เพลง Bharat Humko Jaan Se Pyara Hai
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Roja ฉายในปี ค.ศ. 1992 เพลงนี้จัดทำโดยเอ.อาร์. เราะห์มาน (AR Rahman) และหริหรัณ (Hariharan)
เพลง Bharat Humko Jaan Se Pyara Hai
เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Roja ฉายในปี ค.ศ. 1992 เพลงนี้จัดทำโดยเอ.อาร์. เราะห์มาน (AR Rahman) และหริหรัณ (Hariharan)
ข่าวรัฐบาลอินเดียอาจเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษของประเทศจาก “อินเดีย” เป็น “ภารัต”
ดูจะเป็นคำถามยอดฮิตเลยก็ว่าได้ มีคนถามผมเรื่องนี้มาก ให้สัมภาษณ์ไปก็มากแล้ว แต่ก็คงจะมีคนถามอีก เลยขออนุญาตนำคำถามของหลายคนมารวมกันในที่นี้ มีทั้งหมด 18 ข้อ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ฟังรายการปกิณกะอินเดีย
อินเดียมีหลายชื่อ แต่ชื่อทางการมีเพียง 2 ชื่อ คือ 1. อินเดีย (India) 2. ภารัต (Bharat)
“อินเดีย” คือชื่อภาษาอังกฤษ ส่วน “ภารัต” เรียกในภาษาที่ใช้ในอินเดีย จากชื่อเต็มว่า ภารัตคณราชยะ (Bharat Ganarajya) (ดูรูปหนังสือเดินทางอินเดีย)
ขอขยายความดังนี้ รัฐธรรมนูญอินเดียฉบับภาษาอังกฤษ ส่วนที่ 1 “สหพันธรัฐและดินแดนของสหพันธรัฐ” มาตรา 1 “ชื่อดินแดนของสหพันธรัฐ” ระบุว่า “(1) ประเทศอินเดีย หรือภารัต เป็นสหพันธรัฐอันประกอบด้วยมลรัฐต่างๆ” ฉบับภาษาอังกฤษกล่าวถึงคำว่า “ภารัต” เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ใช้คำว่า “อินเดีย” โดยตลอด
ส่วนฉบับภาษาฮินดี เปลี่ยนเป็น “(1) ภารัต หรือประเทศอินเดีย เป็นสหพันธรัฐอันประกอบ...” คือ ใช้คำว่า “อินเดีย” ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ใช้ “ภารัต” โดยตลอด
ทั้งใช่และไม่ใช่ เพราะเวลาผมสนทนากับผู้คนในอินเดีย ก็เคยได้ยินทั้งที่ใช้ภารัต ทั้งที่ใช้อินเดีย
คำอื่นที่ได้ยินอีกคือภารตะ (Bharata) และฮินดูสถาน (Hindustan) แต่ถ้าเป็นป้ายที่ทางการจัดทำเป็นภาษาฮินดีก็จะใช้แต่ภารัต ส่วนที่ทางการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษก็จะเป็นอินเดีย
ในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 ที่อินเดียเป็นเจ้าภาพในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 9 และ 10 กันยายน 2023 ประธานาธิบดีเทราปที มุรมู (Droupadi Murmu) ได้เรียนเชิญผู้นำประเทศ G20 รับประทานอาหารค่ำ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมนานาชาติภารัตมัณฑปัม (Bharat Mandapam) แม้บัตรเชิญนี้จัดทำโดยกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวงฯ อยู่แล้ว ทว่าในบัตรเชิญภาษาอังกฤษระบุว่า “ประธานาธิบดีแห่งภารัต” มิใช่ “ประธานาธิบดีแห่งอินเดีย”
จริงๆ แล้ว การใช้คำว่า “ภารัต” ในภาษาอังกฤษมิได้ใช้เฉพาะในบัตรเชิญดังที่กล่าวมาเท่านั้น เมื่อวันอังคารที่ 5 กันยายน นายสัมพิต ปาตรา (Sambit Patra) โฆษกพรรคภารตียชนตา (Bharatiya Janata) ได้แบ่งปันข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเยือนอินโดนีเซียของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดียครั้งที่ 20 และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกครั้งที่ 18 ซึ่งในการเยือนนี้ใช้คำว่า “นายกรัฐมนตรีแห่งภารัต” มิใช่ “นายกรัฐมนตรีแห่งอินเดีย” ทั้งนี้ป้ายข้อความในการประชุม ณ ประเทศอินโดนีเซียที่จัดทำโดยรัฐบาลอินโดนีเซียนั้นยังเป็น “นายกรัฐมนตรีแห่งอินเดีย”อยู่
เปล่าครับ กระแสเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษของประเทศมีมาพักใหญ่แล้ว กลุ่มฮินดูชาตินิยมมิได้เรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อประเทศเท่านั้น ยังรวมชื่อเมืองหลายเมืองด้วย และก็เปลี่ยนไปแล้วไม่น้อย
ดังที่บอกไปแล้วว่ากระแสเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษของประเทศมีมาพักใหญ่แล้ว
ส่วนคำว่า “INDIA” ที่เป็นตัวย่อพันธมิตรฝ่ายค้านจะเป็นปัจจัยที่ทำให้กระทรวงการต่างประเทศอินเดียใช้บัตรเชิญการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 เป็น “ประธานาธิบดีแห่งภารัต” หรือไม่นั้น ผมตอบไม่ได้ครับ
หลายคนที่สังกัดกลุ่มชาตินิยมฮินดูที่ผมเคยพูดคุยด้วยมองว่า ชื่ออินเดียเป็นสิ่งแปลกปลอม ไม่สะท้อนความเป็นตัวตนของเขา หลายคนมองว่าชื่อนี้สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์อาณานิคมอังกฤษอันเลวร้าย บางคนมองด้วยว่านอกจากจะสัมพันธ์กับอังกฤษอันเป็นการดูถูกดูแคลนชาวภารัตแล้ว คำว่า “อินเดีย” ยังไม่มีความหมายอะไรด้วย
เท่าที่อ่านเจอและเคยฟังนักประวัติศาสตร์บรรยาย คำว่า “อินเดีย” ใช้กันก่อนอังกฤษเข้ามา ทั้งคำว่า “อินเดีย” และ “ภารัต” น่าจะมีมานานกว่าสองพันปีแล้ว
ทั้งผู้เชี่ยวชาญหรือตำราบอกว่า “อินเดีย” มาจากแม่น้ำอินดุส (Indus) ภาษาสันสกฤตเรียกว่า สินธุ (Sindhu)
ตัวอย่างหนึ่งที่ยกกันบ่อยคือ นักเดินทางจากแดนไกลอย่างกรีซจะระบุภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้แม่น้ำสินธุว่าเป็นอินเดีย และถ้าจำไม่ผิด น่าจะก่อนอเล็กซานเดอร์มหาราชกรีธาทัพบุกอินเดีย คือประมาณสามร้อยกว่าปีก่อนคริสตศักราช เท่าที่อ่านเจอหรือเคยฟังมาคำว่า “ภารัต” เก่าแก่กว่า “อินเดีย” ดังที่ปรากฏในคัมภีร์อินเดียโบราณ จริงๆ แล้วมีชื่ออื่นอีก แต่เดี๋ยวจะยาวไป
หลายคนเชื่อแบบนี้ ไม่ใช่แต่ผู้คนที่สังกัดกลุ่มชาตินิยมฮินดูเท่านั้น พลเมืองอินเดียไม่น้อยที่ไม่ได้สังกัดองค์กรชาตินิยมฮินดูก็เชื่อเช่นนั้น และก็มีด้วยที่เชื่อว่า ชื่ออินเดียมีมาก่อนอังกฤษเข้ามาก็จริง แต่ก็ยังเป็นชื่อที่ต่างชาติตั้งให้อยู่ดี
ใครมองเรื่องชาตินิยมเป็นความคลั่ง ปัญหาก็มาจากตัวเองแล้วล่ะ ปัญหาชาวไทยเราไม่ว่าจะสื่อหรือแวดวงวิชาการมักคิดจากฐานอคติเป็นตัวตั้ง อคตินี้แหละทำให้ไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง รวมถึงความรู้เรื่องชาตินิยมด้วย
ผมมองว่าความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับชาตินิยม โดยเฉพาะที่ชาวไทยได้รับอิทธิพลจากตะวันตกนั้นเป็นความรู้ที่ไม่ครอบคลุมและเปี่ยมด้วยอคติ
ข้อแรก การมีรัฐชาติแต่ปฏิเสธชาตินิยมอย่างสิ้นเชิง ผมว่าไม่น่าเป็นไปได้ครับ รัฐชาติก็สร้างขึ้นบนฐานที่มีชาตินิยมเป็นองค์ประกอบ
ข้อที่สอง ตำราว่าด้วยชาตินิยมที่มีในปัจจุบันตามปรากฏการณ์ชาตินิยมร่วมสมัยไม่ทัน เราจะเข้าใจแบบลวกๆ ว่ารัฐบาลโมดีเป็นชาตินิยมที่อยู่ตรงข้ามกับเสรีนิยมไม่ได้ นี่คือรัฐบาลที่มอบวัคซีนโควิดให้ชาติอื่น คือรัฐบาลที่เพิ่มทุนการศึกษาให้ชาวต่างชาติ รวมถึงทุนศึกษาระดับปริญญาโทและเอกที่สถาบันเทคโนโลยีอินเดีย (Indian Institute of Technology) ซึ่งเป็นสถาบันลือชื่อ
ในปี ค.ศ. 2015 นายมเหศ คิรี (Maheish Girri) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคภารตียชนตา เปลี่ยนชื่อถนนออรังเซบ (Aurangzeb) เป็นถนน ดร. เอพีเจ อับดุลกะลาม (Dr APJ Abdul Kalam) ใครศึกษาประวัติศาสตร์อินเดียมาบ้างย่อมทราบดีว่าจักรพรรดิออรังเซบโหดเหี้ยมปานใด และกะลามเป็นนักวิทยาศาสตร์และอดีตประธานาธิบดีที่ชาวอินเดียแทบทุกกลุ่มชาติพันธุ์รักใคร่ปานใด แม้ทั้งสองจะเป็นมุสลิมเหมือนกัน
มีครับ กี่คนจะทราบว่าเวลาใครในอินเดียได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอินเดีย ต้องสาบานตนที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญอินเดียและอื่นๆ ด้วยคำว่า “ข้าพเจ้า ... ขอสาบานในนามของพระเจ้า ว่าข้าพเจ้าศรัทธาและจงรักภักดีต่อรัฐธรรมนูญอินเดีย” หรือ “ข้าพเจ้า ... ขอยืนยันอย่างจริงจัง ว่าข้าพเจ้า...” แบบแรกกล่าวถึงพระเจ้าของตน ส่วนแบบที่สองไม่ต้องมีพระเจ้าก็ได้ ที่สำคัญคือ ทั้งสองแบบไม่ต้องจับพระคัมภีร์ไบเบิลแบบประเทศตะวันตกหลายประเทศ
อีกตัวอย่างหนึ่งก็เช่น การยกเลิกการกล่าวคำว่าเฏาะลาก (Talaq) 3 ครั้งเพื่อขอหย่าภรรยา ซึ่งชาวมุสลิมหลายประเทศทำ รวมถึงอินเดียด้วย การยกเลิกการหย่าวิธีนี้หมายความว่า ต่อไปใครจะหย่าภรรยาต้องทำตามกระบวนการกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อ “ประกันความเท่าเทียมกันทางเพศและเสริมสร้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ พื้นฐาน และประชาธิปไตยของผู้หญิงมุสลิม และยังให้ความมั่นใจแก่ผู้หญิง ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรในอินเดีย” ดังที่เขียนโดยมุขตาร์ อับบาส นักวี (Mukhtar Abbas Naqvi) รัฐมนตรีกระทรวงกิจการชนกลุ่มน้อย
นี่คือเหตุที่หญิงหรือแม้แต่ชายมุสลิมจำนวนไม่น้อยลงคะแนนเสียงให้พรรคภารตียชนตา ถ้าเราไม่พยายามเรียนรู้ มีอคติทางความคิดตั้งแต่แรกแล้ว ก็จะไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ใช่ครับ ผมว่าชาตินิยมที่อื่นก็น่าจะซับซ้อนอยู่นะครับ
ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะอธิบายได้หมดไหม แม้ผมศึกษาเรื่องนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ
ผมคิดว่าบางอย่างน่าสนใจมาก ข้อแรก เวลาพูดถึงชาตินิยมฮินดู หรือชาตินิยมในอินเดีย เรากำลังพูดถึงชาตินิยมที่อยู่ตรงข้ามกับการรุกรานอินเดียโดยชาวต่างชาติ การรุกรานนี้แบ่งเป็นสองส่วน คือ โดยมุสลิมและโดยตะวันตก โดยเฉพาะจักรวรรดิอังกฤษ
สำหรับการรุกรานโดยมุสลิม ผู้คนสังกัดกลุ่มชาตินิยมฮินดูมองว่า เป็นการเข้ามาทำลายวัฒนธรรมภารัต หรือวัฒนธรรมของฮินดูก็ว่าได้ เช่น การทำลายศาสนสถานฮินดู กลุ่มนี้ยังเพ่งเล็งชาวมุสลิมที่นำวัฒนธรรมใหม่ๆ เข้ามาสร้างเอกภาพในหมู่ของตน ซึ่งพวกเขาคิดว่าไม่น่าเป็นผลดีต่อเอกภาพอินเดียทั้งหมด ผมเคยถามว่าวัฒนธรรมใหม่ๆ เหล่านี้มีอะไรบ้าง เขาก็ตอบว่า การทำให้ลูกหลานไม่เรียนหนังสือในระบบการศึกษาแบบปกติ การกีดกันผู้หญิง เช่น ไม่ส่งเสริมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ และอื่นๆ กลุ่มชาตินิยมฮินดูบางคนบอกผมว่า หลายอย่างที่คนเหล่านี้สร้างขึ้นโดย “ผู้เชี่ยวชาญศาสนาอิสลาม” บางคน มิได้เป็นไปตามหลักศาสนาด้วยซ้ำ นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางข้อเท่านั้น ยังมีอีกหลายข้อ จริงๆ แล้ว ผู้คนกลุ่มชาตินิยมฮินดูไม่ได้มองเหมือนกันไปเสียหมด
ส่วนจักรวรรดิอังกฤษหรือบริษัทอินเดียตะวันออกที่เข้ามาปกครองอินเดีย ดูผิวเผินก็คงไม่มีอะไรมากนัก คล้ายจะมีเอกภาพในพลเมืองอินเดียทั่วหน้าในการต่อต้านอาณานิคม ถึงทุกวันนี้เราจะไม่เห็นด้วยกับอาณานิคม แต่อังกฤษก็ได้แบ่งแยกและปกครองจนสำเร็จ ทำให้อนุทวีปอินเดียแบ่งออกเป็นอินเดียกับปากีสถาน ซึ่งแบ่งเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออกอีกที และในปี ค.ศ. 1971 ปากีสถานตะวันออกได้กลายเป็นบังคลาเทศ ความขมขื่นในการแบ่งแยกประเทศในปี ค.ศ. 1947 ก็หยั่งอิทธิพลต่อชาตินิยมฮินดูไม่น้อย
ใคร่แจ้งให้ทราบด้วยว่า ก็รัฐบาลโมดีอีกที่ยกย่องชาวซิกข์ในอินเดียเป็นพิเศษ เพราะชาวซิกข์มีประวัติการต่อสู้อย่างกล้าหาญไม่ว่าต่อการรุกรานของมุสลิมหรือของอังกฤษ ตรงนี้อาจทำให้เห็นอคติอีกชุดหนึ่ง คือสิ่งที่ญี่ปุ่นกระทำไว้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ยังคงหลอกหลอนญี่ปุ่นถึงทุกวันนี้ กล่าวขอโทษก็แล้ว จ่ายเงินชดเชยก็แล้ว ก็ยังไม่จบสิ้น ครั้นลองดูที่อังกฤษทำในปี ค.ศ. 1919 บ้าง คือสังหารผู้คนที่ประท้วงอังกฤษด้วยสันติวิธี ทุกวันนี้ทางการอังกฤษก็ยังไม่เคยขอโทษ กล่าวแต่เพียงเสียใจเท่านั้น
สิ่งที่ผมจะสื่อคือ ระบบการเมืองโลกมีอคติ ซึ่งหล่อหลอมชาตินิยมรูปแบบต่างๆ ไม่มากก็น้อย ขณะเดียวกันปฏิเสธมิได้ว่า ในเศรษฐกิจการเมืองโลก การดำเนินนโยบายการต่างประเทศของอินเดียก็มีองค์ประกอบเหล่านี้อยู่ด้วย อย่างน้อยที่สุดอินเดียก็ต้องการเอกภาพชัดเจน เพื่อเดินหน้าเพิ่มพูนผลประโยชน์แห่งชาติของตน พร้อมป้องกันภัยคุกคามโดยเฉพาะที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด รวมถึงการก่อการร้ายข้ามชาติด้วย
จริงๆ แล้วยังมีอะไรมากกว่านี้ ผมหวังว่าการสัมภาษณ์ของผมทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่ผมกำลังสื่อนั้นไม่มีอะไรมากกว่า การชวนทำความเข้าใจปรากฏการณ์ชาตินิยม ซึ่งผมมองว่าเรายังรู้น้อยมาก แม้แต่ประเทศจีน การนำชาตินิยมมาใช้แทนลัทธิคอมมิวนิสต์แบบเดิมก็น่าสนใจ เราคงต้องทำการบ้านมากกว่านี้
ยังครับ
เป็นไปได้ครับ ขณะนี้ก็เริ่มใช้สลับกันไปขึ้นอยู่กับการตีความ
ถ้ารัฐบาลตีความว่า ภารัตก็เป็นชื่อหนึ่งของเขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ได้ แต่ถ้าจะลบคำว่าอินเดียออกจากรัฐธรรมนูญ ก็ต้องผ่านกระบวนการรัฐสภา และอาจมีคนคัดค้านนำไปให้ศาลสูงสุดตีความได้
ไม่มีผลหรอกครับ เราไม่ได้มีวัฒนธรรมเรียกชื่อประเทศอื่นตามชื่อภาษาอังกฤษ
เวลาเชียร์บอลโปรตุเกส เราก็ไม่พูดว่า “วันนี้จะเชียร์โปรตุกัล” เวลาไปญี่ปุ่น เราก็ใช้คำว่าญี่ปุ่นมิใช่หรือ พม่าผมก็ยังเรียกพม่าเหมือนเดิม แต่ถ้าเจอเพื่อนพม่าในเวทีระหว่างประเทศ และจำเป็นต้องกล่าวถึงประเทศของเขา ผมก็จะใช้คำว่าเมียนมาครับ
ผมชอบคำว่า “อินเดีย” และในเชิงการตลาดผมว่า “อินเดีย” ในปัจจุบันเป็นศัพท์ภาษาที่ผู้คนเริ่มหมายถึงความก้าวหน้าแล้ว แต่ถ้าอินเดียจะเปลี่ยนเป็นภารัต ก็ไม่ใช่เรื่องของผม เป็นเรื่องอธิปไตยของเขา สุดแต่รัฐบาลและประชาชนของเขาครับ
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ