เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยการเยือนสหรัฐอเมริกาของโมดี
630 views
0
0

เพลง Ajeeb Dastan Hai Yeh
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ “Dil Apna Aur Preet Parai” ฉายในปี ค.ศ. 1960 เพลงนี้เวอร์ชั่นภาพยนตร์ขับร้องโดย ลตา มังเคศการ์ (Lata Mangeshkar) แต่ที่เรานำมาเปิดขับร้องโดย Shillong Chamber Choir ร่วมกับ Vienna Chamber Orchestra

การเยือนสหรัฐอเมริกาของโมดี

วันนี้เราจะพูดถึงการเยือนสหรัฐอเมริกาของนายนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีอินเดีย ระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายน 2023 รวมทั้งหมด 3 วัน ก่อนจะเดินทางต่อไปยังประเทศอียิปต์ การเดินทางครั้งนี้เป็น State Visit

การเยือนสหรัฐฯ ทั้งหมด 3 วัน มีกำหนดการอย่างสังเขปดังนี้

20 มิถุนายน วันที่โมดีเดินทางถึงนิวยอร์ก

21 มิถุนายน เป็นวันแรกที่โมดีประกอบภารกิจอย่างเป็นทางการ ในช่วงเช้าโมดีได้นำผู้คนที่สำนักงานใหญ่แห่งสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ปฏิบัติโยคะร่วมกัน นี่ก็เพราะวันที่ 21 มิถุนายน เป็นวันที่สหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นวันโยคะสากล ทางเราคือทางสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทยกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้จัดวันที่ 18 มิถุนายน ซึ่งนับว่าจัดได้อย่างดีเยี่ยม มีผู้คนเข้าร่วมทั้งหมดประมาณ 4,000 คน ต่อมาในวันนี้ โมดีได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ และจิลล์ ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งเป็นเจ้าภาพ

22 มิถุนายน โมดีได้รับการต้อนรับตามพิธีการที่ทำเนียบขาว ตามด้วยการประชุมระดับสูงระหว่างนายกรัฐมนตรีโมดีและประธานาธิบดีโจ ไบเดน หลังจากการเจรจาทวิภาคี นายกรัฐมนตรีโมดีได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมร่วมของรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 22 มิถุนายน ตามคำเชิญของผู้นำรัฐสภา ได้แก่ เควิน แมคคาร์ธี (Kevin McCarthy) ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ชัค ชูเมอร์ (Chuck Schumer) ตรงนี้ใคร่แจ้งด้วยว่า โมดีได้เคยกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกระหว่างการเยือนประเทศของเขาในปี ค.ศ. 2016 ดังนั้นแล้ว โมดีจึงเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียคนแรกและเป็นผู้นำคนที่สามของโลกที่กล่าวสุนทรพจน์ถึงสองครั้ง กำหนดการของวันที่สองก็จบลงด้วยงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่โมดี งานเลี้ยงอาหารค่ำก็มีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม รวมทั้งสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ นักการทูต และคนดังอื่น ๆ

23 มิถุนายน กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และแอนโทนี บลิงเคน (Antony Blinken) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน ณ งานเลี้ยงอาหารกลางวันนี้ โมดีจะพูดคุยกับซีอีโอและผู้เชี่ยวชาญเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางธุรกิจและโอกาสต่าง ๆ ที่จะร่วมมือกันได้ ในช่วงเย็นของวันสุดท้ายจะจบลงด้วยการปราศรัยต่อชาวอินเดียพ้นทะเลในสหรัฐฯ ซึ่งมีมากถึง 5 ล้านคน

State Visit กับ Official Visit

State Visit ไม่ใช่ Official Visit

State Visit ในบริบทของสหรัฐฯ คือ เป็นการเยือนที่เป็นผลมาจากการเชิญของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

Official Visit คือการเยือนอย่างเป็นทางการที่มักจะเป็นการเยือนของหัวหน้ารัฐบาลของรัฐต่างประเทศ

ทำไมการเยือนสหรัฐฯ ของโมดีครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์

นี่คือการเยือนแบบ State Visit ตรงนี้ก็น่าจะใบ้อะไรให้เราได้รับทราบแล้วว่าสำคัญแน่ ๆ

หากเข้าไปดูเนื้อหาต่าง ๆ ระหว่างความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี ก็จะเห็นด้วยว่ามีวาระสำคัญหลายวาระ แต่ที่ผมคิดว่าสำคัญคือ
(1) การกระชับความสัมพันธ์ด้านกลาโหม
(2) ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ
(3) ความร่วมมือด้านเทคโนโลยี
(4) บทบาทของอินเดียในอินโดแปซิฟิก

ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ

ต้องเกริ่นให้ทราบก่อนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ดีขึ้นมากในทศวรรษที่ผ่านมา บางคนสงสัยว่าที่ดีเพราะโดนัลด์ ทรัมป์สนิทสนมกับโมดี แต่วันนี้แนวคิดที่ผมเน้นย้ำมาโดยตลอดก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจริง กล่าวคือ

ผู้สนใจนโยบายการต่างประเทศต้องให้ความสำคัญเรื่องความต่อเนื่องของนโยบาย อย่าไปใส่ใจกับความเปลี่ยนแปลงมากจนเกินไป วันนี้เห็นแล้วว่าไม่ต้องเป็นทรัมป์ก็ได้ ไบเดนก็ดำเนินนโยบายกับอินเดียอย่างต่อเนื่อง การมองว่าทรัมป์เป็นกลุ่มอนุรักษนิยมแต่ไบเดนเป็นพวกเสรีนิยมจะทำให้เราจับทางไม่ถูก เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตรงนี้คือเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติ อุดมการณ์เป็นเรื่องรอง ตราบใดที่ผลประโยชน์แห่งชาติได้รับการตอบสนอง ข้อตกลงหรือความร่วมมือก็เกิดขึ้นไม่ยากนัก

บริบทที่ทำให้ทั้งสองหันมาสู่ความร่วมมือมากยิ่งขึ้น

เราต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า วันนี้เศรษฐกิจอินเดียดีขึ้นมาก อินเดียมีเงิน ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมไม่ค่อยจะดีนัก สหรัฐฯ ต้องการเงินจากอินเดีย ในขณะที่อินเดียก็ต้องการอะไรจากสหรัฐฯ เช่น

อินเดียต้องการซื้ออาวุธบางประเภทจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอาวุธที่ตอบสนองความต้องการทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ คืออินเดียมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์แล้ว แต่วิถีจะบรรลุเป้าหมายได้ต้องมีเครื่องมือ ต้องมีอาวุธเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น

ขณะเดียวกันอินเดียก็ประสงค์ที่จะลดความพึ่งพากับรัสเซียในด้านอาวุธด้วย พร้อมกันนี้อินเดียไม่ประสงค์จะเป็นผู้ซื้อและมองสหรัฐฯ เป็นผู้ขายแต่อย่างเดียว ตรงนี้ขออธิบายให้ฟังก่อนว่า คือนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 เป็นต้นมา อินเดียหันไปฝักใฝ่รัสเซียหรือโซเวียดในเวลานั้นมาก ในเวลาต่อมาอินเดียก็แทบจะพึ่งพาเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์กับโซเวียดค่อนข้างมาก ซึ่งคุณณัฐและท่านผู้ฟังก็คงนึกคิดได้เองว่า นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งพึงประสงค์ ไม่ใช่ว่าโซเวียดหรือรัสเซียไม่ดี หลังสงครามเย็นจบลงอินเดียก็ยังพึ่งพารัสเซียอยู่ ฉะนั้นแล้วเพื่อความมั่นคงแห่งชาติจำเป็นที่จะต้องกระจายความเสี่ยงเรื่องการพึ่งพา

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากคือ การถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า technology transfer นั้นเป็นไปอย่างจำกัด ผมใช้คำว่าจำกัดก็เพราะว่า รัสเซียก็ไม่ได้ให้เทคโนโลยีอินเดียหมด แต่อินเดียก็ร่วมทำเครื่องยนต์เครื่องบินด้วย เพราะฉะนั้นอินเดียต้องการความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ที่เป็นมากกว่าชื่อ ต้องการสารัตถะเน้นเรื่องนี้ แน่นอนอินเดียคงทราบดีว่าสหรัฐฯ ไม่น่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้อินเดียได้หมด ทว่าการเยือนครั้งนี้สัมพันธ์กับการเยือนอินเดียโดยรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งได้พูดคุยกันในประเด็นนี้อย่างมากมายแล้ว ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะไม่มีการร่วมผลิตสิ่งที่อยู่ในหมวดหมู่ความมั่นคงระหว่างภาคเอกชนสหรัฐฯ กับภาคเอกชนอินเดีย ทว่าครั้งนี้ข้อตกลงไปไกลกว่านั้น คือร่วมกันหลายโครงการและมีบรรษัทอื่น ๆ ของทั้งสองประเทศเข้าร่วมด้วย

แล้วอินเดียประสบความสำเร็จในการลดการพึ่งพารัสเซียหรือไม่

อันนี้ผมคิดว่าทำได้ดี แต่จะสำเร็จหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวเลขที่เขาตั้งเป้าไว้คืออะไร ผมไม่ทราบตัวเลข ที่ผมทราบก็คือ อินเดียเคยพึ่งพาโซเวียดและรัสเซียอย่างมาก ทศวรรษแรกของศตวรรษนี้อินเดียพึ่งพาโซเวียดเกือบร้อยละ 60 ตอนนี้เหลือแค่ร้อยละ 40 เวลาเดียวกันอินเดียพึ่งพาสหรัฐฯ ร้อยละ 4-5 ตอนนี้ก็น่าจะมาถึงร้อยละ 25 แล้ว ที่เหลือก็มีอิสราเอล มีญี่ปุ่นด้วย

อาจารย์บอกว่า “อุดมการณ์ไม่สำคัญเท่ากับผลประโยชน์แห่งชาติ” ทำไมไบเดนใช้เวลานานกว่าจะเชิญโมดีมาเยือนสหรัฐฯ แบบ State Visit ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์

นี่เป็นคำถามที่ดีมาก เวลาสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีก็ต้องใช้เวลาบ้าง และสหรัฐฯ คงประเมินแล้วว่านายโมดีหรือพรรคภารตียาชนตาต้องกลับมาครองอำนาจอีกอย่างแน่นอน

อีกอย่างสหรัฐฯ ในช่วงแรกก็ค่อนข้างจะสะดุ้งกับอินเดีย เพราะอินเดียไม่ร่วมประณามการกระทำของรัสเซียในการบุกยูเครน มาตอนนี้สหรัฐฯ คงทราบแล้วว่า อินเดียไม่มีทางจะเปลี่ยนจุดยืนในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเพราะหลักนโยบายการต่างประเทศของอินเดีย หรือเพราะอินเดียยังพึ่งพารัสเซียด้านอาวุธ ตรงนี้ต้องยอมรับว่า อินเดียแน่วแน่มากที่จะไม่เปลี่ยนจุดยืน เพราะอินเดียคำนึงผลประโยชน์แห่งชาติของตน ซึ่งรวมถึงการซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียด้วย

อาจารย์มองว่าอินเดียได้ประโยชน์สูงสุดจากการที่ไม่ประณามรัสเซียในการบุกยูเครน

ใช่ครับ ภาวะวิกฤตการณ์ทุกครั้งมีคนได้ประโยชน์ ผมมองว่า ท่ามกลางเหตุการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครน อินเดียได้รับประโยชน์มากสุด อินเดียเป็นเพื่อนคุณได้ อินเดียมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณได้ โดยไม่ต้องไปประณามรัสเซีย และวันนี้สหรัฐฯ ได้กลายเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของอินเดียแล้ว

ขณะเดียวกันจีนก็เริ่มรู้สึกได้ว่า อินเดียที่ไม่ทำตามสหรัฐแต่ประการเดียวในการประณามรัสเซีย ย่อมหมายถึงอินเดียที่จีนจะเข้าไปมีความสัมพันธ์ได้ด้วย

ในเดือนมีนาคม 2023 หวัง อี้ (Wang Yi) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนคนแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ที่เดินทางเยือนอินเดีย ซึ่งเขาได้กล่าวอะไรต่อมิอะไรไว้หลายประเด็นอันบ่งบอกถึงการเกี้ยวพาราสีอินเดีย เช่น “หากทั้งสองประเทศจับมือกัน โลกทั้งโลกจะให้ความสนใจ” เขากล่าว ในช่วงก่อนการเยือนด้วยผ่านหนังสือพิมพ์ Global Times ซึ่งเป็นกระบอกเสียงภาษาอังกฤษของพรรคคอมมิวนิสต์จีนถึงความต้องการที่จะประนีประนอมอย่างผิดปกติ โดยเขียนว่า “จีนและอินเดียมีความสนใจร่วมกันในหลายด้าน ตัวอย่างเช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตะวันตกชี้นิ้วไปที่อินเดียที่มีรายงานว่ากำลังพิจารณาซื้อน้ำมันของรัสเซียในราคาที่มีส่วนลด แต่นี่เป็นสิทธิอันชอบธรรมของอินเดีย”

การเยือนครั้งนี้มีประเด็นอะไรอีกนอกเหนือจากเรื่องเทคโนโลยีและกลาโหม

มีครับ แต่ขอขยายความเรื่องเทคโนโลยีและที่คละกับกลาโหมด้วยว่า อินเดียไม่ต้องการการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเดียว ในครั้งนี้อินเดียพูดเรื่องการศึกษาและศักยภาพในการผลิตภายในประเทศด้วย ตรงนี้ถ้าแปลออกมาเป็นศัพท์ภาษาที่เข้าใจง่ายคือ การเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการผลิตเทคโนโลยีเพื่อนวัตกรรม ซึ่งตรงนี้จะสัมพันธ์กับการศึกษา การวิจัยและพัฒนา ฯลฯ

สำหรับประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเยือนครั้งนี้ มีเรื่องที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจด้วย ผมคิดว่าสหรัฐฯ ตระหนักแล้วว่าจีนรุดหน้าอย่างรวดเร็วด้านเทคโนโลยี ดังนั้นแทนที่จะไปตีกรอบจีนหรือยับยั้งจีน ไปร่วมมือกับอินเดียดีกว่า เพราะไม่งั้นเมื่อจีนทำได้มากกว่านี้อาจจะส่งผลต่อสหรัฐฯ ได้ ก่อนหน้านี้ก็ร่วมมือกันยกใหญ่เรื่อง semiconductor พร้อมกับเทคโนโลยีก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ ซึ่งอินเดียก็ต้องการอย่างยิ่งด้วย โมดีได้พบกับซีอีโอหลายคน แม้จะเป็นบรรษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ แต่ผู้บริหารเป็นอินเดียหลายคนเลย

ที่เห็นอีกคืออีลอน มัสก์ (Elon Musk) แห่งเทสลา (Tesla) ได้พบกับโมดีในนิวยอร์กเพื่อหารือเกี่ยวกับการลงทุนรถ EV ในอินเดีย คือความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศ

สรุปเอกสารแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย

(1) เป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดสนิทสนมมากที่สุดประเทศหนึ่ง
(2) เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์
(3) เน้นความร่วมมือด้านอวกาศ
(4) ระบบโทรคมนาคมที่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ว่าด้วย 5G/6G
(5) Quantum Economic Development Consortium เพื่อลดอุปสรรคต่อความร่วมมือและการประสานงานด้านวิจัยระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ
(6) การทำงานร่วมกันด้านวิจัยเชิงนวัตกรรมโดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ และอื่น ๆ
จริง ๆ แล้วมีทั้งหมด 56 ย่อหน้าด้วยกัน
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ