เพลง Khaike Paan Banaras Wala
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Don ฉายในปี ค.ศ. 1978 กำกับโดยจันทรา พโรต (Chandra Barot) นำแสดงโดยอมิตาภ พัจจัน (Amitabh Bachchan) ซีนัต อะมาน (Zeenat Aman) และ ปราณ (Pran) เพลงนี้ขับร้องโดย กิโศร กุมาร (Kishore Kumar)
เพลง Khaike Paan Banaras Wala
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Don ฉายในปี ค.ศ. 1978 กำกับโดยจันทรา พโรต (Chandra Barot) นำแสดงโดยอมิตาภ พัจจัน (Amitabh Bachchan) ซีนัต อะมาน (Zeenat Aman) และ ปราณ (Pran) เพลงนี้ขับร้องโดย กิโศร กุมาร (Kishore Kumar)
วันนี้รู้สึกดีใจมาก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ไปบรรยายหลายแห่ง มีอยู่แห่งหนึ่งที่ไปบรรยายแล้ว มีคนเข้ามาทักผม ถามผมว่า อาจารย์คือผู้เขียนเรื่องโรมแรมตาชฯ ใช่ไหมครับ ผมก็ตอบว่าใช่ ผมอ่านทุกเรื่องที่ลงเพจภารัต-สยามเลยครับ ชอบทุกบทความ แต่ที่สนใจมากคือเรื่องกินเรื่องเที่ยว ชอบเรื่องหมากพลูในวัฒนธรรมอินเดีย ชอบเรื่องโรงแรมตาชฯ ฯลฯ คุยกันได้สักพัก เขาบอกว่าเขาชื่อโชติ คุณโชติแนะนำผมให้นำเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขียนไว้ มาเล่าให้ฟังเป็นเสียงด้วยได้ไหม เพราะมีหลายคนไม่อยากอ่านอะไรยาว ๆ มีผู้สูงอายุด้วยที่ไม่อาจจ้องจออ่านอะไรยาว ๆ ได้ ผมเลยบอกคุณโชติว่า เรามีรายการวิทยุปกิณกะอินเดีย ออกอากาศทุกวันเสาร์ผ่านวิทยุจุฬาฯ อีกวันที่ผมไปบรรยายที่เดิมเพราะเป็นการอบรม 2 วัน คุณโชติบอกว่าแทบจะไม่ได้นอนเลย เพราะเปิดฟังรายการของเราย้อนหลังหลายตอน ในวันที่สองคุณโชติบอกว่า อาจารย์ยังไม่เคยจัดรายการเรื่องโรงแรมตาชฯ เลย วันนี้ก็เลยจัดให้ เผื่อคุณตาของคุณโชติจะได้ฟังเรื่องโรงแรมตาชฯ ด้วย
อีกหนึ่งวันหลังจากบรรยายอบรมเสร็จ ก็มีคนมาทักผมที่ห้างแห่งหนึ่งแถวถนนสุขุมวิท 71 น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ถามชื่อ แต่เธอบอกว่าชอบฟังรายการปกิณกะอินเดีย อยากให้ผมเล่าเรื่อง อมิตาภ พัจจัน ในเชิงประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจการเมือง และสังคมอย่างผสมผสาน ผมเลยตอบกลับไปว่า ยินดี แต่ขอเวลาสักพักหนึ่ง เพราะแต่ละครั้งที่เราทำรายการกัน ก็ต้องเตรียมข้อมูลความรู้ให้แม่นยำที่สุด เพราะเราผู้จัดรายการนี้ใคร่เห็นรายการนี้เป็นรายการที่สร้างสรรค์ ไม่พูดเท็จ อันไหนรู้ ก็รู้ อันไหนไม่รู้ ก็ไม่รู้ อันไหนตีความ ก็จะมีศัพท์ภาษาบ่งบอกอย่างขัดเจนว่า เป็นการตีความเท่านั้น
เราทั้งสองขอขอบคุณคุณโชติ และคุณผู้หญิงที่ผมลืมถามชื่อ และวันนี้ก็ขอเปิดเพลงที่ Amitabh Bachchan แสดงร้องเพลงและเต้นได้อย่างน่าประทับใจยิ่ง สำหรับคุณโชติ ก็ขอนำเรื่องโรงแรมตาชฯ มาเล่าให้ฟังใหม่ ครั้งก่อนเล่าโดยการเขียน ครั้งนี้เล่าโดยเสียง
ก่อนอื่นใคร่แจ้งก่อนว่า บทความ “โรงแรมตาชมะฮัลพาเลซ มุมไบ : ความภาคภูมิใจของชาวอินเดียและชาวโลก” มีทังหมด 3 ตอน ลงในเพจภารัต-สยาม วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 วันที่ 4 มีนาคม 2566 และวันที่ 11 มีนาคม 2566 วันนี้ที่เรานำมาเสนอคือตอนที่ 1 ของบทความ
แม้จะมิใช่โรงแรมหรูที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย แต่ก็น่าจะเป็นโรงแรมที่ชาวอินเดียจำนวนไม่น้อยรู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะโรงแรมตาชฯ เป็นโรงแรมหรูแห่งแรกที่สร้างขึ้นและถือครองกรรมสิทธิ์โดยชาวอินเดียตระกูลทาทา (Tata) (ตามจริงแล้วควรเขียนเป็น ฏาฏา แต่ความเรียงนี้จะเขียนเป็น ทาทา ตามความคุ้นเคยของคนไทย)
ในช่วงเวลาหนึ่ง สังคมไทยคุ้นเคยชื่อ “ทาทา” ดีมาก เพราะชื่อ ทาทา ยัง ศิลปินสาวลูกครึ่งไทย-อเมริกันผู้ได้รับความนิยมชมชอบมากหลังอัลบั้มแรกของเธอวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1995 ทว่าที่หลายคนอาจจะไม่ทราบคือ ดังที่เว็บไซต์แห่งหนึ่งระบุไว้ ชื่อเล่น “ทาทา” ของอมิตา มารี ยัง มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมทาทาที่เรืองนามในอินเดีย คุณพ่อของทาทาเคยไปทำงานที่อินเดียก่อนเธอจะเกิด ท่านเห็นชื่อทาทาในป้ายโฆษณาทั่วประเทศอินเดียและเกิดชอบใจชื่อนี้ จึงนำมาตั้งเป็นชื่อเล่นลูกสาวตัวเอง
ตัวทาทา ยังเองในเวลาต่อมาก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับมุมไบอย่างสำคัญยิ่ง มุมไบนอกจากจะเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ และเป็นที่ตั้งของธุรกิจทาทาสำนักงานใหญ่แล้ว ยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียด้วย มิวสิควีดีโอเพลง “Dhoom Machale” (มาฉลองกันเถิด) ขับร้องและเต้นโดยทาทา ยังที่ปรากฏต่อสาธารณะในปี ค.ศ. 2004 และผลิตโดยกลุ่มอุตสาหกรรมบันเทิงมุมไบนั้น สร้างความฮือฮาในระดับสากลไม่น้อยเลย
กลับมากล่าวถึงเรื่องโรงแรมตาชฯ กันต่อ ชาวอินเดียภาคภูมิใจในโรงแรมแห่งนี้อย่างมากมายล้นเหลือเลยทีเดียว ถึงกับมีเรื่องเล่าแพร่กระจายว่า นายชมเศทยี นัสรวานยี ทาทา (Jamsetji Nusserwanji Tata) นักอุตสาหกรรมชาวปาร์ซีผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง สร้างโรงแรมตาชฯ ด้วยประสงค์จะแก้แค้นชาวอังกฤษที่ครั้งหนึ่งเคยห้ามไม่ให้เขาเข้าไปใช้บริการโรงแรมของอังกฤษแห่งหนึ่งเพียงเพราะเขาไม่ใช่คนผิวขาว ทุกวันนี้เรื่องเล่านี้ก็ยังแพร่กระจายอยู่ แม้จะมีผู้รู้อธิบายแล้วว่าหามีมูลความจริงไม่
คำตอบคงหนีไม่พ้นปัจจัยความเจ็บช้ำน้ำใจที่ฝรั่งมังค่า (เพี้ยนมาจาก “ฝรั่งพังคะ” ซึ่งคำว่า “พังคะ” นี้เป็นชื่อแคว้นเบงกอล) เข้ามาปกครองอินเดีย อู่อารยธรรมโลกสำคัญแห่งหนึ่ง ส่วนจะมีปัจจัยอื่นอยู่เบื้องหลังเรื่องเล่านี้อีกหรือไม่ คงต้องศึกษากันต่อไป
เรื่องราวที่สะท้อนความเจ็บแค้นลักษณะนี้มีให้เห็นในอินเดียไม่น้อย เช่น ช่วงสิบกว่าปีที่แล้วนายสัญชีพ เมห์ตา (Sanjiv Mehta) นักธุรกิจอินเดีย ได้ซื้อบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ต้นตอของอาณานิคมที่เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เมห์ตาให้สัมภาษณ์หลังจากซื้อบริษัทฯ ว่า “ลองนึกถึงใจผมสักประเดี๋ยวสิ ในระดับเหตุและผล ตอนที่ผมซื้อบริษัทนี้ ผมมองเห็นอยู่ว่าผลประโยชน์นั้นสุดจะเอื้อมถึง แต่ในระดับความรู้สึกในฐานะชาวอินเดียคนหนึ่ง เมื่อคุณใช้หัวใจคิดอย่างที่ผมใช้ ผมรู้สึกถึงการได้เอาคืน เป็นความรู้สึกดีสุดจะพรรณนาในการได้ครอบครองบริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองพวกเรา”
เราอาจจะเริ่มพิจารณาจากลักษณะนิสัยของชมเศทยีเสียก่อน วรรณกรรมที่น่าเชื่อถือชี้ให้เห็นว่า ชมเศทยีนอกจากจะเป็นนักธุรกิจผู้ชาญฉลาดและหาญกล้าแล้ว เขายังเป็นคนใจบุญสุนทาน ผู้มีใจรักเพื่อนมนุษย์ด้วย
ลักษณะหลังนี้น่าจะเป็นวัฒนธรรมสืบทอดกันมาถึงทุกวันนี้ ทำให้ธุรกิจทาทามีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านสวัสดิการพนักงาน และแบ่งปันกำไรหลังหักภาษีเพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง กล่าวคือ ใช่จะสักแต่ว่าทำตามกระแสสังคมอย่างเดียว การเจือจุนสังคมของธุรกิจทาทาปฏิบัติกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แล้ว นั่นคือ หลายทศวรรษก่อนฮาวเวิร์ด โบเวน (Howard Bowen) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน จะบัญญัติคำว่า “Corporate Social Responsibility” (ความรับผิดชอบทางสังคมของธุรกิจ/บรรษัท) ในปี ค.ศ. 1953 เสียอีก
คงไม่ผิดด้วยหากจะกล่าวว่า ชมเศทยีก็เป็นนักชาตินิยมคนหนึ่ง ผู้ปรารถนาจะเห็นอินเดียพัฒนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ ชาร์ลส์ อัลเลน (Charles Allen) นักเขียนเกี่ยวกับอินเดียชื่อดังอธิบายถึงชมเศทยีว่า “เขาเต็มใจเผชิญกับอังกฤษในหลายประเด็น แต่ประเด็นเหยียดผิวมิใช่หนึ่งในนั้น” อัลเลนเขียนด้วยว่า เขามิใช่คนที่จะโน้มเอียงไปในทางแก้แค้นด้วย
หากพิจารณาจากความเป็นนักธุรกิจผู้ชาญฉลาดของชมเศทยีแล้ว เขาไม่น่าจะลงทุนในกิจการใดกิจการหนึ่งด้วยลำพังวัตถุประสงค์แห่งการแก้แค้น นักธุรกิจผู้ชาญฉลาดย่อมทราบดีว่า ธุรกิจทุกประเภทย่อมมีทั้งกำไรและขาดทุน ฉะนั้นแล้ว ที่เชื่อกันว่า จู่ ๆ ชมเศทยีก็กระโดดลงไปทำธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจที่ตนไม่มีความรู้เลยแม้แต่นิดนั้นจึงไม่น่าจะใช่เรื่องจริงอยู่แล้ว
เรื่องจริงคือ ชมเศทยีได้ขบคิดเรื่องการสร้างโรงแรมมาสักพักหนึ่งแล้ว แรงกระตุ้นที่ทำให้เขาคิดเรื่องสร้างโรงแรมตาชฯ มาจากกาฬโรคต่อมนํ้าเหลืองที่ระบาดทั่วเมืองบอมเบย์ (ชื่อเดิมของมุมไบ) ในช่วงปลายทศวรรษ 1890
โรคระบาดนี้ได้คร่าชีวิตนับพัน แหล่งข้อมูลแห่งหนึ่งรายงานว่า เดือนมกราคมปี ค.ศ. 1897 เกือบครึ่งหนึ่งของคนที่เคยทำงานและหรืออาศัยอยู่ในบอมเบย์ได้อพยพหนีออกจากเมือง ด้วยเหตุนี้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “ไทมส์ออฟอินเดีย” (Times of India) ในขณะนั้นจึงได้วิงวอนให้มีการสร้างโรงแรมดี ๆ ที่คู่ควรกับเมืองบอมเบย์ ส่วนหนึ่งคงเพื่อฟื้นคืนเศรษฐกิจบอมเบย์
และแล้วชมเศทยีก็ออกมากล่าวว่า ความคิดเรื่องสร้างโรงแรมนั้น “ข้องติดอยู่ในใจของผมมานานแล้ว” เขากล่าวด้วยว่า “ความปรารถนาเดียว” ของเขาคือ “ดึงดูดผู้คนให้มาที่อินเดีย และพร้อมกันนี้ก็ตั้งใจที่จะปรับปรุงบอมเบย์ด้วย”
แม้ว่าบอมเบย์จะมิใช่บ้านเกิดของชมเศทยี แต่เขาก็รักเมืองนี้มาก ครั้นเมื่อเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างโรงแรม ไม่ว่าลูกชาย เพื่อน หรือผู้ร่วมธุรกิจของเขา ต่างก็พยายามโน้มน้าวเขาให้ละทิ้งความคิดที่จะสร้างโรงแรม เพราะจะขาดทุนอย่างแน่นอน ทว่าไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเขาได้ ดังที่ชมเศทยีเคยกล่าวไว้ว่า “อาจจะขาดทุนก็ได้ แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นไร” กล่าวคือ ชมเศทยียืนกรานที่จะเดินหน้าต่อไปเพื่อให้ชาวอินเดียมีโรงแรมดี ๆ สักแห่ง ที่พอจะเป็นที่ภาคภูมิใจได้บ้าง
สถานที่ที่เขาเลือกหันหน้าเข้าหาทะเลอาหรับอันงดงามตระการตา และในปี ค.ศ. 1898 ก็เริ่มลงเสาเอก ชมเศทยีแสวงหาเทคโนโลยีล้ำหน้าเท่าที่จะหาได้จากประเทศตะวันตกในเวลานั้น แต่สถาปนิกที่เขาเลือกใช้งานคือชาวอินเดียผู้เป็นที่รู้จักน้อยมาก สถาปนิกคนนี้มีชื่อว่าสีตาราม ขาณเฑราว ไวทยะ (Sitaram Khanderao Vaidya) ผู้ถึงแก่กรรมเสียก่อนที่ตัวอาคารจะสร้างเสร็จ สถาปนิกที่เข้ามาสานต่ออาคารจนเสร็จสิ้นคือเพื่อนของชมเศทยีนามว่าดับเบิลยู. เอ. แชมเบอร์ส (W. A. Chambers) แชมเบอร์สสร้างโรงแรมโดยคงลักษณะเดิมที่ไวทยะออกแบบไว้ทั้งหมด ยกเว้นการขยายโดมกลางของตัวอาคาร ซึ่งปฏิเสธมิได้ว่ามีลักษณะสวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และอาจจะด้วยเหตุนี้กระมัง ที่แชมเบอร์สเป็นผู้ได้รับเครดิตการสร้างอาคารแห่งนี้ โดยแทบจะไม่มีใครกล่าวถึงไวทยะเลย
ว่าด้วยเรื่องก่อสร้างอาคาร มีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่เล่าขานกันมานานว่า โรงแรมตาชฯ สร้างขึ้นแบบกลับตาลปัตร คือสร้างจากข้างหลังไปข้างหน้า เพราะชาวอินเดียที่ทำงานก่อสร้างในเวลานั้นไม่อาจเข้าใจแผนก่อสร้างของสถาปนิกอังกฤษได้ เรื่องเล่านี้ก็เช่นเดียวกับเรื่องการแก้แค้น คือไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็น่าจะสะท้อนอีกว่า ความสวยงามอันเลิศล้ำของโรงแรมตาชฯ นั้นเป็นเรื่องของความบังเอิญ ราวกับฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว ส่วนจะมีปัจจัยอื่นเบื้องหลังเรื่องเล่านี้อีกหรือไม่ คงต้องให้นักวิชาการเชี่ยวชาญวิเคราะห์กันต่อไปเช่นเคย
ผู้คนจะเห็นเกทเวย์ออฟอินเดีย (Gateway of India) อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าจอร์จที่ 5 (George V) กษัตริย์อังกฤษพระองค์แรกที่เสด็จประพาสอินเดียในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1911 ซึ่งระหว่างการประพาสบอมเบย์ พระเจ้าจอร์จที่ 5 และพระราชินีแมรี (Mary) ประทับอยู่ที่โรงแรมตาชฯ
เหตุที่ต้องเกริ่นถึงเกทเวย์ออฟอินเดียก็เพราะโรงแรมตาชฯ ซึ่งเป็นโครงการของชาวอินเดียสร้างเสร็จก่อนเกทเวย์ออฟอินเดียอันเป็นโครงการของอังกฤษ
ที่สำคัญอีกคือ pก่อนจะมีอนุสาวรีย์เกทเวย์ออฟอินเดีย โรงแรมตาชฯ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แรกของท่าเรือมุมไบเลยก็ว่าได้ จะด้วยเหตุนี้หรือไม่ ที่ทำให้ผู้คนบันทึกโรงแรมตาชฯ ในความทรงจำของตนและเล่าขานกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
นับตั้งแต่โรงแรมตาชฯ เปิดต้อนรับแขกที่เข้ามาใช้บริการจนถึงทุกวันนี้ ความโดดเด่นของโรงแรมตาชฯ และความภาคภูมิใจของผู้คนชาวอินเดียที่มีต่อโรงแรมตาชฯ ก็ไม่เคยเลือนหายไปแต่อย่างใด
สำหรับผู้คนสมัยที่โรงแรมตาชฯ เปิดต้อนรับแขกครั้งแรก โรงแรมตาชฯ คือสถาปัตยกรรมทันสมัยแห่งแรกที่ชาวอินเดียถือกรรมสิทธิ์ครอบครอง ความเป็นแห่งแรกของโรงแรมตาชฯ ยังรวมถึงการเป็นอาคารหลังแรกในบอมเบย์ที่มีไฟฟ้าใช้ มีพัดลมอเมริกันเครื่องแรก มีเครื่องทำน้ำแข็งเครื่องแรก มีเครื่องทำโซดาเครื่องแรก มีลิฟต์จากเยอรมนีตัวแรก มีเครื่องปั่นไฟเครื่องแรก มีเครื่องซักผ้าเครื่องแรก มีเครื่องขัดเงารองเท้าเครื่องแรก มีบาร์ขายแอลกอฮอล์แห่งแรก มีดิสโก้เธคแห่งแรก และมีการว่าจ้างบัตเลอร์ชาวอังกฤษแห่งแรก ฯลฯ
ทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่รวมสิ่งของอีกมากมายที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้ประดับประดาและใช้วางโครงสร้าง เช่น เสาเหล็ก 10 ต้นที่นำเข้าจากฝรั่งเศส อันเป็นผลจากการที่ชมเศทยีได้เดินทางไปชมนิทรรศการแห่งหนึ่ง ณ กรุงปารีสในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เสาเหล็กทั้ง 10 ต้นนี้ยังคงพยุงห้องบอลรูมที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโรงแรมตาชฯ ตราบจนทุกวันนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ชมเศทยีได้ใช้งบประมาณมากถึง 300,000 ปอนด์ ในการสร้างโรงแรมตาชฯ ซึ่งเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วนับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มโหฬารทีเดียว
แม้ชมเศทยีจะเป็นผู้สร้างโรงแรมตาชฯ แต่ตัวเขาเองกลับมิได้มีโอกาสเห็นโรงแรมแห่งนี้เปิดกิจการต้อนรับแขกผู้มาใช้บริการ เพราะว่าในปี ค.ศ. 1900 เขาเดินทางไปที่ประเทศเยอรมนีด้วยเหตุผลทางธุรกิจ และที่เยอรมนีนี่เองที่เขาล้มป่วยหนัก และถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1904 ที่บาท เนาไฮม์ (Bad Nauheim) ประเทศเยอรมนี ก่อนร่างของเขาจะถูกนำไปฝังที่สุสานของปาร์ซี ณ สุสานบรูกวูด (Brookwood Cemetery) เมืองโวคิง (Woking) ประเทศอังกฤษ
หลังจากชมเศทยีถึงแก่กรรม ลูกชายคนโตของเขา เซอร์ โดรับยี ทาทา (Sir Dorabji Tata) กลายเป็นบุคคลผู้ทำให้วิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของพ่อที่มีต่ออินเดียเป็นจริงจนได้ คงไม่ผิดด้วยหากจะกล่าวว่า ความภาคภูมิใจในโรงแรมตาชฯ ของชาวอินเดียแลดูจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ส่วนหนึ่งเพราะโรงแรมตาชฯ น่าจะเป็นสถานที่แห่งเดียวในโลกที่ชาวอินเดียพบปะกับชาวอังกฤษได้อย่างมีศักดิ์ศรี
อีกส่วนหนึ่งเพราะโรงแรมตาชฯ เป็นมากกว่าความมั่งมีและความอลังการ โรงแรมตาชฯ สัมพันธ์กับสังคมมุมไบอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการดัดแปลงโรงแรมตาชฯ เป็นโรงพยาบาล 600 เตียงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือเงินจำนวนมากที่ได้จากกำไรหลังหักภาษีเพื่อการกุศล เป็นตัวอย่างการปฏิบัติที่ทำให้โรงแรมตาชฯ เป็นมากกว่าความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์
ผู้นำอินเดียสังกัดพรรคอินเดียนเนชั่นแนลคองเกรส (Indian National Congress) จำนวนหนึ่งที่อุทิศตนเพื่อเรียกร้องเอกราชอินเดียอย่างแข็งขันได้ใช้โรงแรมตาชฯ เป็นสถานที่ถกเถียงกับบรรดาผู้ปกป้องจักรวรรดิอังกฤษ ไม่ว่าจะมหาตมา คานธี (Mahatma Gandhi) บัณฑิต ยวาหระลาล เนห์รู (Pandit Jawaharlal Nehru) ข่าน อับดุล กาฟเฟอร์ ข่าน (Khan Abdul Ghaffar Khan) ซัรดาร วัลลัภภาย ปเตล (Sardar Vallabhbhai Patel) หรือสโรชินี ไนดู (Sarojini Naidu) ต่างเคยใช้บริการโรงแรมตาชฯ เพื่อขบวนการเรียกร้องเอกราชอินเดียมาแล้วทั้งนั้น
แม้แต่โมฮัมเหม็ด อาลี จินนาห์ (Mohammed Ali Jinnah) ผู้ริเริ่มการแบ่งอนุทวีปอินเดียเป็นประเทศอินเดียกับประเทศปากีสถาน และต่อมาเป็นประมุขแห่งรัฐคนแรกของปากีสถาน ก็ได้เคยใช้โรงแรมแห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ลอร์ด หลุยส์ เมานต์แบทเทิน (Lord Louis Mountbatten) อุปราชอังกฤษคนสุดท้าย ได้ใช้ห้องแกรนด์บอลรูม ของโรงแรมตาชฯ กล่าวสุนทรพจน์อำลาอินเดีย “รัตนะยอดมงกุฎ” ของจักรวรรดิบริเตน หลังจากกล่าวสุนทรพจน์นี้ เมานต์แบทเทินก็ลงเรือออกจากอินเดียไป
เราจะพรรณนาให้เห็นถึงพัฒนาการของโรงแรมตาชฯ โดยเน้นถึงวิกฤตการณ์สำคัญ 2 ครั้งที่โรงแรมตาชฯ ต้องเผชิญ ซึ่งวิกฤตการณ์ทั้ง 2 ครั้งนี้บ่งบอกสารัตถะสำคัญว่าด้วยความเป็นผู้นำของสมาชิกตระกูลทาทา การสานต่อปรัชญาของผู้สร้างโรงแรมตาชฯ และวัฒนธรรมองค์กรที่โดดเด่นของโรงแรมตาชฯ ทำให้โรงแรมตาชฯ ยืนหยัดอย่างสง่างาม เป็นความภาคภูมิใจของชาวอินเดียและชาวโลก โปรดติดตามตอนต่อไป
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ