วันที่ 17 มิถุนายน 2566
เพลง Tumi Robe Nirobe
อีกครั้งที่เรานำเพลงรพินทรสังคีตมาเปิดให้ทุกท่านฟัง เนื่องจากเนื้อหาต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว เพลงที่ท่านรับฟังไปชื่อ “Tumi Robe Nirobe” (เธอจะคงอยู่เงียบ ๆ) ซึ่งเวอร์ชั่นที่เราเปิดไปนั้นเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Kuheli” ในปี ค.ศ. 1971 เสียงร้องเป็นของ เหมันโต มุเขอร์จี (Hemanta Mukherjee) ผู้กำกับดนตรีระดับตำนานในวงการภาพยนตร์อินเดีย อันที่จริงแล้วเพลงนี้มีความพิเศษกว่านั้นคือ ตอนท้ายมีเสียงของลตา มังเคศการ์ร้องคลออยู่ด้วย แต่น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลาพอเปิดให้ฟังทั้งเพลง
เนื้อหาท่อนแรก ๆ ของเพลงมีดังนี้
তুমি রবে নীরবে হৃদয়ে মম
Tumi robe nirobe hridoye momo
เธอจะคงอยู่เงียบ ๆ ในใจฉัน
নিবিড় নিভৃত পূর্ণিমানিশীথিনী-সম॥
Nibiro nibhrito purnima nishithini shomo
ดุจพระจันทร์คืนเพ็ญเด่นสง่า
মম জীবন যৌবন মম অখিল ভুবন
Momo jibono joubono momo okhilo bhubono
เธอเติมเต็มทั้งชีวิตจิตวิญญาณ์
তুমি ভরিবে গৌরবে নিশীথিনী-সম॥
Tumi bhoribe gourobe nishithini shomo
สวยโสภาดุจราตรีสงบงาม
เนื้อหาในวันนี้เราจะกล่าวถึงอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ปูชนียบุคคลท่านหนึ่งในวงการศิลปะไทย เนื้อหาต่อจากตอนที่แล้ว ซึ่งเราทิ้งท้ายไว้ในตอนที่อาจารย์เฟื้อถูกจับกุมคุมขังในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเดิมทีท่านถูกคุมขังอยู่ที่ป้อมปุราณกิลา และเมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี 6 เดือน ก็ถูกขนย้ายไปยังค่ายเดโอลีในราชสถาน เป็นทะเลทรายที่อากาศร้อนแสนสาหัสมากถึง 45 – 50 องศาเซลเซียส และนอกจากนั้นเรายังได้ทราบด้วยว่า บุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่งที่ถูกคุมขังด้วยกัน คืออาจารย์กรุณา กุศลาสัย ซึ่งในขณะนั้นก็ไปศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยวิศวภารตี ศานตินิเกตัน นั่นทำให้ท่านทั้งสองไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้
เรายังได้ทิ้งคำถามไว้ด้วยว่า จากเดิมที่อาจารย์เฟื้อใช้นามสกุลแต่กำเนิดว่า ทองอยู่ เพราะเหตุใดในช่วงหลังท่านจึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุลหริพิทักษ์ นอกจากนี้เรายังมีเรื่องแก้ไขข้อมูลจากคราวที่แล้วบางประการด้วย
จากตอนที่แล้ว ผู้ฟังคงจะจำได้ดีถึงเหตุการณ์ที่นายเฟื้อ ทองอยู่ได้รับความกระทบกระเทือนใจจากการสูญเสียบุคคลที่รักถึงสองคน คือคุณยายผู้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กถึงแก่กรรม และต้องพรากกับภรรยายอดรักที่ต่างฐานันดรกันแต่เคียงข้างร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาและออกทุนให้มาเรียนหนังสือที่อินเดีย โดยเฉพาะกรณีหลัง ในตอนที่แล้วได้กล่าวไปว่าเป็นเรื่องอาการทางประสาท อย่างไรก็ดี หลังจากออกอากาศ ทายาทของอาจารย์เฟื้อได้กรุณาติดต่อมาให้ข้อมูลว่า เรื่องอาการทางประสาทเป็นสิ่งที่ผู้คนพากันเข้าใจผิดไป แท้จริง ม.ร.ว. ถนอมศักดิ์คุณแม่ของท่านมิได้เป็นโรคประสาท ผมขอกราบขอบพระคุณสำหรับข้อมูลดังกล่าว และขอชี้แจงว่า เราได้สกัดข้อมูลมาจากหนังสือ “ตามชีวิต เฟื้อ หริพิทักษ์ 109 ปีชาตกาล” ซึ่งมีเรื่องดังกล่าวระบุไว้ชัดเจน หากข้อความดังกล่าวผิดเพี้ยนไปจากความจริงก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้
แต่เรื่องที่เป็นจริงแน่คือไม่ว่าอย่างไรอาจารย์เฟื้อก็ถูกพรากจากภรรยา ภายหลังเมื่ออาจารย์อังคาร กัลยาณพงศ์แต่งบทกวีอุทิศให้อาจารย์เฟื้อ บางบทในนั้นบริภาษท่านแม่ยายของอาจารย์เฟื้ออย่างรุนแรงที่พรากคนรักทั้งสองจากกัน ข้อนี้ส่อให้เห็นว่ายังคงเป็นเรื่องความแตกต่างทางฐานันดรศักดิ์ของคนทั้งสองนั่นเองที่ทำให้มิได้ครองรักกันจนแก่เฒ่า
ในวันที่เฟื้อรู้สึกเคว้งคว้าง เขาก็ได้เปิดใจยอมรับพระเจ้าของศาสนาฮินดู คือพระวิษณุ ซึ่งมีอีกพระนามด้วยว่า หริ แต่นั้นยามว่างก็เริ่มท่องมนต์ภาวนาทำสมาธิด้วยคำว่า หริโอม ซ้ำ ๆ กัน ดังมีปรากฏว่าอาจารย์เฟื้อได้เขียนคำว่าหริโอมไว้เต็มหน้ากระดาษสมุด ทุกวันนี้ก็มีจัดแสดงอยู่ที่หอจดหมายเหตุ จิตใจของหนุ่มเฟื้อ ทองอยู่ ที่ได้รับการเยียวยาจากศานติแห่งการภาวนาถึงพระหริจนไม่ทำให้ถึงกับเป็นบ้าเป็นหลังไป ทำให้หลังจากนั้นเฟื้อ ทองอยู่ได้หันมาใช้นามสกุลว่า “หริพิทักษ์” คือผู้ที่พระเจ้าทรงคุ้มครอง ด้วยประการฉะนี้
การเปลี่ยนนามสกุลเป็นหริพิทักษ์คงเกิดขึ้นในช่วงหลังของการถูกคุมขัง เพราะมีหลักฐานปรากฏเป็นภาพถ่ายว่าตอนที่ถูกย้ายจากปุราณกิลาไปเดโอลี อาจารย์เฟื้อถือป้ายชื่อตนเอง ซึ่งยังใช้นามสกุลทองอยู่ หลังจากที่ย้ายมาเดโอลีแล้ว อาจารย์เฟื้อยังคงวาดภาพด้วยอุปกรณ์ที่มีอยู่อย่างจำกัด คือกระดาษแผ่นเล็ก ๆ กับสีน้ำไม่กี่หลอด ทราบว่าในค่ายกักกันมีการประกวดผลงานศิลปะ ซึ่งอาจารย์เฟื้อชนะรางวัลเสียด้วย ผลงานของอาจารย์เฟื้อชิ้นหนึ่งในปี พ.ศ. 2489 คือภาพค่ายกักกันชาวญี่ปุ่น วาดด้วยสีฝุ่น ได้แรงบันดาลใจจากภาพร่างดินสอที่เขียนไว้ยามอยู่ในค่าย ซึ่งสันนิษฐานว่าคัดลอกจากผลงานตนเองที่ชนะประกวดตอนอยู่ในค่ายกักกัน แต่เนื่องจากระเบียบอันเข้มงวด เมื่อได้รับการปลดปล่อยจึงไม่อาจนำติดตัวออกมาได้ ท่านจึงแอบคัดลอกพับติดไว้กับแผนที่ท่องเที่ยวฉบับหนึ่งนำออกมาวาดเป็นสีฝุ่นในภายหลัง ผลงานชิ้นนี้เป็นที่ชื่นชมจากอาจารย์ศิลป์ พีระศรี อย่างมากมาย
อาจารย์เฟื้อได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) โดยแรกเริ่มท่านถูกย้ายจากเดโอลีมาคุมขังที่สิงคโปร์ก่อน ภายหลังจึงปล่อยออกมาให้เดินทางกลับสู่ประเทศไทยทางอำเภอหาดใหญ่
โดยสรุปแล้ว อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ใช้เวลาในชีวิตไปหกปีในอินเดีย โดยห้าปีหลังของช่วงหกปีที่ว่านั้นเสียไปกับค่ายกักกัน ท่านมีโอกาสศึกษาในศานตินิเกตันเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น
หลังจากอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์กลับสู่มาตุภูมิ ท่านได้สมรสใหม่กับนางสมถวิล แต่ไม่ได้มีบุตรด้วยกัน อาจารย์เฟื้อได้เข้ารับราชการครั้งแรกในตำแหน่งครูช่างเขียน คณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 และต่อมาท่านมีแนวคิดในการจำลองภาพจิตรกรรมฝาผนังจากสถานที่จริง ซึ่งกรมศิลปากรก็เห็นชอบกับแนวคิดนี้ และอนุมัติงบประมาณให้อาจารย์เฟื้อจัดการเรื่องนี้ ซึ่งเป็นงานที่อาจารย์เฟื้อทำไปตลอดชีวิต ผลงานสำคัญของท่านมีตัวอย่างเช่น งานลอกลายจิตรกรรมฝาผนังในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ และในวัดบวกครกหลวง ทั้งสองแห่งที่กล่าวมาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่
ในปี พ.ศ. 2492 มหาวิทยาลัยศิลปากรจัดงานประกวดศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 1 ผลงานจิตรกรรมของอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ชื่อ “เพชรบุรี” ซึ่งแสดงทิวทัศน์จากยอดเขาวัง ได้รางวัลเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง และในการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 2 ในปีถัดมา ภาพวาดสีน้ำมันชื่อ “ประกายเพชร” ซึ่งเป็นภาพสตรีท่านหนึ่ง ชื่อว่า “มาดามชิต เหรียญประชา” ก็ได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองเช่นเดียวกัน ทั้งสองภาพได้รับคำชื่นชมจากศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีอย่างมากมาย
ในปี พ.ศ. 2497 อาจารย์เฟื้อก็ลาราชการไปศึกษาศิลปะที่ Academia di Belle Arti di Roma กรุงโรม เป็นเวลา 2 ปี ด้วยทุนรัฐบาลอิตาลี ครั้งนี้ก็เช่นกันที่อาจารย์เฟื้อผู้ไร้ประกาศนียบัตรใด ๆ ได้อาศัยจดหมายรับรองจากศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีเป็นใบเบิกทาง ซึ่งในจดหมายฉบับนั้นอาจารย์ศิลป์ถึงกับออกปากเรียกอาจารย์เฟื้อว่า “one of the best Siamese artists of our time” หลังจากกลับมาครั้งนั้น อาจารย์เฟื้อชนะรางวัลงานประกวดศิลปกรรมแห่งชาติอีกเป็นครั้งที่สามในปี พ.ศ. 2500
ในปี พ.ศ. 2503 อาจารย์เฟื้อได้เข้าร่วมประชุมศิลปะที่ออสเตรียเป็นเวลา 1 สัปดาห์ จากนั้นท่านก็ข้ามไปชื่นชมศิลปะยุโรปในอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี และขากลับจากเที่ยวยุโรปคราวนี้เอง อาจารย์เฟื้อได้มีโอกาสย้อนเยือนถิ่นศานตินิเกตัน และอาศัยอยู่ราวเดือนหนึ่ง หนนี้ฝีมือของท่านตกผลึกมากกว่าสมัยก่อน และได้ค้นพบแนวทางและลายเส้นแบบของตนเอง ท่านจึงได้ถ่ายทอดภาพของอินเดียเอาไว้จำนวนไม่น้อย ทั้งภาพทิวทัศน์และสถานที่สำคัญ ใช้สื่อหลากหลายแบบ เช่นดินสอสี ดินสอดำ ปากกา แต่ละภาพล้วนแสดงทักษะการวาดเส้นที่เฉียบคมและว่องไวแม่นยำ
ยี่สิบปีถัดมา คือปี พ.ศ. 2523 มหาวิทยาลัยศิลปากรมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ผู้ไร้ซึ่งปริญญาอื่นใดแม้สักใบ แต่ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินชั้นเยี่ยม ทั้งนี้เพราะท่านเคยชนะรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองจากงานประกวดศิลปกรรมแห่งชาติถึงสามสมัย
ต่อจากนั้นอีกประมาณ 2 ปี อาจารย์เฟื้อก็ได้มีบทบาทไปบูรณะซ่อมแซมหอไตรวัดระฆังโฆสิตาราม สิ่งที่จุดประกายความคิดของท่านคือลายพระหัตถ์โต้ตอบระหว่างสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งกล่าวถึงงานของพระอาจารย์นาคอันปรากฏอยู่ที่หอไตรแห่งนี้
อาจารย์เฟื้อใช้เวลาวันละเล็กละน้อยจัดการบูรณะหอไตรที่ถูกเหลียวแลทิ้งร้างมานาน จนกระทั่ง 20 ปีผ่านไปจึงสำเร็จ ทันโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปีพอดี
หอไตรที่ว่านี้มีความสำคัญอย่างไร ทำไมอาจารย์เฟื้อต้องทุ่มเทเวลาบูรณะยาวนานถึงเพียงนั้น และผลออกมาคุ้มค่าหรือไม่ ต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อแรกเริ่ม
เมื่ออาจารย์เฟื้อเข้าไปสำรวจก็พบว่า สภาพหอไตรทรุดโทรมมาก ฝุ่นจับเขรอะแทบสังเกตไม่เห็นงานจิตรกรรมใดเลย เมื่อท่านเห็นสภาพแบบนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจ เพราะสถานที่ดังกล่าวเคยเป็นพระตำหนักของรัชกาลที่ 1 และเป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฎกฉบับปิดทองในอดีต
อาจารย์เฟื้อจึงชักชวนเพื่อน ๆ ตั้งจิตอธิษฐานกันว่าจะบูรณะหอไตรให้สำเร็จให้ได้ ท่านทุ่มเททำงานอนุรักษ์อย่างสุดจิตสุดใจจนบางครั้งถึงกับล้มป่วย อาจารย์เฟื้อได้เล่ากระบวนการอนุรักษ์ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง ข้อที่ว่าท่านได้ใช้น้ำยาเช็ดทำความสะอาดภาพและลวดลายต่าง ๆ ตามบานหน้าต่างอย่างไรเพื่อหาเค้าเดิมในการเดินลายซ่อมแซม จนบางครั้งเมื่อทำสำเร็จก็ปลื้มปีติถึงกับร้องไห้ออกมา
ความพยายามของอาจารย์เฟื้อไม่สูญเปล่า เพราะปรากฏว่าหอไตรแห่งนี้เป็นสถานที่เก็บรักษางานฝีมือของช่างสกุลต่าง ๆ ในอดีตไว้จำนวนมาก รวมทั้งงานแกะสลักฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ด้วย
ต่อจากนี้ไปจะขอกล่าวแต่เพียงย่นย่อว่า ท่านได้รับรางวัลแมกไซไซ ในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2526 นับเป็นศิลปินไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ซึ่งผลงานที่ทำให้ท่านได้รับรางวัลดังกล่าว นอกเหนือจากผลงานอื่น ๆ มากมายแล้วชิ้นสำคัญที่สุดคือการอนุรักษ์หอไตรนี่เอง ในพิธีประกาศรางวัลแมกไซไซ อาจารย์เฟื้อได้รับคำยกย่องอย่างมากมายในฐานะศิลปินผู้เสาะแสวงหารากเหง้าของศิลปกรรมชาติตน ต่อมาใน พ.ศ. 2528 ท่านได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์
อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ล้มป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2536 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพด้วยพระองค์เอง ณ เมรุหลวงวัดเทพศิรินทร์
สิ่งสำคัญที่อาจารย์เฟื้อฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง มิได้มีเพียงงานศิลปะโบราณทรงคุณค่าที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา แต่ยังรวมไปถึงแบบอย่างจิตวิญญาณศิลปินของท่าน ที่จะส่งต่อเรื่อยไป ตราบที่ไทยยังไม่ไร้ช่างศิลป์ ชื่อของอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ก็จะยังคงอยู่ตราบนั้น
ขออ่านถ้อยคำที่อาจารย์เฟื้อเคยเขียนถึงศานตินิเกตัน อันบ่งบอกถึงความผูกพันที่ท่านมีต่อสถานที่แห่งนี้ไว้อย่างสวยงามว่า
สันตินิเกตัน
สถานแห่งสันติ
สถานที่สงบ และ วิเวก
มีต้นไม้ที่ปลูกขึ้น นา ๆ พรรณ
อุดมไปด้วยดอกไม้หลากหลาย สีต่าง ๆ
ตั้งแต่เช้าจบเย็น จะได้ยินเสียงแห่งนกร้องทั่วไป
เป็นเสียงของนกนา ๆ ชนิด
ควรจะเพลิดเพลินเจริญใจ....
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ