เพลง Bharat Humko Jaan Se Pyara Hai
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Roja ฉายในปี ค.ศ. 1992 เป็นภาพยนตร์ฮินดีกำกับโดยมณิรัตนัม (Mani Ratnam) เพลงนี้ขับร้องโดยเอ.อาร์. เราะห์มาน (A.R. Rahman) และหริหรัณ (Hariharan)
เพลง Bharat Humko Jaan Se Pyara Hai
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Roja ฉายในปี ค.ศ. 1992 เป็นภาพยนตร์ฮินดีกำกับโดยมณิรัตนัม (Mani Ratnam) เพลงนี้ขับร้องโดยเอ.อาร์. เราะห์มาน (A.R. Rahman) และหริหรัณ (Hariharan)
ที่เลือกพูดหัวข้อนี้เพราะว่า เวลาที่นายกรัฐมนตรีอินเดีย นายนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) เดินทางไปต่างประเทศ มักจะมีรายการหนึ่งอยู่ในกำหนดการ รายการที่ว่านี้คือการปราศรัยต่อชาวอินเดียที่ไปอยู่ต่างแดน
ล่าสุดที่ไปออสเตรเลียกับสหรัฐอเมริกา โมดีก็มีรายการพูดคุยกับชาวอินเดียที่อพยพไปอยู่ที่ออสเตรเลียและสหรัฐฯ
วันนี้ก่อนอื่นใดต้องขอขอบคุณ The Economist สื่อสำคัญแห่งหนึ่ง ที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจ รายการของเราขอขอบคุณ The Economist เพราะข้อมูลจำนวนมากที่เรานำมาใช้ในวันนี้มาจากสื่อแห่งนี้
อินเดียในฐานะที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ประมาณ 1,400 ล้านคน มีชาวอินเดียที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศจำนวนมาก และชาวอินเดียเหล่านี้ก็ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จมาก
ตรงนี้เราอาจจะต้องอธิบายก่อนว่า คำว่า “ผู้อพยพไปต่างแดน” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Migrant” ไม่ได้ใช้คำว่า “Diaspora” หรือ “Overseas” ซึ่งมักจะแปลว่า “โพ้นทะเล”
เหตุที่เลือกใช้คำว่า “ผู้อพยพไปต่างแดน” แทนคำว่า “โพ้นทะเล” ก็เพราะว่า ข้อมูลและตัวเลขที่ The Economist ได้ให้ไว้นั้นเป็นของผู้อพยพไปต่างแดน ซึ่งนำมาจากการประมาณการณ์ของสหประชาชาติในปี ค.ศ. 2020
รายการของเราขอนิยามคำว่า “ผู้อพยพไปต่างแดน” หรือ “Migrant” ว่า เป็นผู้คนที่ย้ายออกจากประเทศของตนไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อหางานทำ เพื่อตั้งรกรากถิ่นฐาน ฯลฯ
คำว่า “Diaspora” หรือ “โพ้นทะเล” จะหมายถึงผู้คนที่ยังรู้สึกมีวัฒนธรรมร่วมกับประเทศหรือถิ่นกำเนิด ตรงนี้ต้องขอบอกให้ท่านผู้ฟังทราบด้วยว่า การนับผู้คนที่อพยพไปอยู่ต่างแดนนั้นไม่ง่าย แต่ง่ายกว่าการนับผู้คนที่เรียกว่า “โพ้นทะเล”
อย่างไรก็ตาม ใคร่แจ้งให้ท่านผู้ฟังทราบว่า The Economist รายการของเราใช้สองคำนี้ในลักษณะเป็นคำเดียวกัน คือสลับไปสลับมา
กราฟที่ว่ามีข้อมูลของทั้งหมด 10 ประเทศ และ The Economist นำมาจากการประมาณการณ์ของสหประชาชาติเมื่อปี ค.ศ. 2020
อินเดียมีผู้อพยพไปต่างแดนมากที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 ที่ The Economist ได้ให้ไว้อีกคือ ในจำนวนผู้อพยพไปต่างแดนทั้งหมดประมาณ 281 ล้านคนนั้น มีชาวอินเดียประมาณ 18 ล้านคน ที่ The Economist ยืนยันอีกคือ ชาวอินเดียน่าจะเป็นกลุ่มคนผู้อพยพไปต่างแดนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
ผู้อพยพย้ายถิ่นมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับมาตุภูมิของตนมากกว่าลูกหลานที่เกิดในต่างแดน ดังนั้นจึงสร้างความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างบ้านที่รับเลี้ยงบุตรบุญธรรมกับบ้านเกิด
ในปี 2565 การส่งเงินเข้าของชาวอินเดียต่างแดนมากถึง 108,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP นี่ถือว่ามากกว่าประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ชาวอินเดียต่างแดนมีการติดต่อสื่อสาร มีทักษะทางภาษา และมีความรู้ ช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดนด้วย
คนหนุ่มสาวอินเดียนิยมไปตะวันออกกลาง เพราะงานก่อสร้างและงานต้อนรับที่มีทักษะต่ำจะได้รับค่าตอบแทนที่ดีกว่า
ที่อินเดียส่งออกคนมากมายได้มากส่วนหนึ่งก็เพราะมีคนหนุ่มสาวจำนวนมาก และมีการศึกษาระดับสูงที่มีคุณภาพ ความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษของชาวอินเดียน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากการปกครองในยุคอาณานิคมของอังกฤษก็ช่วยได้ไม่น้อยเช่นกัน
The Economist กล่าวด้วยว่า “ในขณะที่จำนวนประชากรของอินเดียเพิ่มขึ้นในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้า ผู้คนในอินเดียจะยังคงย้ายไปต่างประเทศเพื่อหางานทำและหลีกหนีจากความร้อน”
กฎการข้ามแดนของประเทศมั่งคั่งเล็งไปยังผู้สำเร็จการศึกษาที่สามารถทำงานในวิชาชีพที่มีความต้องการสูง เช่น การแพทย์ เทคโนโลยีสารสนเทศ
ในปีที่แล้ว วีซ่า h-1b ของอเมริกา สำหรับแรงงานฝีมือใน “อาชีพพิเศษ” เช่น นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ร้อยละ 73 ที่ได้รับอนุมัติวีซ่าประเภทนี้คือผู้ที่เกิดในอินเดีย
The Economist ชวนพิจารณาข้อค้นพบของบทความที่จะตีพิมพ์เร็ว ๆ นี้ในวารสารชื่อ Journal of Development Economics เขียนโดย ปฤถวิราช จอธุรี (Prithwiraj Choudhury) จาก Harvard Business School อินา คังคุลี (Ina Ganguli) จาก University of Massachusetts Amherst และแพทริก โกล (Patrick Gaule) จาก University of Bristol
การศึกษาที่ว่านี้ศึกษานักเรียนที่สอบเข้าสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดียที่มีการแข่งขันสูงในปี ค.ศ. 2010 ซึ่งเป็นโรงเรียนวิศวกรรมชั้นนำของประเทศ แปดปีต่อมา นักวิจัยพบว่า 36% ของผู้มีผลการเรียนสูงสุด 1,000 คนได้อพยพไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่ไปสหรัฐฯ
การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งศึกษาจากร้อยละ 20 ที่นับว่าสุดยอดของนักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ พบว่าร้อยละ 8 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในอินเดีย
ในอเมริกา เกือบร้อยละ 80 ของประชากรที่เกิดในอินเดียเกินวัยเรียนมีวุฒิการศึกษาอย่างน้อยในระดับปริญญาตรี ตามข้อมูลของฌาน บาตาโลวา (Jeanne Batalova) ที่สังกัด Migration Policy Institute
โจเซฟ นาย (Joseph Nye) ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย (Harvard) ผู้บัญญัติศัพท์ “Soft Power” ให้ข้อคิดในเรื่อง Soft Power ว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติจากการปรากฏตัวของผู้อพยพเท่านั้น “แต่ถ้าคุณมีผู้อพยพที่ประสบความสำเร็จและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศที่พวกเขาอพยพมา นั่นจะช่วยประเทศบ้านเกิดของพวกเขาได้” กล่าวด้วยว่า “อินเดียมีคนที่ยากจนมากจำนวนไม่น้อย แต่พวกเขาไม่ใช่คนที่เดินทางมายังสหรัฐฯ”
ผู้อพยพชาวอินเดียค่อนข้างร่ำรวยแม้ในประเทศที่พวกเขาย้ายไปอยู่ พวกเขาเป็นกลุ่มผู้อพยพที่มีรายได้สูงสุดในสหรัฐฯ โดยมีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยเกือบ 150,000 ดอลลาร์ต่อปี นั่นคือสองเท่าของค่าเฉลี่ยของประเทศ
ในออสเตรเลียรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยของผู้อพยพชาวอินเดียอยู่ที่ประมาณ 85,000 เหรียญสหรัฐต่อปี เทียบกับค่าเฉลี่ยประมาณ 60,000 เหรียญสหรัฐในทุกครัวเรือน
การศึกษาชิ้นหนึ่งที่ The Economist อ้างถึงระบุว่า ผู้บริหารระดับสูง 25 คนของบริษัท s&p 500 ที่มีเชื้อสายอินเดีย เพิ่มขึ้นจาก 11 บริษัทเมื่อทศวรรษที่แล้ว เมื่อพิจารณาจากผู้บริหารที่มาจากอินเดียจำนวนมากในตำแหน่งอาวุโสอื่น ๆ ในบริษัทเหล่านี้ ตัวเลขดังกล่าวก็น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อไม่นานมานี้ชาวอินเดียในต่างประเทศเริ่มได้รับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วิโนด โขสลา (Vinod Khosla) ผู้ร่วมก่อตั้ง Sun Microsystems เล่าว่า เป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการชาวอินเดียในการหาเงินในอเมริกาช่วงทศวรรษ 1980 เขากล่าวว่า “คุณเป็นคนที่มีสำเนียงตลกและชื่อที่ออกเสียงยาก และคุณต้องผ่านมาตรฐานที่สูงขึ้น” เขากล่าวว่า ปัจจุบัน Adobe, Alphabet, Google, ibm และ Microsoft ล้วนมีผู้นำโดยคนเชื้อสายอินเดีย อชัย ภังคะ (Ajay Banga) เกิดที่เมืองปูเณ (Pune) ในอินเดีย ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำธนาคารโลกเมื่อเดือนที่แล้วหลังจากบริหาร MasterCard มานานกว่าทศวรรษ คณบดีของคณะบริหารธุรกิจชั้นนำสามในห้าแห่ง รวมถึง Harvard Business School ก็มีเชื้อสายอินเดียเช่นกัน
ในโลกของนโยบายและการเมือง ชาวอินเดียที่อพยพมาก็เจริญรุ่งเรืองไม่น้อยเช่นกัน นักวิจัยสังกัด Johns Hopkins University นับคนเชื้อสายอินเดียได้ทั้งหมด 19 คนที่อยู่ในสภาล่างของอังกฤษ รวมทั้งนายกรัฐมนตรี Rishi Sunak ด้วย สหรัฐฯ มี 5 คนในสภาคองเกรส ออสเตรเลียมี 6 คน
The Economist เปรียบเทียบผู้อพยพอินเดียกับจีนตลอดบทความ ทว่ามีตอนหนึ่งที่ชวนนึกคิดต่อคือ ผู้อพยพเชื้อสายจีนทำได้ค่อนข้างดีในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ถ้าพูดถึงอเมริกาเหนือและยุโรปแล้ว กลับกลายเป็นผู้อพยพเชื้อสายอินเดีย
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ