โรงแรมตาชมะฮัลพาเลซ มุมไบ : ความภาคภูมิใจของชาวอินเดียและชาวโลก ตอนที่ 2
310 views
0
0

เพลง Yeh Hai Bambai Nagari
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Don ฉายในปี ค.ศ. 1978 กำกับโดยจันทรา พโรต (Chandra Barot) นำแสดงโดยอมิตาภ พัจจัน (Amitabh Bachchan) ซีนัต อะมาน (Zeenat Aman) และ ปราณ (Pran) เพลงนี้ขับร้องโดย กิโศร กุมาร (Kishore Kumar)

ตอนที่ 1

ครั้งก่อนเราได้พูดถึงประวัติศาสตร์โรงแรมตาชมาฮัลพาเลซ มุมไบ ในเชิงประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่ความคิดที่จะสร้างโรงแรม มาถึงเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่ผู้คนยังพูดถึงอยู่ทุกวันนี้ วันนี้เราขอนำท่านผู้ฟังไปสู่เรื่องราวโรงแรมตาชฯ เพิ่มเติม

โรงแรมตาชฯ คือสถานที่ที่บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เอกราชอินเดียได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ผู้นำอินเดียสังกัดพรรคอินเดียนเนชั่นแนลคองเกรส (Indian National Congress) จำนวนหนึ่งที่อุทิศตนเพื่อเรียกร้องเอกราชอินเดียอย่างแข็งขันได้ใช้โรงแรมตาชฯ เป็นสถานที่ถกเถียงกับบรรดาผู้ปกป้องจักรวรรดิอังกฤษ ไม่ว่าจะมหาตมา คานธี (Mahatma Gandhi) บัณฑิต ยวาหระลาล เนห์รู (Pandit Jawaharlal Nehru) ข่าน อับดุล กาฟเฟอร์ ข่าน (Khan Abdul Ghaffar Khan) ซัรดาร วัลลัภภาย ปเตล (Sardar Vallabhbhai Patel) หรือสโรชินี ไนดู (Sarojini Naidu) ต่างเคยใช้บริการโรงแรมตาชฯ เพื่อขบวนการเรียกร้องเอกราชอินเดียมาแล้วทั้งนั้น

แม้แต่โมฮัมเหม็ด อาลี จินนาห์ (Mohammed Ali Jinnah) ผู้ริเริ่มการแบ่งอนุทวีปอินเดียเป็นประเทศอินเดียกับประเทศปากีสถาน และต่อมาเป็นประมุขแห่งรัฐคนแรกของปากีสถาน ก็ได้เคยใช้โรงแรมแห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ลอร์ด หลุยส์ เมานต์แบทเทิน (Lord Louis Mountbatten) อุปราชอังกฤษคนสุดท้าย ได้ใช้ห้องแกรนด์บอลรูม ของโรงแรมตาชฯ กล่าวสุนทรพจน์อำลาอินเดีย “รัตนะยอดมงกุฎ” ของจักรวรรดิบริเตน หลังจากกล่าวสุนทรพจน์นี้ เมานต์แบทเทินก็ลงเรือออกจากอินเดียไป

จากนี้ไปเราจะพรรณนาให้เห็นถึงพัฒนาการของโรงแรมตาชฯ โดยจะเน้นถึงวิกฤตการณ์สำคัญ 2 ครั้งที่โรงแรมตาชฯ ต้องเผชิญ ซึ่งวิกฤตการณ์ทั้ง 2 ครั้งนี้บ่งบอกสารัตถะสำคัญว่าด้วยความเป็นผู้นำของสมาชิกตระกูลทาทา การสานต่อปรัชญาของผู้สร้างโรงแรมตาชฯ และวัฒนธรรมองค์กรที่โดดเด่นของโรงแรมตาชฯ ทำให้โรงแรมตาชฯ ยืนหยัดอย่างสง่างาม เป็นความภาคภูมิใจของชาวอินเดียและชาวโลก

วิกฤตการณ์เศรษฐกิจปลายทศวรรษ 1960

แม้โรงแรมตาชฯ ช่วงหลังอินเดียได้รับเอกราชจะปรับเปลี่ยนบริการตามยุคสมัยอยู่เป็นระยะ ทว่าก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจในปลายทศวรรษ 1960 วิกฤตการณ์ครั้งนี้หนักหนามาก ถึงกระทั่งมีข่าวลือสะพัดอย่างหนาหูว่าโรงแรมนี้จะต้องถูกรื้อทิ้งอย่างแน่นอน แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจคนหนึ่งก็มองในทำนองว่า โรงแรมตาชฯ คงได้แต่นับถอยหลังรอวันจบสิ้นเท่านั้น

ทว่าการคาดการณ์ผู้เชี่ยวชาญกลับผิดถนัด เพราะตระกูลทาทาใช่ว่าจะขาดแคลนคนเก่งที่มีวิสัยทัศน์ นายเญฮันกีร์ รตันยี ดาดาภอย ทาทา (Jehangir Ratanji Dadabhoy Tata) หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า เจ. อาร์. ดี. ทาทา ได้นำทีมผู้บริหารต่อสู้อย่างแข็งขันเพื่อรักษาโรงแรมแห่งนี้ไว้ให้ได้ ส่วนหนึ่งที่ทำให้เจ. อาร์. ดี. ประสบความสำเร็จ เพราะเขาเชื่อมั่นหนักแน่นว่าการท่องเที่ยวคืออนาคต ฉะนั้นการฟื้นฟูให้โรงแรมตาชฯ กลับมามีเสน่ห์ยืนหยัดได้อย่างสง่างามอีกครั้ง ย่อมเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

ที่สำคัญหากโรงแรมตาชฯ ไม่ได้รับการฟื้นฟู ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของโรงแรมอีกหลายแห่งที่กลุ่มธุรกิจทาทาจะสร้างขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งล้วนสอดคล้องกับการมองเห็นว่าการท่องเที่ยวคืออนาคตด้วย

วิสัยทัศน์เรื่องนี้ทำให้กลุ่มธุรกิจทาทาสร้างโรงแรมใหม่ในหลายแห่ง รวมถึงการสร้างอาคารใหม่ชื่อ “อาคารตาชมะฮัล” (Taj Mahal Tower) เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1973 อาคารแห่งนี้ปัจจุบันมีห้องพักทั้งหมด 246 ห้อง และห้องชุด (suite) อีก 12 ห้อง ราคาห้องพักถูกกว่าฝั่งโรงแรมตาชฯ วัตถุประสงค์ข้อหนึ่งก็เพื่อรองรับแขกที่ประสงค์จะพักในทำเลโกลาบา (Colaba) ทำเลทองซึ่งนอกจากจะเชื่อมติดกับโรงแรมตาชฯ แล้ว ยังตั้งอยู่ใกล้อนุสาวรีย์เกทเวย์ออฟอินเดียด้วย

อีกครั้งหนึ่งที่โรงแรมตาชฯ กลับมายิ่งใหญ่ พร้อมกับสำแดงให้ประจักษ์ว่า การทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมานั้น สามารถสร้างนวัตกรรม กำไร และมาตรฐานการบริการระดับสูงได้

การกลับมาของโรงแรมตาชฯ ครั้งนี้มาพร้อมกับความมั่นใจอีกครั้ง พรั่งพร้อมเดินหน้าหากำไรอย่างแข็งขัน ในขณะเดียวกันก็แบ่งปันกำไรหลังหักภาษีให้องค์กรการกุศลเช่นเคย แลดูคล้ายว่าการที่ชมเศทยีต้องการเห็นธุรกิจอยู่ควบคู่กับชุมชนนั้นได้ตอกย้ำฝังลงลึกในวัฒนธรรมองค์กรธุรกิจทาทาอย่างยั่งยืนแล้ว

แม้แต่ในปี ค.ศ. 1970 เมื่อสัดส่วนจำนวนไม่น้อยของโรงแรมตาชฯ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ โรงแรมตาชฯ ก็ยังปฏิบัติเพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงคำกล่าวของ ชมเศทยีในเรื่องชุมชนกับธุรกิจว่า “ในธุรกิจเสรี ชุมชนมิใช่แต่ผู้ถือผลประโยชน์ร่วมเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว [ชุมชน] เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงแห่งการดำรงอยู่ของธุรกิจ”

ในเวลาเกือบ 120 ปี นับตั้งแต่โรงแรมตาชฯ เปิดครั้งแรกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1903 มุมไบมีโรงแรมหรูเกิดขึ้นหลายต่อหลายแห่ง ทว่าโรงแรมตาชฯ ยังคงไว้ซึ่งความพิเศษ มีโอกาสต้อนรับชาวอินเดียและชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังจำนวนมาก สำหรับแขกที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งชาวอินเดียและชาวต่างชาติเหล่านี้ โรงแรมตาชฯ เปรียบเสมือนทางเลือกเดียวเท่านั้น และปฏิเสธได้ยากว่าโรงแรมตาชฯ ได้กลายเป็นความภาคภูมิใจของชาวโลกด้วย

แขกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเหล่านี้รวมถึง นักบินอวกาศ นักสร้างภาพยนตร์ นักเขียน นักดนตรี ผู้นำประเทศ ฯลฯ นักบินอวกาศคนดังที่เคยมาพักที่นี่มิใช่ใครอื่นเลยนอกจากนีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong) นั่นเอง ส่วนนักเขียนหรือศิลปินที่เคยพักที่นี่ เช่น
(1) จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (George Bernard Shaw) นักเขียนบทละครชาวไอริช
(2) มิกกี้ คอร์เรีย (Mickey Correa) นักดนตรีแจ๊ส
(3) เยฮูดี เมนูฮิน (Yehudi Menuhin) นักไวโอลิน
(4) ซูบิน เมห์ตา (Zubin Mehta) วาทยากรดนตรีคลาสสิกตะวันตกชาวอินเดีย
(5) สมาชิกวงร็อคเดอะบีเทิลส์ (The Beatles)
(6) มิก แจกเกอร์ (Mick Jagger) นักร้องนำและหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งวงร็อคเดอะโรลลิงสโตนส์ (The Rolling Stones)

ระดับผู้นำก็เช่น ดะไลลามะ (Dalai Lama) ผู้นำทางจิตวิญญาณ ระดับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็เช่นบิล คลินตัน (Bill Clinton) บารัก โอบามา (Barack Obama)

นับตั้งแต่ประธานาธิบดีดไวต์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight Eisenhower) เยือนอินเดียเป็นคนแรกในฐานะประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1959 ถึงการเยือนอินเดียโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในปี ค.ศ. 2020 โอบามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพียงคนเดียวที่เยือนอินเดียสองครั้ง เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะครั้งแรกที่โอบามาเยือนอินเดียในปี ค.ศ. 2010 เขาเลือกเดินทางไปยังมุมไบ หนึ่งในวัตถุประสงค์ของการเยือนคือเพื่อร่วมไว้อาลัยและให้กำลังใจเหยื่อเหตุการณ์โจมตีมุมไบในวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2008

วิกฤตการณ์โจมตีมุมไบปี 2008

เหตุการณ์โจมตีมุมไบในปี ค.ศ. 2008 นับเป็นวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญที่โรงแรมตาชฯ ต้องเผชิญ

26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ผู้ก่อการร้าย 10 คนพร้อมอาวุธเดินทางทางเรือจากเมืองการาจี (Karachi) ปากีสถาน ไปยังมุมไบ ระหว่างทางพวกเขาจี้เรือประมงอวนลากและสังหารลูกเรือทั้งห้าคน หลังจากผู้ก่อการร้ายจอดเรือเทียบท่าริมน้ำมุมไบใกล้อนุสาวรีย์เกทเวย์ออฟอินเดียแล้ว พวกเขาก็จี้รถ รวมทั้งรถตู้ตำรวจ และแบ่งออกเป็นกลุ่มอย่างน้อย 3 กลุ่ม เพื่อดำเนินการโจมตีมุมไบ ตามที่เว็บไซต์แห่งหนึ่งรายงานไว้ เหตุการณ์ 26 พฤศจิกายน หรือ 26/11 คร่าชีวิตผู้คนทั้งชาวอินเดียและต่างชาติประมาณ 170 คน และทำให้ผู้คนบาดเจ็บมากกว่า 300 คน

สถานที่เป้าหมายที่ผู้ก่อการร้ายเลือกโจมตีมีหลายแห่ง สองแห่งในนั้นคือโรงแรมตาชฯ และโรงแรมโอเบรอยไทรเดนท์ (Oberoi-Trident Hotel)

ณ โรงแรมโอเบรอยฯ ผู้ก่อการร้ายได้คร่าชีวิตทั้งหมด 30 คน และหนึ่งใน 30 คนนี้คือคุณจิรฉัตร กาฬมณี หญิงไทยชาวภูเก็ตที่ไปทำงานที่โรงแรมโอเบรอย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงานวิชาการ 12 ปีแห่งการรำลึกเหยื่อเหตุการณ์การโจมตีมุมไบ โดยเริ่มจากการแสดงความรู้สึกของคุณอ้อมจิต กาฬมณี พี่สาวคุณจิรฉัตร ตามด้วยการฉายภาพยนตร์ “Hotel Mumbai” ที่กำกับโดยชาวออสเตรเลียแอนโทนี มาราส (Anthony Maras) และฉายครั้งแรกในปี ค.ศ. 2018 และปิดท้ายด้วยการอภิปรายทางวิชาการตั้งคำถามกับความไม่ชอบธรรมของการก่อการร้าย

สารัตถะส่วนหนึ่งของความรู้สึกที่คุณอ้อมจิตได้กล่าวไว้ในการสูญเสียน้องสาวมีดังนี้

“... เมื่อได้รับโทรศัพท์ก็ทราบข่าวว่าน้องสาวเสียชีวิต จำได้ว่าตอนนั้นไม่อยากเชื่อว่าเป็นน้องเราจริง ๆ รับไม่ได้ รู้สึกจะเป็นลม และต้องลางานในวันนั้นเพื่อไปสงบจิตสงบใจ ที่ทำงานของน้องมาพบที่บ้าน มาปลอบว่าให้ทำใจดี ๆ วันที่ 1 ธันวา ร่างของน้องมาถึง สามี[ของดิฉัน]ไม่อยากให้ดูศพ แต่ดิฉันก็ดูเพราะอยากอำลาน้องสาวครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นร่างน้อง พบว่าน้องถูกยิงแม้กระทั่งกลางหน้าผาก ดิฉันรับไม่ได้จริง ๆ น้องสาวคนสวยของดิฉันต้องอยู่ในสภาพนั้น เมื่อเห็นแล้วเกิดคำถามว่าทำไมจึงต้องทำกันแบบนี้ด้วย ทำไมต้องยิงผู้หญิงแบบนี้ โหดร้ายมาก ... ทั้ง ๆ ที่เดือนธันวาก็จะได้เจอกันอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องมาเจอในสภาพแบบนี้ นี่ก็ผ่านมาแล้ว 12 ปี ยังคงรู้สึกเจ็บปวดเสียใจอยู่เสมอ คิดว่าในโลกนี้ไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่เลยจริง ๆ”

ฝั่งโรงแรมตาชฯ มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 31 คน บาดเจ็บอีก 28 คน แม้การกระทำของผู้ก่อการร้ายจะไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ทว่าการก่อการร้ายครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าโรงตาชฯ มีลักษณะวัฒนธรรมองค์กรที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ นำไปสู่การศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง เช่น เรื่อง “The Ordinary Heroes of the Taj” (“วีรบุรุษสามัญแห่งโรงแรมตาชฯ”) โดย โรหิต เทศปาณเฑย์ (Rohit Deshpande) และ อัญชลี ไรนา (Anjali Raina) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (Harvard University)

สิ่งที่ดึงดูดให้เกิดการศึกษานี้คือ หลังเหตุการณ์การก่อการร้ายสิ้นสุด โรงแรมตาชฯ ได้รับการยกย่องมากมาย

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะแขกของโรงแรมตาชฯ ต่างรู้สึกประทับใจกับการอุทิศตนต่อหน้าที่ของพนักงาน ความปรารถนาที่จะปกป้องแขกโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยส่วนตนและความคิดที่ฉับไวของพนักงาน ทำให้แขกที่มาพักที่โรงแรมตาชฯ และรอดจากน้ำมือของผู้ก่อการร้ายออกมาได้นั้นให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันว่า พนักงานเหล่านี้คือวีรบุรุษตัวจริง

ตามงานศึกษานี้ ขณะที่ผู้ก่อการร้ายกำลังโจมตีโรงแรมตาชฯ อยู่นั้น “พนักงานร้านอาหารและงานเลี้ยงรีบเร่งลำเลียงผู้คนไปยังสถานที่ปลอดภัย เช่น ห้องครัวและชั้นใต้ดิน พนักงานรับโทรศัพท์ประจำอยู่ที่ทำการของตน คอยแจ้งเตือนผู้เข้าพักให้ล็อกประตูและอย่าออกจากห้อง พนักงานในครัวสร้างเกราะมนุษย์เพื่อปกป้องแขกในระหว่างการพยายามอพยพ” งานศึกษานี้เสริมด้วยว่า พนักงานของโรงแรมตาชฯ “มากถึง 11 คน คิดเป็นหนึ่งในสามของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่โรงแรม ได้ยอมสละชีวิตในขณะที่ช่วยเหลือแขกระหว่าง 1,200-1,500 คนให้หลบหนี”

งานศึกษานี้ได้ยกตัวอย่างพนักงานโรงแรมตาชฯ ที่กล้าหาญ 3 คน เพื่อชี้ให้เห็นว่า แม้โรงแรมตาชฯ จะขึ้นชื่อในด้านมาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดและสามารถทำให้แขกที่มาใช้บริการโรงแรมรู้สึกพึงพอใจ อันเป็นผลมาจากการที่พนักงานได้รับการอบรมมาอย่างดี ซึ่งบางคนทำงานที่นั่นมานานหลายทศวรรษแล้ว กระนั้นก็ตามสิ่งที่พนักงานโรงแรมตาชฯ ได้สำแดงให้เห็นในวันนั้น วันที่ผู้ก่อการร้ายยิงกราดอย่างไร้เมตตาธรรมคือ ความหมายใหม่ของการบริการ

ดังที่กล่าวไว้แล้ว งานศึกษานี้ได้ยกตัวอย่างพนักงานผู้กล้าหาญ 3 คนเพื่อให้เข้าใจความหมายใหม่ของการบริการ หนึ่งในนั้นคือนายโทมัส วัรกีส (Thomas Varghese) วัย 48 ปี พนักงานเสิร์ฟอาวุโสประจำร้าน “วาซาบิ บาย โมริโมโตะ” (Wasabi By Morimoto) ในโรงแรมตาชฯ ทันทีที่วัรกีซทราบว่าโรงแรมถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี งานศึกษาระบุไว้ว่า “เขารีบสั่งให้ลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่ร้านประมาณ 50 คนหมอบอยู่ใต้โต๊ะ และสั่งให้พนักงานสร้างวงล้อมมนุษย์รอบตัวลูกค้า” เมื่อ 4 ชั่วโมงผ่านไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดต่อวัรกีซให้พาลูกค้าออกจากอาคาร วัรกีซตัดสินใจใช้บันไดวนใกล้กับร้านอาหารเพื่ออพยพลูกค้าก่อนจะอพยพพนักงาน วัรกีซยืนยันว่าตนจะออกจากอาคารคนสุดท้าย ทว่าตัวเขาเองออกจากโรงแรมไม่ทัน ถูกผู้ก่อการร้ายยิงตายเสียก่อน

นอกจากวีรบุรุษวัรกีซแล้ว ยังมีพนักงานวีรบุรุษอีกหลายคน ทำให้งานศึกษาโดยเทศปาณเฑย์และไรนามุ่งเน้นตอบคำถามว่า ทำไมพนักงานโรงแรมตาชฯ จึงมีความกล้าหาญ ให้ความสำคัญแก่ความปลอดภัยของแขกมากกว่าชีวิตของตน และยอมเสี่ยงในบางกรณีถึงขั้นยอมเสียสละชีวิตของตน

งานศึกษาพบว่า โรงแรมตาชฯ มีวัฒนธรรมองค์กรที่โดดเด่นมาก

ซึ่งสัมพันธ์กับ 3 ข้อดังต่อไปนี้
(1) ระบบการสรรหาคนเข้าทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าที่เน้นความซื่อสัตย์และหน้าที่เหนือกว่าความสามารถหรือทักษะ
(2) การฝึกอบรมที่เน้นให้พนักงานดูแลใส่ใจลูกค้าเป็นอันดับแรก บริษัทเป็นอันดับสอง
(3) ระบบการให้รางวัลที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของการได้รับคำชมเชยจากลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่เงินหรือความก้าวหน้าในการทำงาน

ที่งานศึกษานี้ค้นพบอีกคือ โรงแรมตาชฯ ไม่มีนโยบายหรือขั้นตอนอย่างเป็นทางการ ไม่มีคู่มือว่าด้วยการปฏิบัติของพนักงานในวิกฤตการณ์แบบ 26/11 ดังนั้นปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมการดูแลแขกของพนักงานโรงแรมตาชฯ เหนือกว่าชีวิตของตน คือคุณค่าของบริษัททาทาที่เป็นเจ้าของโรงแรมตาชฯ รากฐานทางประวัติศาสตร์ของโรงแรมตาชฯ ในขบวนการชาตินิยมเพื่ออิสรภาพของอินเดียจากอังกฤษ และวัฒนธรรมการต้อนรับผู้คนอันเก่าแก่ของอินเดีย

ปัจจัยหลังควรค่าแก่การขยายความยิ่ง นั่นคือ ปรัชญาอินเดียโบราณว่าด้วย “อติถิ เทโว ภวะ” (Atithi Devo Bhava) หรือ “ผู้มาเยือนมีสถานะดุจเทพ” ยังคงเป็นวัฒนธรรมฝังลึกในชาวอินเดียที่มีภูมิหลังชาติพันธุ์หลากหลาย โดยเฉพาะชาวอินเดียที่อาศัยอยู่นอกเมืองใหญ่ อาจจะด้วยสาเหตุนี้กระมังที่โรงแรมตาชฯ มักจะรับสมัครผู้คนที่มาจากเมืองเล็ก ๆ หรือชนบท

ตอนที่ 3

ตอนต่อไปเราจะชี้ให้เห็นว่า เหตุการณ์ 26/11 ได้นำไปสู่การปฏิบัติอันสูงส่งเพื่อพนักงานโรงแรมตาชฯ และสมาชิกสังคมที่ตกเป็นเหยื่อโศกนาฏกรรมต่าง ๆ อย่างไร ขณะเดียวกันจะชี้ให้เห็นด้วยว่า เหตุการณ์ 26/11 นั้นมีนัยต่อการเมืองภายในอินเดียและการเมืองระหว่างประเทศอย่างไร

หลังจากนั้นจะอธิบายผลิตภัณฑ์บริการอันโดดเด่นของโรงแรมตาชฯ และรางวัลที่โรงแรมตาชฯ ได้รับ ตามด้วยความยิ่งใหญ่ของธุรกิจทาทา และความประทับใจที่ได้จากประสบการณ์ที่ผู้เขียน อาจารย์ และนิสิตได้ไปดูงานที่บริษัททาทา มุมไบ

ก่อนจะปิดท้ายด้วยการตอบคำถามว่า ทำไมเราแทบไม่เคยเห็นชื่อสมาชิกตระกูลทาทาในรายชื่อมหาเศรษฐีอินเดียหรือโลกเลย โปรดติดตาม
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ