วันที่ 8 กรกฎาคม 2566
เพลง Jeete Hain Chal (ออกไปใช้ชีวิตกัน)
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ปี 2016 ชื่อ “Neerja” ซึ่งสร้างขึ้นจากชีวประวัติของนีรชา ภโนต (Neerja Bhanot) พนักงานบนเครื่องบิน ผู้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่ถูกจี้ (ไฮแจ็ก) ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยโสนัม กะปูร์ (Sonam Kapoor) ผู้รับบทบาทเป็นนีรชา กำกับโดย ราม มาธวานี (Ram Madhvani) บทเพลงข้างต้นขับร้องโดยกวิตา เสฐ (Kavita Seth)
ความโดดเด่นข้อหนึ่งของเพลงนี้ ซึ่งเป็นที่ติดหูและจับใจผู้ฟังมากเป็นพิเศษ คือเพลงนี้เริ่มต้นและจบด้วยบทสวดทางศาสนาฮินดูที่ชื่อว่า มหามฤตยุญชัยมันตระ เป็นบทสวดอ้อนวอนรุทรเทพ กล่าวคือพระศิวะให้ปกปักรักษาจากความตายอันยังไม่สมควรแก่เวลา ซึ่งมีนัยสำคัญเกี่ยวข้องกับประวัติชีวิตของนีรชา ภโนต เพราะเธอเสียชีวิตในขณะที่มีอายุยังไม่ทันครบ 23 ปีเท่านั้น
________
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณแฟนรายการ คือคุณไพบูลย์ ที่กรุณาจุดประกายให้เกิดหัวข้อในวันนี้ รายการปกิณกะอินเดียย่อมไม่สามารถคงอยู่ได้โดยปราศจากผู้ฟัง ความเห็นและคำถามของผู้ฟังทุกท่านจึงมีค่าอย่างยิ่ง เราจะยินดีมากถ้าทุกคนช่วยกันเสนอว่าอยากฟังอะไร เพราะเรื่องราวที่เรานำมาเสนอในแต่ละสัปดาห์ริเริ่มจากหัวสมองของพวกเราเพียงสองคน บางทีเราอาจจะนึกไม่ถึงบางเรื่องที่ท่านอยากฟังก็ได้
นอกจากเสนอแนะหัวข้อแล้ว คุณไพบูลย์ยังถามคำถามสืบเนื่องจากรายการปกิณกะอินเดียสัปดาห์ที่แล้ว เกี่ยวกับชาวอินเดียโพ้นทะเล ซึ่งเราจะขอตอบคำถามนี้ก่อน กล่าวคือคุณไพบูลย์ฟังแล้วเกิดสงสัยขึ้นมาว่า รัฐบาลอินเดียมีการใช้ประโยชน์กลุ่มชาวอินเดียโพ้นทะเล ในด้านการข่าวหรือไม่อย่างไร โดยเปรียบเทียบกับรัฐบาลอิสราเอล (อาจารย์สุรัตน์ตอบคำถาม)
เรื่องราวของเธอเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จี้เครื่องบินแพนแอมสาย 73 เมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1986 โดยผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์กลุ่มที่ชื่อว่าองค์กร อบู นิฎอล (Abu Nidal Organization) นีรชา ภโนตในฐานะหัวหน้าเที่ยวบิน (Purser) ได้สละชีพปกป้องผู้โดยสาร วีรกรรมของเธอยังเป็นที่ระลึกถึงตราบเท่าทุกวันนี้
นีรชา ภโนต เกิดวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1963 ในจัณฑีคัรห์ (Chandigarh) ซึ่งเป็นดินแดนสหภาพที่มีพรมแดนติดกับมลรัฐปัญจาบ (Punjab) และมลรัฐหรยาณา (Haryana) ทางตอนเหนือของอินเดีย เธอเติบโตขึ้นมาในบอมเบย์ (Bombay) หรือที่ปัจจุบันเรียกว่ามุมไบ (Mumbai) มลรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) ในตระกูลพราหมณ์ฮินดูปัญจาบตระกูลหนึ่งที่ชื่อว่า ภโนต ซึ่งจัดอยู่ในพวกสรัสวัตพราหมณ์ มีชื่อเสียงในทางการรบทัพจับศึกและการปกครองมาตั้งแต่สมัยโบราณ พ่อของเธอชื่อ หริศ (Harish) ภโนต มีอาชีพเป็นนักหนังสือพิมพ์อยู่ในเมืองบอมเบย์ ส่วนแม่ชื่อ รมา (Rama) ภโนต เธอเป็นลูกสาวคนสุดท้อง พี่ชายอีกสองคนคือ อขิล (Akhil) และ อนีศ (Aneesh)
นีรชาได้รับการศึกษาระดับประถมและมัธยมต้นที่โรงเรียนมัธยมซาเคร็ดฮาร์ทซีเนียร์ (Sacred Heart Senior Secondary School) ในจัณฑีคัรห์บ้านเกิดของเธอ จากนั้นเมื่อครอบครัวของเธอย้ายไปบอมเบย์ เธอก็ไปศึกษาต่อระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนบอมเบย์สก็อตติช (Bombay Scottish School) และศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่วิทยาลัยเซนต์ซาเวียร์สบอมเบย์ (St. Xavier’s College, Bombay)
นีรชาในวัยสาวสะพรั่งเป็นเด็กสาวที่มีรูปโฉมงดงาม นิสัยร่าเริงเป็นมิตร ชอบช่วยเหลือคน มีความเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น เรียกได้ว่างามทั้งรูปโฉมงามทั้งน้ำใจ ในวันหนึ่งตอนที่เธออายุได้ 18 ปี เธอเดินอยู่นอกรั้ววิทยาลัยของเธอในบอมเบย์ ทันใดนั้นก็มีช่างภาพคนหนึ่งรู้สึกสะดุดตาในบุคลิกสง่างามของเธอ จึงเข้ามาทาบทามขอถ่ายรูปเธอเพื่อไปทำโฆษณา พอโฆษณาชิ้นนั้นได้รับการตีพิมพ์ ก็มีร้านสะดวกซื้อในท้องถิ่นร้านหนึ่ง ชื่อร้าน ปาวิลล์ (Paville) ได้ติดต่อเธอไปถ่ายแบบอีกชุดหนึ่งเพื่อโฆษณาร้าน ตั้งแต่นั้นมาใบหน้าของเธอก็ไปปรากฏอยู่ตามโฆษณาอีกหลายชิ้น และนิตยสารอีกหลายฉบับ
หลังจากเรียนจบจากวิทยาลัยไม่นานนัก ในเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 1985 นีรชาก็ตัดสินใจเข้าพิธีวิวาห์แบบคลุมถุงชนกับชายคนหนึ่งและเดินทางไปอาศัยอยู่ด้วยกันที่อ่าวเปอร์เซีย ซึ่งขออภัยที่ค้นไม่พบว่านายคนนี้ชื่อเสียงเรียงไร แต่เท่าที่รู้ก็คือ เขาเป็นสามีที่แย่มาก เพราะปรากฏว่าเขาแต่งงานเพื่อหวังสินสอด ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกพ่อแม่ของนีรชาก็ตกลงกับเขาไว้แล้วว่าจะเป็นวิวาห์ปราศจากสินสอด ดังนั้นครอบครัวสามีนีรชาจึงทำร้ายเธอทั้งด้วยวาจาและกำลัง เพื่อจะบีบเอาสินสอดให้ได้
นีรชาตัดสินใจผละจากความสัมพันธ์อันเลวร้าย จึงมีอันต้องแยกทางกับสามีหลังจากแต่งงานเพียงสองเดือนเท่านั้น นีรชาเดินทางย้อนกลับมาบอมเบย์อีกครั้ง และครั้งนี้เรื่องรักเธอขอพักไว้ก่อน ขอมุ่งมั่นทำตนให้ประสบความสำเร็จและก้าวหน้าในอาชีพการงานแต่เพียงอย่างเดียว
หลังจากนั้นด้วยความสวยงามและความมั่นใจในตนเอง เธอก็สามารถพาตนไปปรากฏตามโฆษณาหลายชิ้นทั้งทางโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ เธอถ่ายโฆษณาให้สินค้าต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง เช่นผ้าส่าหรี ยาสีฟัน ผงซักฟอก ครีมประทินผิว เป็นต้น
ในปี ค.ศ. 1985 สายการบินแพนแอมซึ่งเป็นสายการบินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในเวลานั้นก็เปิดรับสมัครลูกเรือชาวอินเดียล้วนสำหรับเส้นทางอินเดีย-แฟรงค์เฟิร์ต นีรชารีบไปสมัครงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แม้ว่าจะมีผู้สมัครกว่า 10,000 คน แต่เธอก็ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ในจำนวน 80 ตำแหน่งอย่างง่ายดาย
เธอถูกส่งไปฝึกงานที่ไมอามี ด้วยบุคลิกและความสามารถเป็นที่ประทับใจครูฝึก ทำให้เธอได้รับตำแหน่งหัวหน้าเที่ยวบินหรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า เพอเซอร์ (Purser) ที่มาของชื่อตำแหน่งนี้มาจากการที่ลูกเรือคนหนึ่งต้องได้รับหน้าที่ดูแลกระเป๋าเงินสำหรับเที่ยวบินนั้น เพราะสมัยแรก ๆ มีการเก็บเงินสดเป็นค่าโดยสาร กล่าวอีกนัยก็คงเรียกได้ว่าเป็นเหรัญญิกเที่ยวบิน ซึ่งต่อมาหน้าที่ของเพอเซอร์ก็ขยายออกไปเป็นดูแลจิปาถะ เรียกได้ว่าเป็นหัวหน้าคุมพนักงานต้อนรับในเที่ยวบินนั้น ฉะนั้นการที่นีรชา ภโนตในวัย 22 ปีได้รับตำแหน่งเพอเซอร์ ต้องกล่าวว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอเข้ามาทำงานกับแพนแอมได้ไม่นาน วันแห่งโศกนาฏกรรมก็มาถึง คือวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1986
เหตุการณ์ย่อ ๆ ในวันนั้นคือ ขณะที่เที่ยวบินแพนแอมสาย 73 ซึ่งเดินทางมาจากบอมเบย์ กำลังจอดพักอยู่บนลานจอดที่สนามบินนานาชาติจินนาห์ที่เมืองการาจี ปากีสถาน ก่อนจะเตรียมบินต่อไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยผู้โดยสารและลูกเรือรวมกันเกือบ 400 คน ทันใดนั้นก็มีผู้ก่อการร้ายในคราบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินจำนวน 4 คน อาวุธครบมือ บุกเข้ามาในตัวเครื่องพร้อมกับยิงขู่ สร้างความแตกตื่นโกลาหลให้แก่เที่ยวบิน
สำหรับเรื่องราวของผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ หลายแหล่งให้ข้อมูลไว้แตกต่างกัน บ้างก็ว่าจะจี้เครื่องบินไปไซปรัสเพื่อช่วยผู้ถูกคุมขังชาวปาเลสไตน์ที่คุกไซปรัส บ้างก็ว่าจะจี้เครื่องบินไปอิสราเอลเพื่อนำเครื่องบินไปชนตึก แต่ที่ทุกแหล่งให้ข้อมูลตรงกันก็คือพวกเขาเป็นสมุนองค์กร อบู นิฎอล (ANO) ที่ได้รับการสนับสนุนจากลิเบีย องค์กรที่ว่านี้ก่อตั้งโดย ซาบรี คาลิล อัล บันนาห์ หรือนามแฝงว่า อบู นิฎอล เป็นผู้นำซ้ายจัดของกลุ่มพันธมิตรต่อต้านยัสเซร์ อะเราะฟาต (Yasser Arafat)
ทันทีที่เกิดเหตุ นีรชา ภโนตในตำแหน่งเพอเซอร์รีบแจ้งเข้าไปยังห้องนักบินได้ทันท่วงที ทำให้นักบิน ผู้ช่วยนักบิน และช่างเครื่องหลบหนีเล็ดรอดออกไปทางช่องเปิดด้านบนห้องนักบินได้สำเร็จ เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับนีรชาคือผู้รับผิดชอบเที่ยวบินนั้น เพราะเธอมีตำแหน่งสูงสุดเท่าที่ยังเหลืออยู่ในบรรดาลูกเรือ แน่นอนบรรดาผู้ก่อการร้ายหงุดหงิดอย่างยิ่งเพราะเมื่อนักบินหนีออกไปหมด เครื่องก็ไม่อาจขึ้นบินได้ และเนื่องจากผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นกำลังมุ่งเป้าไปยังการคุกคามสหรัฐอเมริกา จึงจับเอาผู้โดยสารคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียมายิงทิ้งโยนลงไปบนลานจอดเครื่องบิน จากนั้นก็บังคับให้นีรชา ภโนตเก็บรวมรวมพาสปอร์ตทุกคนมาให้ดู
ผู้โดยสารบนเครื่องมีหลากหลายเชื้อชาติ แต่นีรชารู้ดีว่าพวกมันต้องการคุกคามอเมริกาเป็นพิเศษ ขณะนั้นเหลือชาวอเมริกันบนเครื่องอีก 43 คน นีรชารีบซ่อนพาสปอร์ตของผู้โดยสารบางส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นชาวอเมริกัน ทุกคนบนเครื่องตกเป็นตัวประกันของผู้ก่อการร้ายคณะนี้รวมเป็นเวลา 17 ชั่วโมง ก่อนที่พวกมันจะเริ่มคลั่ง และจากนั้นจึงเริ่มกราดยิง นีรชา ภโนต รีบเปิดประตูฉุกเฉินบานหนึ่ง และแม้ว่าเธอจะสามารถกระโดดออกจากเครื่องเป็นคนแรก เธอกลับเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น เธอพยายามลำเลียงผู้โดยสารออกจากเครื่องด้วยความกล้าหาญและรับผิดชอบต่อหน้าที่ และนั่นเป็นเหตุให้เธอถูกผู้ก่อการร้ายสังหาร ผลสรุปจากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 20 คน
หนึ่งในผู้รอดชีวิตให้การเกี่ยวกับมรณกรรมของนีรชาไว้ว่า “เธอกำลังลำเลียงผู้โดยสารไปยังทางออกฉุกเฉิน ตอนนั้นผู้ก่อการร้ายกำลังกราดยิงเป็นระยะด้วยความกลัวว่าจะถูกหน่วมคอมมานโดจู่โจม พวกมันเหลือบเห็นนีรชากำลังกุลีกุจอช่วยเหลือเด็กสามคนที่ไม่ได้อยู่กับผู้ใหญ่ รวมทั้งผู้โดยสารอื่น ๆ อีกมาก และแล้วในตอนนั้นเองพวกมันก็ฉวยผมเธอไว้แล้วจ่อยิงเธอในระยะเผาขน”
นีรชา ภโนตเสียชีวิตทั้ง ๆ ที่อีกเพียง 25 ชั่วโมงก็จะถึงวันเกิดครบรอบ 23 ปีของเธอ
หลังจากมรณกรรม ในปี ค.ศ. 1987 เธอได้รับเหรียญอโศกจักระ (Ashoka Chakra) เหรียญกล้าหาญระดับสูงสุดของกองทัพอินเดียที่มอบให้เป็นเกียรติยศแก่วีรกรรมหรือการอุทิศตนอย่างกล้าหาญในช่วงที่ปราศจากสงคราม ซึ่งมีศักดิ์เทียบเท่ากับเหรียญบรมวีรจักระ (Param Vir Chakra) ในยามสงคราม และมีศักดิ์สูงกว่าปัทมวิภูษัณที่เป็นรางวัลพลเรือนอันดับ 2
นอกจากนี้ในปีเดียวกันเธอยังได้รับรางวัลนิชานเอปากีสถาน (Nishan-e-Pakistan) ซึ่งเป็นรางวัลพลเรือนอันดับสูงสุดของปากีสถาน โดยส่วนใหญ่ผู้ได้รับมักเป็นบุคคลระดับประมุขของประเทศ และน่าสังเกตด้วยว่า นอกจากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 นีรชา ภโนตเป็นสตรีคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้
นีรชา ภโนตยังคงได้รับรางวัลหลังมรณกรรมอีกหลายรางวัล และเมื่อเร็ว ๆ นี้คือปี ค.ศ. 2016 เธอก็ได้รับรางวัลภารัตเคารพ (Bharat Gaurav) ในรัฐสภาอังกฤษ ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์เรื่อง “นีรชา” ออกฉาย ส่งผลให้โสนัม กะปูร์ผู้รับบทนีรชา ได้รับรางวัลเกียรติยศในปี ค.ศ. 2017 และถัดมาในปี ค.ศ. 2018 มหาวิทยาลัยปัญจาบก็ตั้งหอพักนีรชา ภโนตขึ้นในวิทยาเขตจัณฑีคัรห์ รองรับนักศึกษาหญิงกว่า 350 คน
ครอบครัวของเธอก็มีบทบาทในการประกาศเกียรติคุณเธอเช่นกัน พ่อแม่ของเธอได้จัดตั้งกองทุนนีรชา ภโนตขึ้นเพื่อมอบรางวัลให้สตรีที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมของสังคมหรือช่วยเหลือสตรีผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก ทั้งสองมีชีวิตอยู่มายาวนานหลังลูกสาวจากไป หริศผู้พ่อถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 2008 และรมาผู้แม่ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 2015 ต่างก็มีสิริอายุ 86 ปี ส่วนอนีศพี่ชายคนรองผลิตหนังสือออกมาสองเล่มเพื่อระลึกถึงน้องสาวคนสุดท้องของเขา
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ เด็กชายคนหนึ่งซึ่งมีอายุ 7 ขวบในขณะอยู่ในเหตุการณ์จี้เครื่องบินและรอดชีวิตมาได้เพราะนีรชา ภโนตเอาตัวเข้าบังกระสุนให้เขานั้น ขณะนี้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นนักบินของสายการบินแห่งหนึ่ง และเขายังคงจดจำว่าตนเองเป็นหนี้ชีวิตของนีรชา ภโนตมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ