วันที่ 5 สิงหาคม 2566
เพลง Ke Cholecho Dakkhineswar
เป็นเพลงภาษาเบงกาลี ชื่อ Ke Cholecho Dakkhineswar แปลเป็นภาษาไทยอย่างง่ายว่า “ใครกำลังไปวัดทักษิเณศวร” วัดดังกล่าวนี้ของพระแม่กาลี เทพีที่เป็นศูนย์ความเชื่อความศรัทธาของชาวเบงกอล วัดทักษิเณศวรนับเป็นวัดที่โด่งดังที่สุดวัดหนึ่งในมลรัฐเบงกอลตะวันตก หรือแม้แต่ทั่วอนุทวีปอินเดียก็ว่าได้
เพลงนี้ขับร้องโดย อมริก สิงห์ อโรรา (Amarik Simg Arora) เหตุที่เปิดเพลงนี้ก็ด้วยวัดทักษิเณศวรที่กล่าวถึงในเพลงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับหัวข้อคือเป็นที่พำนักอาศัยในช่วงบั้นปลายชีวิตของศรีรามกฤษณะ บรมหังสะ
นักบุญคนสำคัญผู้เป็นเสมือนบรมครูทางจิตวิญญาณของชาวเบงกอล เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อแนวความคิดทางปรัชญาศาสนาสมัยใหม่ของเบงกอลมากที่สุดท่านหนึ่ง
ก่อนอื่นขอชี้แจงก่อนว่า ข้อมูลโดยส่วนใหญ่สกัดมาจากหนังสือที่ชื่อว่า “Ramakrishna for Children” ซึ่งกล่าวถึงชีวประวัติของศรีรามกฤษณะ บรมหังสะ ประกอบภาพสีสวยงาม แต่งโดย สวามีวิศวาศรยานันท์ จัดพิมพ์เผยแพร่โดยสมาคมรามกฤษณะเวทานตะแห่งประเทศไทย เนื่องจากเป็นหนังสือสำหรับเด็กจึงใช้ถ้อยคำสำนวนเข้าใจง่าย และข้อดีคือมีข้อมูลหลายจุดที่มาจากคนรู้จักท่านศรีรามกฤษณะอย่างใกล้ชิด
ท่านถือกำเนิดในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1836 ณ หมู่บ้านกามาร์ปุกูร มลรัฐเบงกอลตะวันตก
บิดาของท่านมีชื่อว่า ขุฑิราม ฉัตโตปาธยาย (Khudiram Chattopadhyay) เป็นพราหมณ์ที่เคร่งครัดศาสนาแต่ว่ายากจน (ในหมู่พราหมณ์ก็มีคนจนเช่นกัน) ส่วนมารดาชื่อ จันทราเทวี (Chandra Devi) ขุฑิรามเป็นผู้นับถือศาสนาฮินดู
เทพเจ้าในครอบครัวของเขา คือ รฆุพีระและสีตลาเทวี เขาบูชาเทพเจ้าทั้งสองทุกวันด้วยความภักดีเป็นอย่างยิ่ง เทพทั้งสองอยู่ใกล้ชิดเขาและเป็นที่เทิดทูนของเขามาก
มีเรื่องเล่าด้วยว่า ขุฑิรามมองเห็นสีตลาเทวีมีตัวตนมีชีวิตด้วยซ้ำไป ตอนเช้ายามเขาลงสวนไปเก็บดอกไม้บูชา เขามักเห็นสีตลาเทวีเป็นเด็กหญิงน้อย ๆ เดินไปพร้อมกับเขา บางครั้งเธอก็โน้มกิ่งไม้มาเพื่อให้เขาเด็ดดอกไม้ง่ายขึ้น
อยู่ในหมู่บ้านชื่อเดเร ในอำเภอฮูกลี เบงกอลตะวันตก อินเดีย เขาอาศัยอยู่ที่นั่นมาแต่อ้อนแต่ออกเป็นเวลาประมาณสี่สิบปี เขาอาศัยอยู่อย่างมีความสุขกับจันทราเทวีผู้ภรรยา รามกุมารผู้บุตร กัตยายนีผู้บุตรี และบรรดาเทพที่เขาบูชา
ขุฑิรามฐานะกินดีอยู่ดีพอประมาณ มีบ้าน มีที่ดิน ใกล้ ๆ บ้านของเขามีสระที่รู้จักในนาม “อ่างเก็บน้ำฉัตเตอร์จี” และวัดพระศิวะที่พวกเขาสร้างขึ้นก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
เจ้าของที่ดินผืนดังกล่าวคือรามานันทะ รอย เขาอาศัยอยู่ในสัตเบเรซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้ ๆ ครั้งหนึ่งเขาขอให้ขุฑิรามไปเป็นพยานเท็จใส่ร้ายคนผู้หนึ่งในศาลท้องถิ่น แต่ขุฑิรามปฏิเสธ
เมื่อขุฑิรามไม่ยอมโกหก เจ้าของที่ดินก็ขู่เขาว่า “ฉันจะยึดทุกสิ่งที่เจ้ามี และไล่เจ้าออกไปจากหมู่บ้าน” แต่ขุฑิรามไม่รู้สึกกลัวเลย เจ้าของที่ดินก็เลยใส่ร้ายป้ายสีขุฑิรามด้วยคดีความอันเป็นเท็จ แล้วยึดเอาทุกสิ่งที่เขามี ทั้งที่ดิน สวน บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างเลยทีเดียว
ขุฑิรามจึงทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง ทั้งบ้านของบรรพบุรุษ ที่ดินและทรัพย์สิน และออกจากเดเร หมู่บ้านที่ตนเกิด เขาไม่รู้ว่าจะไปแห่งหนใด จะหาที่พักพิงสำหรับครอบครัวได้ที่ใด และจะหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไร
แต่เขาก็นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งชื่อสุขลาล โคสวามี อาศัยอยู่ที่กามาร์ปุกูร หมู่บ้านในอำเภอฮูกลี ครั้นสุขลาลทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับขุฑิราม เขาจึงเชื้อเชิญเพื่อนผู้นี้ไปที่บ้านของเขาเอง เขายกกระท่อมหมู่หนึ่งให้ขุฑิรามอยู่อาศัย พร้อมที่ดินเล็ก ๆ แปลงหนึ่งที่กามาร์ปุกูร ขุฑิรามชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่สักระยะหนึ่ง แต่หลังเก็บเกี่ยว สิ่งต่าง ๆ ก็ง่ายดายขึ้น ภายหลังผลผลิตข้าวจากที่ดินเล็ก ๆ แปลงนั้นก็นับว่าเพียงพอที่จะเลี้ยงทั้งครอบครัวไปทั้งปี และยังเหลือพอเลี้ยงแขกตามโอกาสด้วย
หลังจากสามหรือสี่ปี หลานคนหนึ่งของขุฑิรามก็เริ่มส่งเงินมาช่วยเขาเดือนละสิบห้ารูปี นี่เป็นการช่วยบรรเทาทุกข์ได้มาก ขณะนี้ครอบครัวนี้มีสิ่งพื้นฐานที่จำเป็นพอแล้ว
หลังมายังกามาร์ปุกูร จันทราเทวีก็ให้กำเนิดบุตรอีกคนหนึ่ง ชื่อว่าราเมศวร เพราะเขาเกิดหลังจากขุฑิรามได้ออกไปจาริกแสวงบุญที่ราเมศวร
ผ่านไปอีกสี่ปีจึงให้กำเนิด “ศรีรามกฤษณะ” มีเรื่องเล่าว่า หลังจากเขาไปแสวงบุญที่คยาก็ฝันประหลาด คือฝันเห็นเทพเจ้าในรูปลักษณ์พระคทาธร ซึ่งเป็นเทพในวัดที่คยา ตรัสแก่เขาว่าจะมาเกิดเป็นบุตร ดังนั้นเมื่อนางจันทราเทวีได้คลอดทารกออกมาฝนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ปีนั้น ขุฑิรามจึงเรียกชื่อเล่นทารกน้อยว่า กะได (Gadai มาจากชื่อ คทาธร)
มีความทรงจำดี เรียนอะไรก็จำได้หมดโดยไม่ต้องท่องบทเรียน กระนั้นก็มีเรื่องหนึ่งที่ต่างออกไป นั่นคือเขาจะตั้งใจฟังและจดจำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น สิ่งใดที่เขาไม่ชอบ ก็ไม่มีใครสอนเขาได้เลย ใครจะพยายามสอนสูตรคูณแก่เขาเท่าไรก็ไม่สำเร็จ เขาไม่สนใจการคำนวณหรือการบัญชีเลย หลายปีต่อมาเขาได้กล่าวว่า “เมื่อฉันยังเด็ก ฉันคิดว่ากฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์นั้นชวนงงมาก”
เมื่อกะไดอายุหกขวบ เขาเป็นที่รักของทั้งหมู่บ้าน ไม่ว่าเด็กชายหญิง หนุ่มสาวหรือคนชรา หากใครมีอาหารดี ๆ เป็นพิเศษก็จะเอาไปให้กะไดก่อน
แม้เขาจะเป็นเด็กชายเล็ก ๆ ความคิดก็เหมือนผู้ใหญ่ วันหนึ่งในฤดูร้อน หนูกะไดเอาข้าวพองใส่ตะกร้าเล็ก ๆ เดินไปกินไปตามขอบแคบ ๆ ของคันนา เขากินไปพลางและมองเมฆมืดทะมึนสวยงามที่กำลังอุ้มฝนอยู่บนท้องฟ้าไปพลาง ไม่ช้านานเมฆก็แผ่ไปเกือบทั่วท้องฟ้า และแล้วฝูงนกกระเรียนสีขาวสะอาดดั่งน้ำนมก็บินมาท่ามกลางเมฆดำนั้น ช่างงดงามเหลือเกิน กะไดมองภาพนั้นด้วยความหลงใหลและดื่มด่ำในภวังค์ และด้วยความปีติถึงขีดสุดเขาก็สิ้นสมประดีล้มลง ข้าวพองหกกระจายทั่วพื้น เขาอยู่ในสภาพนั้นเนิ่นนาน จนมีคนมาพบเข้าและอุ้มกลับบ้าน หลังจากนั้นอีกนานเขาจึงฟื้นคืนสติ
ขุฑิรามผู้พ่อ ถึงแก่กรรมเมื่อกะไดอายุได้เจ็ดขวบ ต่อมาเมื่ออายุเก้าขวบ กะไดก็เข้าร่วมพิธีคล้องด้ายยัตชโยปวีต จากนี้ไปจึงนับได้ว่าเป็นคนวรรณะพราหมณ์อย่างเต็มตัว
ดังนั้นแทนที่จะเรียกว่ากะไดซึ่งเป็นชื่อเล่น เราจะเรียกว่า” ศรีรามกฤษณะ” แทน
ได้เข้าไปเยือนวัดทักษิเณศวร กัลกัตตา และด้วยความประทับใจหลายอย่างเกี่ยวกับวัดแห่งนี้ ต่อมาศรีรามกฤษณะจึงตัดสินใจเข้าสมัครทำหน้าที่รับใช้ในวัดทักษิเณศวร ควรดูแลปรนนิบัติเทวรูปองค์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระแม่กาลี ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของท่านอย่างสุดจิตสุดใจ
ตามเรื่องที่เล่าสืบกันต่อมาปรากฏว่า ศรีรามกฤษณะได้มีประสบการณ์อันแปลกประหลาดหลายครั้งเกี่ยวกับเทวรูป มีความรู้สึกเหมือนเทวรูปนั้นมีชีวิตจิตใจ ท่านเชื่อมั่นว่าในเทวรูปจะต้องมีพระแม่สถิตอยู่แน่นอน
และด้วยความปรารถนาจะได้เห็นพระแม่กับตาตนเอง ท่านได้แยกตัวออกไปบำเพ็ญในป่าอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง บรรยากาศสงบสงัดของป่าทำให้ท่านสามารถเข้าถึงสมาธิอันสงบตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งยามค่ำคืนเมื่อทุกคนหลับใหล ศรีรามกฤษณะเดินเข้าไปในป่าคนเดียวและนั่งสมาธิ ญาติของท่านคนหนึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชื่อ หฤทัย (Hridoy) สังเกตว่าท่านหายไป ด้วยหวังจะค้นพบว่าอาเขาทำอะไรอยู่ จึงตามท่านไป พบศรีรามกฤษณะนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นมะขามป้อม เขาคิดว่าอาของเขาคงเสียสติไปแล้ว เพื่อให้ท่านตกใจกลัว หฤทัยจึงโยนหินใส่โดยหมายว่าอาจะเกิดกลัวผี และเผ่นออกมาจากป่า แต่ศรีรามกฤษณะไม่รับรู้สิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น
เมื่อท่านตั้งจิตจดจ่อกับพระเจ้า ท่านก็ลืมประสาทสัมผัสภายนอกทั้งหมด เป็นเช่นนี้มาแต่วัยเด็กแล้ว
ท่านไม่เคยลังเลที่จะเปิดใจฝึกฝนแนวทางใด ๆ ที่เข้ามาสู่ในชีวิต ซึ่งวัดทักษิเณศวรนับว่าเป็นสถานที่สะดวกในการศึกษานิกายหรือศาสนาอื่น เพราะมีนักบวชจากหลายศาสนาหลายนิกายจรมาเยี่ยมเยือนอย่างมากหน้าหลายตา
ท่านจึงทดลองดำรงชีวิตเป็นสมาชิกของหลายนิกายหลายศาสนา เช่น นิกายตันตระ เวทานตะ และไวษณพ มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านดำรงชีวิตเป็นมุสลิม และมีอีกช่วงเป็นคริสต์ เป็นต้น
ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ เมื่อวัย 23 ปี ท่านได้สมรสกับหญิงสาวขื่อสารทา ซึ่งในภายภาคหน้าจะกลายมาเป็นนักบวชหญิงศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเบงกอลให้ความเคารพนับถือควบคู่ไปกับตัวศรีรามกฤษณะเอง
ครั้งหนึ่งนักบวชสาธุนิการไวษณพตนหนึ่งมาที่ทักษิเณศวร และนั่งบำเพ็ญอยู่ที่ป่าปัญจาวดี เขาเป็นผู้บูชาศรีรามจันทร์ เขาเป็นนักบวชที่มีลักษณะแปลก ไม่มีเทวรูปหรือรูปภาพของศรีรามจันทร์ติดตัว มีเพียงหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาเปิดดูบ่อย ๆ แล้วร้องไห้
ศรีรามกฤษณะคิด “ฉันต้องดูให้ได้ว่าในหนังสือเขียนอะไรไว้” วันหนึ่งท่านจึงบอกสาธุว่าท่านอยากดูหนังสือเล่มนั้น สาธุจึงให้ท่านดู ศรีรามกฤษณะได้เห็นว่าทุกหน้ามีเขียนอยู่เพียงสองคำว่า “โอม ราม” และไม่มีสิ่งอื่นเลย
ศรีรามกฤษณะถามว่า “นี่เป็นคัมภีร์ประเภทใดกัน มีแต่คำว่า “โอม ราม” เขียนอยู่ทุกหน้า” สาธุตอบว่า “พระรามทรงเป็นพระเจ้า และสรรพสิ่งในโลกล้วนมีพระองค์ซ่านอยู่ พระองค์เองเป็นคัมภีร์ทั้งหลายด้วย ฉะนั้นหากฉันอ่านพระนามของพระองค์ก็เหมือนได้อ่านคัมภีร์ทั้งหมด”
ศรีรามกฤษณะ บรมหังสะ บำเพ็ญตนตามหลักแต่ละนิกายและศาสนาจนได้ข้อสรุปอันน่าสนใจยิ่งว่า “ทุกศาสนาคือความจริงทั้งสิ้น”
ข้อนี้อาจฟังดูเหมือนขัดแย้ง เพราะหลายคนมองว่า ความจริงทางศาสนาควรจะมีแบบเดียว คือแบบที่ศาสนาของตนพูดเท่านั้น แต่ศรีรามกฤษณะ บรมหังสะ กลับมีมุมมองว่าแต่ละศาสนาเป็นทางคนละสายที่ไปสู่ความจริงข้อเดียวกัน
จากจุดเริ่มต้นในฐานะผู้บูชาพระแม่กาลี เป็นเวลาสิบสองปีที่ท่านได้ปฏิบัติสาธนาทุกรูปแบบดังที่ทุกศาสนากำหนดไว้ ตัวท่านเองได้ตามวิถีอันแตกต่างกันที่ก่อนหน้านี้มนุษย์ได้ค้นพบไว้และได้บรรลุถึงพระเจ้าด้วยหนทางทั้งหมดนั้น
ท่านได้พบว่าชาวฮินดู มุสลิม และคริสต์ ล้วนแต่บูชาพระเจ้าองค์เดียวกัน บางคนเรียกพระองค์ว่าพรหมัน กาลี กฤษณะ ขณะที่บางคนเรียกพระองค์ว่าเยซู อัลลอฮ์ หรือพระนามอื่น ๆ อีก
หลักการและวิถีอาจจะแตกต่างกัน แต่จุดหมายปลายทางนั้นเป็นจุดเดียวกัน หลักการต่าง ๆ นั้นก็มีมากมายเช่นเดียวกับวิถีต่าง ๆ นั่นเอง
ท่านได้ใช้เรื่องราวและอุปมาง่าย ๆ อธิบายความจริงข้อนี้ ท่านกล่าวว่า ในอ่างเก็บน้ำแห่งหนึ่ง มีท่าน้ำหลายท่า ชาวฮินดูตักน้ำจากท่าหนึ่ง ชาวมุสลิมตักน้ำจากอีกท่าหนึ่ง ชาวคริสต์จากอีกท่าหนึ่ง และคนอื่น ๆ ก็ตักจากท่าอื่น ๆ น้ำเดียวกันนี้เอง ชาวฮินดูเรียกว่า “ชล” ชาวมุสลิมเรียกว่า “ปานี” ชาวคริสต์เรียกว่า “วอเตอร์” ดุจเดียวกันนี้ พระเจ้าองค์เดียวกันชาวฮินดูก็เรียกว่า กาลี กฤษณะ และพระนามอื่น ๆ ชาวมุสลิมเรียกว่าอัลลอฮ์ ชาวคริสต์เรียกว่าก๊อด และหมู่ชนอื่น ๆ ก็เรียกด้วยพระนามอื่น ๆ มากมาย
พระนามเหล่านั้นอาจแตกต่างกัน แต่ความจริงก็คือพระเจ้าองค์เดียวกัน
[เรื่องราวของศรีรามกฤษณะ บรมหังสะ ยังไม่จบ สัปดาห์หน้าเราจะพูดถึงการพบกันระหว่างศรีรามกฤษณะกับศิษย์เอกที่ชื่อ สวามีวิเวกานันท์ ซึ่งต่อมากลายเป็นนักบวชหนุ่มที่สั่นสะเทือนวงการศาสนาโลก โปรดติดตามตอนต่อไป]
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ