วันที่ 19 สิงหาคม 2566
เพลง Toilet Ka Jugaad
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Toilet: Ek Prem Katha ฉายในปี ค.ศ. 2017 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยศรี นารายัณ สิงห์ (Shree Narayan Singh ) ดารานำคืออักษัย กุมาร (Akshay Kumar) และภูมี เปฑเนการ์ (Bhumi Pednekar) เพลงนี้ขับร้องโดยอักษัย กุมาร และวิกกี้ ประสาท (Vickey Prasad)
บุคคลที่มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งว่าด้วยห้องส้วมในอินเดีย ที่เราใช้คำว่า “แด่” ก็เพราะต้องการอุทิศรายการวิทยุตอนนี้ให้เขา เพราะเขาอำลาจากโลกไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา อายุ 80 ปี
ปฐักเกิดในตระกูลวรรณะพราหมณ์ เขาเคยเล่าว่าตอนเป็นเด็กก็เริ่มตระหนักถึงความเป็นตัวตนของตนที่มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้อื่น โดยเฉพาะคนวรรณะล่างหรือนอกวรรณะ คือแทบจะเห็นทุกมิติที่เป็นการเลือกปฏิบัติ และเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดวิถีชีวิตของผู้คนในหมู่บ้าน สำหรับเขาระบบวรรณะเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ยากที่จะให้อภัยได้
เขาเคยเล่าถึงเหตุการณ์ในวัยเด็กเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นำของมาส่งถึงบ้าน หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้กลับ คุณย่าจะพรมน้ำมนต์เพื่อ "ชำระล้าง" ภายในบ้าน เขากล่าวว่า “ผมเคยสงสัยว่าทำไม มีคนเคยบอกผมว่าผู้หญิงคนนี้เป็นทลิตผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัว และพื้นที่ที่เธอเดินก็กลายเป็นมลพิษ”
ปฐักจะสัมผัสตัวเธอโดยไม่ให้คนในบ้านเห็น ที่สัมผัสตัวเธอก็เพื่อดูว่ามันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรไหม อยู่มาวันหนึ่งคุณย่าของปฐักจับได้ สิ่งที่ตามมาอย่างแน่นอนคือความวุ่นวายในบ้าน ตามมาด้วยการนิมนต์พราหมณ์มาที่บ้าน ซึ่งพราหมณ์ก็บอกว่าปฐักปนเปื้อนแล้ว ดังนั้นต้องถูกเนรเทศออกจากบ้าน
ทว่าแม่ของปฐักเข้ามาแทรกแซง บอกว่าเขาเป็นแค่เด็ก เดี๋ยวค่อยหาทางออกเพื่อแก้ความปนเปื้อนของ ซึ่งทางออกที่ว่าคือ ปฐักถูกบังคับให้กลืนมูลวัวและปัสสาวะวัว ซึ่งเขาจดจำเหตุการณ์ในวันนั้นว่าเป็นบาดแผลคาใจมาตลอด
เหตุการณ์ดังกล่าวสำหรับหลายคนคือการกำราบ ป้องปรามมิให้คิดที่จะกระทำอีก และหลายคนก็คงไม่กล้ากระทำอีก ทว่าสำหรับปฐักเหตุการณ์ดังกล่าวกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนแปลงสำหรับเขา เขาเริ่มตระหนักถึงความเลวร้ายที่ระบบวรรณะมันทำร้ายผู้คนวรรณะล่างหรือนอกวรรณะ
ในบทสัมภาษณ์ที่เขาให้แก่บีบีซี ปฐักกล่าวว่า “ผมจะหมกมุ่นว่าทำไมเราถึงอยู่ในสังคมที่ไม่ยุติธรรมเช่นนี้ โดยมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันสำหรับผู้คนที่แตกต่างกัน...คุณสามารถสัมผัสสุนัขได้ แต่การสัมผัสคนอื่นที่เหมือนกับคุณทำให้เกิดวิกฤตในครอบครัว”
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าศึกษาสังคมวิทยา และคิดมาแต่ไหนแต่ไรว่าต้องทำอะไรสักอย่าง
ในปี ค.ศ. 1968 ซึ่งเขาเพิ่งแต่งงานหมาดๆ แต่งเสร็จรีบเข้าไปอาศัยอยู่ในชุมชนคนนอกวรรณะเพื่อศึกษาเกี่ยวกับพวกเขา
สิ่งที่ตามมาคือครอบครัวและชุมชนของเขาไม่พอใจอย่างยิ่ง พวกพราหมณ์กล่าวว่าพวกเขารู้สึกขยะแขยงกับพฤติกรรมของปฐัก พ่อของเขาไม่มีความสุข และพ่อตาของเขากล่าวหาว่าเขานำความอับอายมาสู่วัฒนธรรมของพวกเขา
ปฐักกล่าวต่อบีบีซีว่า “พ่อตาของผมโกรธผมมาก ท่านบอกผมว่าท่านไม่ต้องการเห็นหน้าผมอีก และท่านรู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับผู้ชายอย่างผม”
ปฐักเล่าให้ฟังในทำนองว่า ตนก็รู้สึกเหมือนกัน รู้สึกเศร้า แต่ไม่รู้สึกเสียใจที่เลือกเดินทางชีวิตแบบนี้ และกล่าวด้วยว่า “ผมคิดกับตัวเองว่า ผมสามารถละทิ้งภรรยาของผมได้ แต่ผมจะไม่ละทิ้งภารกิจของผม”
ในภายหลังเคยกล่าวด้วยว่า “สิ่งสำคัญในชีวิตของเขาคือการแก้ปัญหาสุขอนามัยของผู้คน...ฉันรักงานนี้มากกว่าลูกชายและลูกสาวของฉัน”
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1989 เขาเคยพาเด็กผู้หญิง 100 คนจากครอบครัวทลิตที่เก็บขยะในรัฐราชสถานเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วทลิตจะถูกกันไม่ให้เข้า และกินอาหารในที่สาธารณะกับพวกเธอ
ปฐักตระหนักด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงอุทิศเวลากับการคิดที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของทลิตดีขึ้น
ในปี ค.ศ. 1969 ปฐักได้สร้างความก้าวหน้าในงานศึกษาของตน เขาออกแบบโถส้วมแบบหลุมคู่ที่ช่วยให้คนเก็บขยะจำนวนหลายพันคนหลุดพ้นจากชีวิตที่ต้องล้างอุจจาระด้วยมือ
หลังจากนั้นรัฐบาลมลรัฐพิหาร (Bihar) ก็มอบหมายให้ปฐักสร้างโถส้วมแบบดังกล่าว 200 หลัง หลังจากนั้นเป็นต้นมา แนวคิดของเขาได้รับความนิยมมาก มีบุคคลสำคัญมากมายมาขอเข้าพบเขาและขอคำแนะนำจากเขา
ความสนใจทั้งหมดนี้ทำให้ความคิดเห็นของครอบครัวเกี่ยวกับงานของเขาดีขึ้นด้วย เขาเล่าในบทสัมภาษณ์ว่า “ภรรยาผมสนับสนุนผมมาโดยตลอด แต่ตอนนี้พ่อตาของผมก็เริ่มคิดแล้วว่าผมคงกำลังทำบางสิ่งบางอย่างที่ถูกต้อง”
ในปี ค.ศ. 1970 ปฐักก่อตั้งมูลนิธิชื่อมูลนิธิสุลาภ (The Sulabh Foundation) โดยปฐักบอกอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจจากมหาตมาคานธี นั่นคือ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนนอกวรรณะ
มูลนิธิสุลาภนับตั้งแต่ก่อตั้งมาได้สร้างส้วมมากถึง 1,500,000 แห่ง ทำให้ผู้คนมากถึง 20 ล้านคนสามารถใช้ส้วมเหล่านี้ได้ ที่สำคัญคือแบบส้วมของเขาถูกหยิบยืมไปใช้ในต่างประเทศด้วย
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 มูลนิธิสุลาภได้สร้างห้องน้ำแบบ “จ่ายแล้วใช้" มากกว่า 9,000 ห้องในชุมชนแออัดในเมืองและในสถานที่สาธารณะ เช่น ป้ายรถเมล์ ตลาด สถานีรถไฟทั่วประเทศ
แนวคิดหนึ่งรูปีสำหรับ “เข้าส้วมเบา” และสองรูปีสำหรับ “เข้าส้วมหนัก” เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศที่การใช้ห้องน้ำในที่สาธารณะมักหมายถึงการนั่งยอง ๆ หลังต้นไม้
ในประเทศที่ห้องน้ำเหม็นอับและมีแมลงวันมากมาย งานของปฐักได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการบริการสาธารณะเพราะช่วยส่งเสริมสาธารณสุขที่พึงประสงค์
ปฐักเปลี่ยนแปลงชีวิตชาวอินเดียหลายล้านคน โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้าถึงห้องน้ำในที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกพล่านได้ และจำเป็นต้องออกกำลังกายควบคุมกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลาหลายชั่วโมง

เมื่อให้สัมภาษณ์บีบีซี ปฐักกล่าวว่า “การสุขาภิบาลเป็นศาสนาของฉัน ถ้าคุณไม่ช่วยเหลือมนุษย์คนอื่น แสดงว่าคุณยังไม่ได้อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า”
ในช่วงชีวิตของปฐัก เขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรติของอินเดียและรางวัลระดับโลกมากมาย เมื่อความนิยมเพิ่มขึ้น สื่อมวลชนขนานนามเขาว่า "Mr. Sanitation" บ้างก็เรียกเขาว่า “The Toilet Man of India”
แทบจะทุกคนยอมรับว่า ปฐักคือนักรณรงค์และนักปฏิรูปสังคมคนสำคัญ เขาเสียชีวิตเมื่อวันอังคาร อายุ 80 ปี
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มูลนิธิสุลาภ ยังร่วมมือกับสวัจฉภารัตอภิยาน (Swachh Bharat Abhiyan) ซึ่งเป็นการรณรงค์ของรัฐบาลโมดีว่าด้วย “อินเดียสะอาด” มีจุดมุ่งหมายเพื่อยุติการถ่ายอุจจาระโดยเปิดเผย อินเดียใหม่ อินเดียที่นอกจากจะเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจแล้ว จะเป็นอินเดียที่สะอาดขึ้นอย่างแน่นอน ลองจับตากันดูต่อไปครับ
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ