ชีวิตในค่ายกักกันนั้นเป็นไปอย่างยากลำบากแสนสาหัส ผู้ถูกคุมขังที่มีทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวไทยต้องล้มตายไปวันละหลายคน ซึ่งชาวไทยออกจะเคราะห์ร้ายกว่าชาวญี่ปุ่นสักหน่อย เพราะผู้คุมขังชาวญี่ปุ่นยังคงมีเงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นส่งมาอุดหนุน แต่ผู้คุมขังชาวไทยต้องเผชิญความอดอยากยากแค้นตามยถากรรม เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี 6 เดือน ผู้คุมขังเหล่านี้ก็ถูกย้ายต่อไปยังค่ายเดโอลี (Deoli) ในราชสถาน ซึ่งซ้ำร้ายกว่าเดิมเพราะตั้งอยู่กลางทะเลทรายที่มีอุณหภูมิร้อนจัดถึง 45-50 องศาเลยทีเดียว
.
เหตุการณ์กำลังตื่นเต้น ในตอนต่อไปเราจะมาฟังกันว่าอาจารย์เฟื้อได้ออกจากที่คุมขังอย่างไร และเหตุใดท่านจึงใช้นามสกุลหริพิทักษ์ รวมทั้งผลงานศิลปะและรางวัลเกียรติยศต่าง ๆ ที่ท่านได้รับ อดใจรอฟังตอนจบสัปดาห์หน้าครับ
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ