วันที่ 12 สิงหาคม 2566
เพลงแม่ของแผ่นดิน
เพลง “แม่ของแผ่นดิน” ออกอากาศครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2555 คงไม่มีผู้ใดตั้งคำถามถึงเหตุผลที่เปิดเพลงนี้ เพราะวันที่ออกอากาศคือวันที่ 12 สิงหาคม 2566 เป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่ง คือวันเฉลิมพระชนมพรรษาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ไม่เพียงแต่ทรงเป็นพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ยังทรงเป็นศูนย์รวมน้ำใจไทยทั้งผอง เปรียบเสมือนแม่หลวงของพสกนิกรทั้งชาติ ด้วยเหตุนี้ วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปีจึงได้รับการเฉลิมฉลองในฐานะวันแม่แห่งชาติด้วย เพื่อระลึกถึงแม่ผู้เสียสละทุกคน
โอกาสนี้ พวกเราทั้งสองขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอทรงพระเกษมสำราญ ปราศจากโรคาพาธ พระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ สถิตเป็นมิ่งขวัญประชาชนชาวไทยไปชั่วกาลนาน และในโอกาสเดียวกันนี้ขอยกย่องสดุดีและเป็นกำลังใจให้แม่ทุกคนรวมทั้งแม่ของพวกเราทั้งสองเองด้วย เพราะนอกจากการฟูมฟักเลี้ยงดูบุตรให้เติบใหญ่ในทางกายภาพแล้ว การบ่มเพาะปลูกฝังบุตรให้เติบโตในทางอุปนิสัยนั้นก็เป็นภาระอันสุดแสนจะยากเข็ญ
เราได้กล่าวถึงเรื่องราวชีวิตของศรีรามกฤษณะ บรมหังสะ ผู้เป็นต้นกำเนิดของแนวคิดสำนักรามกฤษณะเวทานตะ ที่เป็นแนวคิดสำคัญและมีอิทธิพลยิ่งต่อปรัชญาอินเดียยุคใหม่
โดยเราได้ปูพื้นฐานเกี่ยวกับครอบครัวและชีวิตวัยเด็กของท่าน ไปจนถึงการบำเพ็ญเพียรที่ทำให้ท่านได้ค้นพบความจริงบางอย่างและได้ประกาศแนวคิดซึ่งเป็นรากฐานของสำนักรามกฤษณะเวทานตะสืบมาจนปัจจุบัน ก่อนจบรายการ พวกเราได้ทิ้งชื่อบุคคลหนึ่งไว้คือท่านสวามีวิเวกานันท์
เดิมชื่อว่า นเรนทรนาถ ทัตตะ (ออกเสียงแบบเบงกาลีว่า ดอตโต) เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1863 เป็นบุตรของพิศวนาถ ทัตตะ กับนางภูพเนศวรี
ในวัยเด็ก นเรนทรนาถมีชื่อเล่นว่า บีเล เขาเป็นเด็กฉลาดเฉลียวและฉายแววความสนใจใคร่รู้ในทางจิตวิญญาณเช่นเดียวกับหนูกะได (คือศรีรามกฤษณะในวัยเด็กดังที่เล่าไปในสัปดาห์ก่อน)
บีเลเป็นเด็กที่มีจิตใจงดงามชอบช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อสงสัยสิ่งใดก็จะพยายามพิสูจน์จนได้ข้อสรุปที่ตนเองยอมรับ นอกจากนี้เขายังเป็นเด็กอัจฉริยะที่มีความจำดี ฟังสิ่งใดผ่านเพียงครั้งเดียวก็จะทรงจำได้ ไม่ต่างจากศรีรามกฤษณะเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงแตกฉานในเรื่องปุราณะ รามายณะ มหาภารตะตั้งแต่วัยเด็ก และชำนาญในการเล่นดนตรีและขับร้องด้วย นอกจากนั้นเขายังมีอุปนิสัยส่วนตัวที่กล้าหาญและมีความเป็นผู้นำ แก้ไขสถานการณ์ได้ฉับไว
เขาได้เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่วิทยาลัยเพรสิเดนซี โกลกาตา (Presidency College, Kolkata) (ปัจจุบันมีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยคือ Presidency University, Kolkata) ณ ที่นี้เขาได้ศึกษาเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา รวมทั้งประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์อีกหลายแขนง
ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง นเรนทรนาถได้ใช้เวลาทบทวนตัวเองที่สนใจเรื่องทางจิตวิญญาณมาตั้งแต่วัยเด็ก และปรารถนาจะแสวงหาและเข้าถึงความจริงว่าด้วยพระเจ้าของศาสนาฮินดูที่ตนเองบูชาแต่ไม่เคยสัมผัส
นเรนทรนาถเฝ้าคอยสอบถามบรรดาบุคคลที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีนักบุญผ่านทางมายังเมืองที่เขาอยู่ เขาจะเข้าไปพบปะและถามสิ่งที่อยู่ในใจ ‘เขาเหล่านั้นเคยพบเห็นพระเจ้าหรือไม่’ ทว่าไม่มีผู้ใดให้คำตอบที่ทำให้เขาหมดสิ้นข้อสงสัยได้เสียที
จนกระทั่งเมื่อศรีรามกฤษณะมาเยือนบ้านนายสุเรศบาบู ในเมืองกัลกัตตา นเรนทรนาถจึงไม่ละทิ้งโอกาสที่จะเข้าพบ เขาไปที่บ้านนายสุเรศบาบู เล่นดนตรีให้ศรีรามกฤษณะฟัง และเมื่อถามคำถามว่าศรีรามกฤษณะเคยเห็นพระเจ้าหรือไม่ ท่านกลับให้คำตอบว่า ถ้าอยากรู้ขอให้ไปพบกันที่วัดทักษิเณศวร
เมื่อนเรนทรนาถไปตามคำเชื้อเชิญของศรีรามกฤษณะ เขาได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าให้ศรีรามกฤษณะฟัง เมื่อฟังจบ ท่านก็ฉวยข้อมือของเขาไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า ทำไมเจ้าจึงมาช้านัก ฉันเฝ้าคอยมานานแล้วที่จะได้แบ่งปันความคิดกับคนที่เข้าใจฉันจริง ๆ แล้วท่านก็ไปเอาขนมจากในห้องมาป้อนใส่ปากนเรนทรนาถด้วยมือของท่านเอง
เป็นธรรมดาที่นเรนทรนาถจะรู้สึกตกใจและระแวดระวัง แต่แล้วเขาก็ถามคำถามที่ถามต่อทุกคนก่อนหน้านี้มาตลอดว่า “ท่านครับ ท่านเคยเห็นพระเจ้าหรือยัง”
ท่านตอบโดยไม่ต้องลังเลแม้แต่ประเดี๋ยวเดียวว่า “เคยสิ ฉันเคยเห็นพระองค์แล้ว ฉันเห็นพระองค์เหมือนกับที่เห็นเจ้าอยู่เดี๋ยวนี้แหละ แต่เห็นกระจ่างชัดเจนกว่า เรามองเห็นพระเจ้าได้ เราพูดคุยกับพระองค์ได้ ทว่าใครเล่าจะสนใจพระเจ้า บุคคลหลั่งน้ำตาเป็นสายฝนให้แก่ภรรยา ลูก ๆ ทรัพย์สิน สมบัติ แต่ใครเล่าจะร้องไห้เพื่อให้ได้ทัศนาพระเจ้า ถ้าผู้ใดร่ำไห้อย่างจริงใจเพื่อพระเจ้า ผู้นั้นจะได้เห็นพระองค์อย่างแน่นอน”
นเรนทรนาถรู้สึกแปลกใจกับคำตอบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครเคยยืนยันชัดเจนขนาดนี้มาก่อนว่าตนได้เห็นพระเจ้า บางทีบุคคลข้างหน้าเขาอาจเป็นครูที่เขาแสวงหามาทั้งชีวิตก็ได้ แต่เขาก็ยังไม่ปลงใจเชื่อในทันที ไม่ต้องสงสัยว่าเขาเคารพนับถือศรีรามกฤษณะ แต่การจะยอมรับความคิดของท่านนั้น นเรนทรนาถต้องพิสูจน์ด้วยตนเองเสียก่อนจึงจะเชื่อได้สนิทใจ
จากนั้นนเรนทรนาถจึงเพียรไปเข้าพบศรีรามกฤษณะด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน สองอาจารย์ลูกศิษย์จึงสนิทสนมรักใคร่กันมาก กล่าวได้ว่า ศรีรามกฤษณะได้ศิษย์ที่เป็นที่ถูกใจของตัวท่านจริง ๆ
เวลาผ่านไปจนกาลบัดหนึ่ง ช่วงนเรนทรนาถเพิ่งสอบจบปริญญาตรี บิดาของเขาคือพิศวนาถเกิดถึงแก่กรรมกะทันหัน พร้อมกับทิ้งหนี้สินพะรุงพะรังไว้ในนเรนทรนาถบุตรคนโตของครอบครัวจัดการ นั่นหมายถึงเขาต้องรับภาระเลี้ยงดูแม่และน้อง ๆ ด้วยตนเอง นเรนทรนาถตระเวนหางานในเมืองกัลกัตตา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เขาตกอยู่ในภาวะอับจนและลำบากยิ่งยวด
นเรนทรนาถไปหาศรีรามกฤษณะเป็นที่พึ่ง เขาสารภาพกับครูว่าขณะนี้เขาต้องการเงินเหลือเกิน เขาสามารถขอพรในเรื่องเงินจากพระแม่ได้หรือไม่ ศรีรามกฤษณะบอกว่า “ฉันรับรอง ถ้าเจ้าไปขอพรใด ๆ จากพระแม่ในคืนนี้ พระแม่จะประทานให้เจ้า เพราะคืนนี้เป็นคืนวันอังคาร ซึ่งเป็นวันมงคล”
กลางดึกคืนนั้น นเรนทรนาถจึงเข้าไปในวิหารเพื่อขอพร แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอพรเรื่องเงิน เขากลับมาเล่าให้ศรีรามกฤษณะฟัง ศรีรามกฤษณะส่งเขากลับไปอีกถึงสามครั้ง แต่ละครั้ง นเรนทรนาถก็ยังไม่กล้าขอเงิน
เขาเอาแต่สวดซ้ำ ๆ ว่า “โอ้พระแม่ ข้าไม่ขออันใดจากพระองค์ เว้นแต่ความรู้ ความภักดี การแยกแยะดีชั่ว และการสละละทิ้งเท่านั้น โอ้พระแม่ ได้โปรดประทานแก่ข้าซึ่งสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ และทรรศนะอันแจ่มแจ้งในพระองค์ดุจดังภาพที่ข้าพระองค์ได้แลเห็นอยู่เดี๋ยวนี้เถิด”
ข้อนี้แสดงให้เห็นอย่างกระจ่างชัดว่า ณ ขณะนี้นเรนทรนาถได้กลายเป็นผู้ภักดีต่อพระเจ้าอย่างเต็มขั้นโดยไม่หวังได้รับผลประโยชน์ใด ๆ
หลังจากนั้นไม่เพียงแต่สถานการณ์ครอบครัวของนเรนทรนาถจะกระเตื้องขึ้น ความก้าวหน้าในทางจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในอนาคตหลังจากที่ท่านครูศรีรามกฤษณะ บรมหังสะ ได้ดับขันธ์ลาโลกนี้ไปแล้ว นเรนทรนาถได้กลายเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ปรัชญาของท่าน และได้เป็นที่รู้จักในนามอันกระเดื่องว่า สวามีวิเวกานันท์ ผู้ซึ่งได้สั่นสะเทือนวงการศาสนาโลกด้วยสุนทรพจน์ ณ กรุงชิคาโก ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1893
จากการกล่าวปาฐกถาอันทรงพลังครั้งนั้น ทำให้ปรัชญาอินเดียสายรามกฤษณะเป็นที่รู้จักในสายตาชาวโลก และส่งอิทธิพลอย่างมากต่อการเผยแพร่อำนาจอ่อนของอินเดียในโลกตะวันตก เช่น การปฏิบัติโยคะ การทำสมาธิ และอื่น ๆ อีกมากมาย
คุณูปการของสวามีวิเวกานันท์กล่าวได้ว่า ท่านเป็นดั่งทูตวัฒนธรรมที่เชื่อมอินเดียกับโลกภายนอกอย่างมีนับสำคัญ
นี่เป็นเหตุผลด้วยที่ทำไมปัจจุบันศูนย์วัฒนธรรมของอินเดียในประเทศต่างแดนที่มิใช่ประเทศที่นับถืออิสลามเป็นศาสนาหลัก จึงตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่สวามีวิเวกานันท์ รวมทั้งในประเทศไทยด้วย
ย้อนกลับมากล่าวถึงท่านศรีรามกฤษณะ ในชีวิตของท่านยังมีบุคคลอีกท่านหนึ่งที่สำคัญต่อตัวท่านเป็นพิเศษคือ สารทาเทวี คู่ชีวิตของท่าน ผู้ได้รับการยกย่องจากบรรดาสานุศิษย์ในฐานะพระแม่
เรื่องนี้ต้องเท้าความถึงในครั้งก่อนที่ศรีรามกฤษณะในวัยหนุ่มได้บำเพ็ญเพียรในป่าคนเดียวเสียจนกระทั่งคนรอบตัวเข้าใจว่าท่านมีสติวิปลาสไปแล้ว เรื่องนี้ได้ลือไปถึงมารดาของท่านที่กามาร์ปุกูร์ มารดาของท่านวิตกกังวลมาก จึงคิดว่า บุตรของนางก็วัย 23 ปีแล้ว คงจะต้องแก้ไขด้วยการให้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสีย จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน หันมาดูแลครอบครัวเยี่ยงปุถุชนทั่วไป
นางจึงตามท่านศรีรามกฤษณะกลับบ้านมาปรึกษาเรื่องการแต่งงาน ศรีรามกฤษณะคงจะคัดค้านใช่ไหม เปล่าเลย ท่านกลับพูดด้วยว่า “จงไปยังบ้านตระกูลมุโขปาธยายที่หมู่บ้านชัยรามพตี ท่านจะพบภรรยาของฉันที่หมายไว้แล้วด้วยเส้นฟาง” สำนวน “หมายไว้แล้วด้วยเส้นฟาง” หมายถึง “ถูกลิขิตไว้แล้ว” เจ้าสาวถูกพบที่นั่นจริง ๆ
ศรีรามกฤษณะวัย 23 ปีก็ได้ตบแต่งกับสารทามณิวัยห้าขวบ ลูกสาวรามจันทร์ มุโขปาธยายแห่งชัยรามพตี
แต่การปฏิบัติของศรีรามกฤษณะต่อสารทาเทวีภรรยาของท่านนั้น แตกต่างจากสามีภรรยาทั่ว ๆ ไป ศรีรามกฤษณะได้ประกอบพิธีบูชาภรรยาของท่านเอง เมื่อถูกถามถึงเหตุผล ท่านได้เล่านิทานเรื่องพระคเณศประกอบ มีเนื้อหาว่า
พระคเณศเป็นโอรสของพระแม่ทุรคา เมื่อทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงเคยใช้ไม้ตีนางแมวตัวหนึ่งอย่างแรง แมวนั้นเลือดไหลโชก พักหนึ่งต่อมา เมื่อพระคเณศมาเฝ้าพระมารดาก็ทรงเห็นว่าทั้งพระวรกายมีรอยถูกตี ใครเล่าเป็นผู้ตีพระองค์ พระแม่ทุรคาตรัสว่า “ลูกเอ๋ย เจ้านั่นแหละที่ตีแม่” พระคเณศทรงนิ่งอึ้งด้วยความอัศจรรย์ในพระทัย พระแม่ตรัสอะไรอยู่ จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าพระองค์ทรงทำเช่นนั้น ก็ย่อมจะทรงระลึกได้สิ พระแม่ทุรคาตรัส “ลองคิดสิ พยายามนึกให้ออกว่าเจ้าได้ตีสัตว์อะไรบ้างหรือไม่ในวันนี้” พระคเณศตรัส “หม่อมฉันได้ตีแมวตัวหนึ่ง เหตุใดทรงถามเช่นนั้น” พระแม่ทุรคาตรัส “ลูกเอ๋ย แท้จริงเจ้าได้ตีแม่เสียแล้ว เพราะแม่สถิตอยู่ในสิ่งมีชีวิตเพศหญิงทุกสิ่งในโลก”
ศรีรามกฤษณะเห็นพระแม่กาลีในผู้หญิงทุกคน นี่เป็นเหตุผลที่แม้ว่าท่านจะได้แต่งงานกับสารทาเทวี ท่านก็ไม่เคยมองสารทาเทวีเป็นอื่นใดนอกจากองค์พระแม่
นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงลักษณะสตรีนิยมของปรัชญาสาขานี้ ซึ่งนับว่ามีนัยสำคัญต่อการพัฒนาสถานภาพของสตรีในเบงกอลด้วย
ในกาลต่อมาบุคคลศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามนี้คือ ศรีรามกฤษณะ สารทาเทวี และสวามีวิเวกานันท์ คือสามท่านที่เป็นที่นับถือของบรรดาสานุศิษย์ด้วยสถานะอวตารขององค์เทพเจ้า
การจะกล่าวบรรยายถึงบุคคลทั้งสามให้ละเอียดทีละคนนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยเวลาจำกัด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงบั้นปลายชีวิตของศรีรามกฤษณะแต่พอสังเขป
ศรีรามกฤษณะได้อาศัยอยู่ที่ทักษิเณศวรและบรรยายเรื่องพระเจ้าเป็นเวลา 13 ปี
ในปี ค.ศ. 1885 เมื่ออายุได้ 49 ปี ท่านก็ล้มป่วยหนัก และพบว่าเป็นมะเร็งในลำคอ ท่านถูกนำมายังศยามปุกูรในกัลกัตตา ซึ่งมีอุปกรณ์รักษาดีกว่า จากนั้นบรรดาสานุศิษย์ก็พาท่านไปสู่บ้านสวนที่กัสสิปูร์ ณ ที่นี้เองท่านได้ละกายสังขารของท่านไปในวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1885 ภายใต้การดูแลใกล้ชิดของสารทาเทวี แต่หลังจากนั้นก็มีรายงานจากผู้ใกล้ชิดว่าพบเห็นท่านศรีรามกฤษณะปรากฏตัวต่อหน้าสานุศิษย์เสมอ แม้แต่สวามีวิเวกานันท์ก็เคยพบเห็นท่านที่กันยากุมารี มากระตุ้นให้ออกไปเผชิญโลกภายนอก ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้คงอธิบายได้ด้วยคำเดียว คือ “ศรัทธา” เท่านั้น
สวามีวิเวกานันท์ศิษย์เอกเขียนไว้ว่า ศรีรามกฤษณะเปี่ยมไปด้วยความรู้ ภักติ ความรัก การอุทิศตนทำงาน และความเมตตาอันไร้ขีดจำกัดต่อสรรพชีวิต งานบรรยายของท่านสองชิ้นอันเป็นดั่งคุรุทักษิณา ได้ถูกรวบรวมไว้ในหนังสือ My Master ความภักดีของท่านต่อศรีรามกฤษณะได้ถ่ายทอดไว้ในบทเพลงขัณฑนะ-ภวะ-พันธนะอันประณีตและกินใจ สวามีสารทานันท์
เลขานุการท่านแรกของรามกฤษณมัฐ รังสรรค์งานชิ้นสำคัญชื่อ Sri Ramakrishna: The Great Master ที่ครอบคลุมประวัติช่วงวัยต่าง ๆ ของศรีรามกฤษณะตลอดจนความสัมพันธ์กับสวามีวิเวกานันท์ด้วย
คิริศจันทร์ โฆษ นักแสดงและผู้กำกับละครชาวเบงกาลี ผู้เคยปฏิเสธศรัทธาในพระเจ้า ก็ได้เห็นแสงสว่างด้วยการชี้นำของศรีรามกฤษณะ ภายหลังก็นำคำสอนของท่านไปปรับใช้ในงานของตน เช่น ในบทละครชื่อ Nasiram
และที่จะเว้นกล่าวถึงเสียมิได้คือ มเหนทรนาถ คุปตะ ผู้ใช้นามปากกาย่อสั้น ๆ ว่า “M.” ได้บันทึกชีวิตและคำสอนอันงดงามของศรีรามกฤษณะไว้ในหนังสือ Sri Ramakrishna Kathamrita หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า The Gospel of Sri Ramakrishna
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ