วันที่ 29 กรกฎาคม 2566
เพลง Yeh Hai Bambai Nagari
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Khudgarz ฉายในปี ค.ศ. 1987 กำกับโดยราเกศ โรชัน (Rakesh Roshan) นำแสดงโดยดาราหลายคน แต่ที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษคือโควินทะ (Govinda) และนีลัม (Neelam) เพลงนี้ฉบับแรกขับร้องโดยโมฮัมเม็ด อะซีซ (Mohammed Aziz) กับสาธนา สรรคัม (Sadhana Sargam) แต่ที่นำมาเปิดให้ผู้ฟังได้รับฟังไปคือฉบับที่ขับร้องโดยนักร้องหนุ่มสาวชื่อฤษิ (Rishi) และพิทิปตา (Bidipta)
สองตอนที่แล้ว เราได้พูดถึงประวัติศาสตร์โรงแรมตาชมาฮัลพาเลซ มุมไบ ตั้งแต่ความคิดริเริ่มจนถึงการสร้างเสร็จ และก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ที่โรงแรมตาชฯ ต้องเผชิญคือ วิกฤตการณ์ทางการเงินและวิกฤตการณ์ที่ผู้ก่อการร้ายโจมตีนครมุมไบ ซึ่งโรงแรมตาชฯ เป็นหนึ่งในเป้าหมายของผู้ก่อการร้ายด้วย
วันนี้ที่เราจะพูดคุยกันก็ยังเกี่ยวกับการโจมตีมุมไบอยู่ แต่ที่เราต้องการเน้นคือ ผลของการโจมตีได้ทำให้เราเห็นการกระทำอันดีงามของตระกูลทาทาอย่างไร ที่จะคุยกันอีกคือเรื่องการโจมตีเมืองมุมไบโดยผู้ก่อการร้ายจากปากีสถานมีนัยต่อการเมืองภายในและระหว่างประเทศอย่างไร และที่ขาดไม่ได้อีกคือเรื่องของผลิตภัณฑ์การบริการโดยโรงแรมตาชฯ และความรู้ที่ผมได้จากการพานิสิตไปดูงานที่มุมไบก่อนโรคโควิด-19 จะระบาด
เหตุการณ์ก็เป็นไปตามความคาดหมายของผู้คนหลายคนที่รู้จักโรงแรมตาชฯ หรือกลุ่มธุรกิจทาทาเป็นอย่างดี นั่นคือ โรงแรมตาชฯ เข้าไปดูแลพนักงานที่บาดเจ็บ และครอบครัวของพนักงานที่เสียชีวิตทั้งหมดอย่างเต็มที่
แต่ที่หลายคนไม่คาดคิดคือโรงแรมตาชฯ ไปไกลกว่านั้นคือ จัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลสวัสดิภาพของพลเมืองอินเดียที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย สงคราม การระเบิด และ/หรือภัยธรรมชาติโดยรวม กองทุนนี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Taj Public Service Welfare Trust”
การปฏิบัติของกองทุนฯ เท่าที่ผ่านมาได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของชุมชนดังที่ชมเศทยีได้ปลูกฝังไว้ กล่าวคือ หากไม่มีพนักงานโรงแรม ไม่มีพนักงานดับเพลิง ไม่มีตำรวจ ไม่มีทหาร ไม่มีชุมชน ก็ย่อมไม่มีโรงแรมตาชฯ
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจทาทาเข้าไปช่วยเหลือผู้คน และมุ่งมั่นซ่อมแซมโรงแรมตาชฯ ให้กลับมายืนหยัดอย่างสง่างามอีกครั้ง ทางการอินเดียก็เริ่มศึกษาหาทั้งต้นตอของเหตุการณ์ 26/11 และวิธีเพื่อมิให้การกระทำอันเลวร้ายเยี่ยงนี้เกิดขึ้นได้อีก
หนึ่งในแหล่งข้อมูลที่ดีสุดคงหนีไม่พ้นนายโมฮัมเหม็ด อาจญ์มาล อะมีร์ กาซาบ (Mohammed Ajmal Amir Kasab) หนึ่งในสิบผู้ก่อการร้ายและเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกตำรวจจับเป็น คำสารภาพของเขาทำให้กระจ่างในที่สุดว่า กลุ่มก่อการร้ายเบื้องหลังเหตุการณ์ 26/11 คือกลุ่ม “ลัชการ์-เอ-ฏ็อยบะ” (Lashkar-e-Taiba) ในที่สุดกาซาบก็ถูกประหารชีวิตในอินเดียด้วยการแขวนคอเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012
แม้จะมีหลักฐานชัดเจนมากมาย และแม้ทางการปากีสถานเดิมทีจะให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำงานกับอินเดียเพื่อดำเนินการเอาผิดผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่แล้วทุกอย่างก็เป็นไปเหมือนเดิม มิหนำซ้ำชาวปากีสถานบางคนที่เป็นผู้บงการปฏิบัติการอันเลวร้ายนี้ยังคงลอยนวลในปากีสถาน โดยทางการปากีสถานให้เหตุผลดื้อ ๆ ว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ ทว่าเหตุผลที่แท้จริงอาจจะเป็นเพราะทางการปากีสถานรู้เห็นเป็นใจกับเหตุการณ์นี้หรือไม่
ดังที่รายงานศึกษาเรื่องนี้โดยรัฐบาลอินเดียซึ่งเป็นรายงานลับ แต่หนังสือพิมพ์ “เดอะ การ์เดียน” (The Guardian) ได้มาอย่างไรไม่ทราบนั้น ระบุว่า หน่วยข่าวกรองที่ทรงพลังของปากีสถานมีส่วนร่วมอย่างมากในการเตรียมการการโจมตีครั้งนี้
เว็บไซต์แห่งหนึ่งรายงานว่า ประมาณ 1 เดือนหลังจากเหตุการณ์ 26/11 โรงแรมตาชฯ เปิดให้บริการได้แค่บางส่วน และกว่าโรงแรมจะกลับคืนสู่ภาพอันตระการตาอีกครั้งก็ใช้เวลาถึงประมาณ 21 เดือน เว็บไซต์แห่งนี้รายงานด้วยว่า ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโรงแรมทั้งหมดใช้งบประมาณมากถึง 38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ดังที่โอบามาได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อะ พรอมิสด์ แลนด์” (A Promised Land) ว่า การที่นายมันโมหัน สิงห์ (Manmohan Singh) นายกรัฐมนตรีอินเดียในเวลานั้น ผู้ซึ่งสังกัดพรรคอินเดียนเนชั่นแนลคองเกรส ไม่ตอบโต้ปากีสถานและรอคอยให้ปากีสถานร่วมมือในการสืบสวนผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 26/11 ทำให้พรรคคองเกรสสูญเสียภาพพจน์ของการดูแลปกป้องอินเดียไม่น้อยเลย
หากขยายความก็คือ ไม่ว่าจะผู้นำพรรคอินเดียนเนชั่นแนลคองเกรสในอดีต เช่น นายลาล บะฮาดูร ศาสตรี (Lal Bahadur Shastri) ที่สำแดงความหาญกล้าในการรบกับปากีสถานปี 1965 หรือความเด็ดขาดของนางอินทิรา คานธี (Indira Gandhi) ในการพิชิตปากีสถานปี ค.ศ. 1971 ต่างก็ไม่อาจยับยั้งการทะยานขึ้นมาของพรรคภารตียชนตาได้ ปัจจุบันนี้พรรคภารตียชนตาปกครองอินเดียเป็นสมัยที่สองติดต่อกันแล้ว และ ณ ขณะนี้ก็มีแนวโน้มด้วยว่าพรรคภารตียชนตาจะชนะเลือกตั้ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลเป็นสมัยที่สามด้วย ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือพรรคภารตียชนตาสามารถเสริมสร้างอัตลักษณ์ผู้พิทักษ์อินเดียให้ตนเองได้สำเร็จ
โอบามาในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คงทราบเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวกับเหตุการณ์ 26/11 ดีพอสมควร เขาคงทราบด้วยว่าโรงแรมตาชฯ สำคัญอย่างไรในเชิงความภาคภูมิใจของชาวอินเดียและชาวโลก จึงตัดสินใจเลือกมุมไบเป็นหนึ่งในสถานที่ของการเยือนอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ โอบามาเลือกใช้โรงแรมตาชฯ สั่งจองปิดโรงแรมทั้งหมด วัตถุประสงค์เรื่องอื่นของการเยือนอินเดียจะเป็นอย่างไรไม่ใช่ประเด็นในที่นี้ ที่แน่ชัดคือ สหรัฐฯ ขอเลือกใช้โรงแรมตาชฯ เป็นสัญลักษณ์ยืนข้างเคียงอินเดียในการต่อสู้กับการก่อการร้าย
ผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์ 26/11 อาจจะประสบความสำเร็จในการสร้างความยุ่งเหยิงให้แก่โรงแรมตาชฯ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่อาจกีดขวางการเดินหน้าต่อไปของโรงแรมตาชฯ ได้
ภาพของโดมด้านหน้าโรงแรมตาชฯ ที่ปกคลุมด้วยกลุ่มควัน มิได้นำมาซึ่งความโกรธแค้นเท่านั้น ยังนำมาซึ่งความเห็นอกเห็นใจ และความทะเยอทะยานของผู้คนที่ประสงค์จะเรียนรู้เกี่ยวกับโรงแรมสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ด้วย กำลังใจที่หลั่งไหลมาจากแทบทุกสารทิศในโลกนั้นล้นหลามมาก แม้แต่นักเขียนคอลัมน์สำนักข่าวระดับโลกไม่ว่าจะสังกัดสำนักคิดแนวใด ต่างก็ให้กำลังใจโรงแรมตาชฯ ราวกับเป็นฉันทานุมัติก็ว่าได้ บางคนยืนกรานว่า โรงแรมตาชฯ จะดำรงอยู่ต่อไป บ้างก็ว่าโรงแรมตาชฯ จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
เช่นเดียวกับการเมืองอินเดีย ซึ่งประกอบด้วยพรรคการเมืองใหญ่สองพรรค และพรรคขนาดกลางและเล็กอีกมากมาย ไม่ว่าจะคุยเรื่องโรงแรมตาชฯ หรือเรื่องทาทากับสมาชิกพรรคอินเดียนเนชั่นแนลคองเกรส พรรคเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย หรือกับสมาชิกพรรคภารตียชนตา (Bharatiya Janata Party) พรรคที่เป็นรัฐบาลปกครองอินเดียในปัจจุบัน ก็จะเห็นแต่รอยยิ้มสื่อถึงความภาคภูมิใจ
มีห้องพักประมาณ 403 ห้อง และมีห้องชุดอีกมากมาย จัดหมวดหมู่ได้ประมาณ 10 ประเภท สุดแต่ความต้องการของลูกค้าแต่ละคน โรงแรมตาชฯ ยังมีร้านอาหารจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ฯลฯ แต่ละร้านจะมีลักษณะพิเศษ เช่น ร้านอาหารจีน “โกลเด้นดรากอน” (Golden Dragon) ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องเชฟที่มากด้วยความสามารถ อาหารร้านนี้เป็นแบบเสฉวนและกวางตุ้ง อาหารที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นติ่มซำรสเลิศหลากหลายชนิดและเป็ดปักกิ่ง ในขณะที่ร้านอาหาร “วาซาบิ บาย โมริโมโตะ” (Wasabi By Morimoto)” จะขึ้นชื่อลือชาเรื่องอาหารญี่ปุ่นคลาสสิกที่ผสมผสานความร่วมสมัยอันแปลกใหม่ ปรุงด้วยวัตถุดิบพิเศษที่ส่งตรงทางเครื่องบินมาจากประเทศญี่ปุ่น ไฮไลท์ของเมนูร้านนี้ก็เช่นปลาค็อดดำย่างเต้าเจี้ยวมิโซะ และปลาฮิราเมะแล่บางแบบการ์ปัชโช
ร้านอาหารอินเดียของโรงแรมตาชฯ มีชื่อว่า “มซาล่าคราฟต์” (Masala Kraft) แน่นอนว่าที่นี่ต้องทำอาหารอินเดียได้อร่อยที่สุดแห่งหนึ่ง ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าแขกต่างชาติที่เข้าพักโรงแรมตาชฯ น่าจะคาดหวังว่าอาหารอินเดียที่นี่ต้องอร่อยเป็นพิเศษ ใครที่รู้เรื่องอาหารอินเดียก็คงจะทราบว่า แม่บ้านที่ซื้อเครื่องเทศจากตลาดอาจจะถูกมองว่ามีนิสัยจู้จี้จุกจิก แท้จริงแล้ว การที่หลายคนต้องถามแล้วถามอีก ดมแล้วดมอีกก็เพราะว่า หากเครื่องเทศไม่ได้เรื่องตั้งแต่แรก ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้อาหารอร่อยได้ มซาล่าคราฟต์คงทราบดีถึงปัญหานี้ ฉะนั้นแล้วที่นี่จึงบดเครื่องเทศเองเสียเลย อาหารหลายจานที่นี่เลือกใช้เครื่องเทศท้องถิ่น และวัตถุดิบที่นำมาใช้ไม่น้อยคืออาหารทะเล เพราะมุมไบเป็นเมืองชายฝั่งมีวัฒนธรรมบริโภคอาหารทะเลหลายชนิด แต่อาหารอินเดียแบบเต็มพิกัดก็อาจจะไม่เหมาะสมสำหรับลูกค้าหลายคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ดังนั้นมซาล่าคราฟต์จึงขึ้นชื่อเรื่องอาหารเบา ๆ ที่ดีต่อสุขภาพด้วย
นอกจากห้องพักและร้านอาหารแล้ว โรงแรมตาชยังมีบริการระดับโลกในเรื่องของสปา นวดเพื่อสุขภาพ และการให้บริการจัดงานในวาระต่าง ๆ ตามความประสงค์ของลูกค้า งานแต่งงานของชาวอินเดียตระกูลมั่งคั่งก็นิยมจัดกันที่นี่ งานประชุมหรือสังสรรค์ระดับผู้บริหารบรรษัทข้ามชาติก็นิยมจัดกันที่นี่ ห้องจัดงานมีตั้งแต่ขนาดจุ 150 ถึง 650 คน ห้องบอลรูมประวัติศาสตร์ที่จุคนได้ถึง 550 คน และยังเป็นหมุดหลักสำคัญของโรงแรมตาชฯ ยังเป็นที่นิยมชมชอบของลูกค้าจำนวนไม่น้อย
รางวัลและคำชมที่โรงแรมตาชฯ ได้รับมามากต่อมากก็น่าจะบอกเราได้ไม่น้อยว่า โรงแรมแห่งนี้มิได้อาศัยประวัติศาสตร์อันโดดเด่นของตนในการประกอบธุรกิจแต่ประการเดียว
ไม่ว่าจะรางวัลต่าง ๆ ในบางปีหรือหลายปีติดต่อกัน เช่น
(1) “กงเด นาสต์ ทราเวลเลอร์” (Condé Nast Traveler) ที่จัดโรงแรมตาชฯ เป็นอันดับที่ 20 ในหมวดธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ
(2) “เอ็กซ์เปิร์ตชอยส์อะวอร์ด บาย ทริปเอ็กซ์เปิร์ต” (Expert Choice Award by Trip Expert) ที่ให้นักวิจารณ์มืออาชีพจัดอันดับ
(3) “ไทมส์ฟูดแอนด์ไนต์ไลฟ์อะวอร์ดส” (Times Food & Nightlife Awards) โดยหนังสือพิมพ์ “เดอะไทมส์ออฟอินเดีย” (The Times of India)
(4) “รีดเดอร์สชอยส์เดสติเนเชี่ยนอะวอร์ด” (Reader’s Choice DestinAsian Award) ที่ให้ผู้อ่านนิตยสาร “เดสติเนเชี่ยน” (DestinAsian Magazine) โหวตความเป็นเลิศในภาคการท่องเที่ยวที่หรูหราในเอเชียแปซิฟิก ในหมวดหมู่ต่าง ๆ รวมถึงโรงแรมและรีสอร์ต
(5) “การรับรองความเป็นเลิศ” โดย “ทริปแอดไวเซอร์” (TripAdvisor) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแนะนำการเดินทางที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตามคำแนะนำของผู้ที่เคยไปใช้บริการที่นั่นมาก่อน ต่างก็ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของโรงแรมตาชฯ ในการมอบผลิตภัณฑ์บริการที่ยอดเยี่ยมแก่ผู้มาใช้บริการ
ใช่มหาเศรษฐีเท่านั้นที่เลือกใช้โรงแรมตาชฯ บางคนที่มีรายได้ไม่มากนักก็อาจจะเลือกใช้บริการร้านอาหารของโรงแรมตาชฯ ด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ รวมถึงการพาพ่อแม่ญาติพี่น้องไปรับประทานอาหารอินเดียที่มซาล่าคราฟต์เพราะตนเพิ่งได้รับเงินเดือนครั้งแรกในชีวิต บ้างมีเงินค่อนข้างจำกัดก็อาจจะพาหญิงที่ตนหลงรักไปทานกาแฟที่ “ชาเมียน่า” (Shamiana) ร้านกาแฟต้นตำรับของเมืองเลยก็ว่าได้ ณ ที่นี่สั่งอาหารรับประทานได้ตลอดทั้งวัน เมนูอาหารที่นี่มีทั้งอาหารนานาชาติ ขนบขบเคี้ยวสไตล์อินเดีย
หากใครเคยอ่านคอมเมนต์ที่ชาวมุมไบแสดงความเห็นต่อโพสต์เกี่ยวกับโรงแรมตาชฯ ก็คงเห็นว่า มีเรื่องราวมากมายสื่อให้เห็นว่าโรงแรมตาชฯ สัมพันธ์กับชีวิตพวกเขาอย่างไร
เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วก่อนโรคโควิด-19 จะระบาดหนัก ผมและอาจารย์อีก 2-3 คนได้นำพานิสิตจำนวนหนึ่งไปเมืองมุมไบในโครงการ “ภารตสิกขยาตรา ครั้งที่ 3” หนึ่งในสถานที่เลือกดูงานคือสำนักงานใหญ่ธุรกิจทาทา ที่นี่แหละคือสถานที่ที่นิสิตถูกใจมากเป็นพิเศษ
พนักงานบริษัททาทาได้เริ่มอธิบายให้พวกเราเห็นภาพก่อนว่า ธุรกิจทาทามีความเป็นมาอย่างไร ก่อนจะเข้าสู่ธุรกิจทั้งหมดของทาทา ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจด้านเทคโนโลยี เหล็ก รถยนต์ โครงสร้างสาธารณูปโภค บริการทางการเงิน อวกาศและความมั่นคง การท่องเที่ยวและคมนาคม เป็นต้น ตัวอย่างแบรนด์สินค้า เช่น โรงแรมตาชฯ และโรงแรมอื่น ๆ อีก 150 กว่าแห่ง รถยนต์ทาทา รถยนต์จากัวร์ (Jaguar) รถยนต์แลนด์โรเวอร์ (Land Rover) นาฬิกาไททัน (Titan) และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทั้งหมดนี้ยังไม่นับธุรกรรมที่เกิดขึ้นจากหลังการดูงาน เช่น สายการบินแอร์อินเดียที่ทาทาซื้อกลับมาเป็นของตนเองจากรัฐบาลอินเดียในปี ค.ศ. 2021 (ดูบทความชื่อ “ทาทา ตัดสินใจซื้อแอร์ 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ” ลงในภารัต-สยามวันที่ 14 ตุลาคม 2564) และเช่น เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ทาทาได้สั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ทั้งหมด 470 ลำ แบ่งเป็น 250 ลำจากแอร์บัส (Airbus) และอีก 220 ลำจากโบอิ้ง (Boeing) การสั่งซื้อครั้งนี้นับเป็นการสั่งซื้อใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมสายการบินเลยทีเดียว ถึงขนาดที่ว่าผู้นำฝรั่งเศส สหรัฐฯ และอินเดียได้ออกมาแสดงความดีอกดีใจกันเป็นการใหญ่
สิ่งที่นิสิตดูงานหลายคนรู้สึกประทับใจและน่าจะเก็บเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไปคือ การทำธุรกิจขนาดใหญ่ของทาทาควบคู่ไปกับโครงการต่าง ๆ เพื่อสังคมอย่างไม่อาจแยกขาดจากกันได้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการการศึกษาและการพัฒนาแบบองค์รวม โครงการดำรงชีวิตและการพัฒนาทักษะ โครงการพัฒนาชนบท โครงการน้ำและสุขอนามัย หรือโครงการสุขภาพ ต่างสร้างความรู้สึกที่ดีให้นิสิต ด้วยเหตุนี้การดูงานที่ทาทาจึงใช้เวลานานกว่าที่เราได้ตกลงกันไว้ แต่พนักงานทาทาก็แลดูจะไม่เหน็ดเหนื่อยแม้เพียงสักนิดในการตอบคำถามหรือแสดงความเห็นต่อความคิดของนิสิต
ความประทับใจของนิสิตต่อธุรกิจทาทาที่ทำเพื่อสังคมทำให้ผมครุ่นคิดว่า อาจารย์กับนิสิตที่มีอายุแตกต่างกัน อาจจะมีความคิดทางการเมืองและสังคมแตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องมองเห็นคุณธรรมบางชุดแตกต่างกัน เราอาจจะมองเห็นคุณธรรมบางชุดร่วมกันได้ เช่น คุณธรรมที่มาจากการปฏิบัติเพื่อสังคมของธุรกิจทาทา ซึ่งกล่าวได้ว่ามีความเป็นอมตะ สถิตชั่วนิรันดรอยู่เหนือวัยของผู้คนจำนวนไม่น้อย
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1868 ที่ชมเศทยีวัย 29 ปีได้ใช้เงิน 21,000 รูปีเริ่มทำธุรกิจของตนครั้งแรก วันนี้ธุรกิจของเขาได้รับการพัฒนากลายเป็นกลุ่มธุรกิจทาทาที่มีขนาดใหญ่ระดับโลก ดำเนินงานกว่า 100 ประเทศใน 6 ทวีป ว่าจ้างพนักงานมากถึง 935,000 คน รายได้ของบริษัททาทาในปี ค.ศ. 2021-2022 มีมากถึง 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
คำถามที่อาจจะตามมาคือ ทำไมรายชื่อผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกจึงไม่มีชื่อนายรตัน นวัล ทาทา (Ratan Naval Tata) วัย 85 ปี ผู้ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญเบื้องหลังกลุ่มธุรกิจทาทาในปัจจุบัน
คำตอบคือ เงินจำนวนมหาศาลของบริษัททาทานำไปใช้เพื่อสังคม ว่ากันว่าเงินจำนวนมหาศาลนี้คิดเป็นประมาณสองในสามของกำไรทั้งหมดที่ธุรกิจทาทาหาได้ ที่สำคัญคือบางคนอาจจะให้ความสำคัญว่าชื่อของตนอยู่อันดับใดในรายชื่อมหาเศรษฐี แต่รตันไม่เคยสนใจ ดังที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งกล่าวไว้ รตันไม่แยแสต่อการประกาศใด ๆ ว่าด้วย “ชื่อเสียงหรือความสำเร็จ” ของเขา
เกือบ 120 ปีแล้วนับตั้งแต่วันที่โรงแรมตาชมะฮัลพาเลซเปิดประตูต้อนรับแขกครั้งแรก ทุกวันนี้โรงแรมแห่งนี้ก็ไม่เคยหยุดยั้งที่จะเป็นความภาคภูมิใจของชาวอินเดียและชาวโลก และสิ่งที่ชมเศทยี ทาทาเคยใฝ่ฝันเห็นอินเดียพัฒนาเทียมทัดนานาอารยประเทศก็ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ เราชาวไทยจะนำเรื่องโรงแรมตาชฯ หรือธุรกิจทาทามาคิดต่ออย่างไร ก็สุดแต่ละคนจะคิด
ที่แน่ ๆ คือเราต้องปรับเปลี่ยนเลนส์ในการมองอินเดียใหม่ หาไม่แล้วเราคงไม่อาจกำหนดการมีปฏิสัมพันธ์ของเรากับอินเดียได้อย่างสร้างสรรค์และครอบคลุม
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ