อินเดียกับปีข้าวฟ่างสากล 2023
1,091 views
0
0

เพลง The Millets Song 2023
เพลง The Millets Song 2023 แน่นอนว่าเป็นเพลงใหม่ เพิ่งออกอากาศในปี 2023 เป็นเพลงโปรโมตปีข้าวฟ่างสากล 2023 อย่างเป็นทางการของมลรัฐอุตตรขัณฑ์ ผลิตโดยกรมการเกษตรแห่งมลรัฐอุตตรขัณฑ์ (Uttrakhand Agriculture Department)

เพลงนี้มีชื่อเป็นภาษาฮินดีว่า “Sri Anna” (ศรีอันนะ) มีความหมายว่าธัญพืชหรือโภชนะอันเปี่ยมด้วยความดีงาม ในบริบทนี้หมายถึงข้าวฟ่างโดยเฉพาะ เพราะเป็นคำใหม่ที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดียได้นำมาเรียกขานข้าวฟ่างเพื่อแสดงการยกย่องเนื่องจากคุณลักษณะหลายประการ

ที่มาของปีข้าวฟ่างสากล 2023 (นาที 4.25)

เรื่องของเรื่องคือ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations หรือ FAO) ได้ประกาศให้ปี ค.ศ. 2023 หรือ พ.ศ. 2566 เป็นปีข้าวฟ่างสากล (International Year of Millets หรือ IYM) เพื่อตระหนักถึงคุณประโยชน์ทางโภชนาการและสุขภาพของธัญพืชตระกูลข้าวฟ่าง ซึ่งมีหลากหลายชนิด ภาษาอังกฤษเรียกรวม ๆ ว่า Millets

ทั้งนี้จากข้อเสนอของรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย นำโดยนายกรัฐมนตรีโมดีแห่งพรรคภารตียชนตา

ทำไมอินเดียเลือกเชิดชูข้าวฟ่าง

ข้าวฟ่างใช้ทั้งน้ำในการปลูกและเวลาในการปลูกน้อยกว่าข้าวสาลีและข้าวเจ้าอย่างมาก และยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากอีกด้วย นอกจากนี้ยังทนต่อสภาพภูมิอากาศร้อนและแห้งแล้งได้ดี เป็นธัญพืชที่มีฐานการผลิตถึงร้อยละ 97 ทั่วโลกอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา

สาเหตุหนึ่งที่อินเดียต้องการส่งเสริมข้าวฟ่างก็เนื่องจากผลประโยชน์แห่งชาติของอินเดียเอง เพราะอินเดียเป็นแหล่งผลิตข้าวฟ่างที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คือมีผลผลิตรวมเป็นร้อยละ 80 ของภูมิภาคเอเชีย คิดเป็นร้อยละ 20 ของทั้งโลก

เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่อินเดียได้ทำในการนี้ก็คือ ในปีงบประมาณ 2023-2024 อินเดียประกาศให้ทุนสำหรับสถาบันวิจัยข้าวฟ่าง (Millet Research Institute) และอินเดียจะแจกจ่ายข้าวฟ่างโดยระบบกระจายอาหารสาธารณะให้แก่ประชาชนที่อยู่ใต้เส้นความยากจน

นอกจากนั้น อินเดียได้ดำเนินการทูตข้าวฟ่าง (Millet Diplomacy) กับประเทศที่บริโภคข้าวฟ่างเป็นอาหารหลักอย่างประเทศไนจีเรีย โดยส่งนักการทูตไปเยี่ยมเยือนเกี่ยวกับเรื่องข้าวฟ่างเป็นการเฉพาะ

FAO นำโดยนายขุก ถั่ง เง็ก (屈冬玉) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แถลงเกี่ยวกับปีข้าวฟ่างสากล โดยส่วนหนึ่งของคำกล่าวมีดังต่อไปนี้ “ธัญพืชตระกูลข้าวฟ่างสามารถมีบทบาทสำคัญและมีคุณูปการต่อความพยายามร่วมกันของพวกเราที่จะส่งเสริมกำลังแก่กสิกรรายย่อย บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขจัดความหิว ปรับตัวเพื่อรับมือสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวพันธุ์ และเปลี่ยนโฉมระบบเกษตรโภชนา”

คำว่า ข้าวฟ่าง

อันที่จริงคำว่า Millets ในภาษาอังกฤษมีความหมายกว้างขวางกว่าข้าวฟ่างในภาษาไทยมาก การจะแปลว่าข้าวฟ่างอาจไม่ครอบคลุมเสียทีเดียว เพราะข้าวฟ่างโดยหลักจะหมายถึง Sorghum จัดเป็น Millet ชนิดหนึ่งในหลาย ๆ ชนิด แต่ก็นับว่าจำเป็น เพราะศัพท์ “ข้าวฟ่าง” ถือเป็นศัพท์ที่รู้จักดีที่สุดในภาษาไทย

คนไทยเราบริโภคข้าวฟ่างกันอยู่แล้ว แต่ไม่แพร่หลายถึงขนาดเป็นอาหารหลัก ส่วนใหญ่เป็นขนมหวาน และในกรณีอื่น ๆ มักใช้เป็นอาหารสัตว์ ดังนั้นหวังว่ารายการวันนี้จะมีส่วนไม่มากก็น้อยที่จะทำให้ผู้ฟังชาวไทยตระหนักคุณประโยชน์ข้าวฟ่างที่มีมากกว่าที่เราเคยคิด และกลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจให้เกษตรกรไทยในอนาคต

ธัญพืชตระกูลข้าวฟ่างในอินเดีย

มีหลากหลายประเภทและมีหน้าตาสีสันแตกต่างกัน และมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป วันนี้จะขอยกบางชนิดที่เป็นที่นิยมบริโภคมาให้ทุกท่านได้รู้จักพอสังเขป

พาชรา (Bajra)

หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Pearl Millet เป็นประเภทที่ปลูกอย่างแพร่หลายที่สุดทั้งในอนุทวีปอินเดียและทวีปแอฟริกาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์

ลักษณะรวงจะตั้งตรงชี้ขึ้นไปบนอากาศ รูปร่างคล้ายแท่งเทียน มีเมล็ดจำนวนมากเกาะจนแน่นเต็มผิวนอก เมล็ดคล้ายหยดน้ำ มีขนาด 3-4 มม. และมีสีได้ตั้งแต่ขาว เหลือง น้ำตาล เทา ม่วงอ่อน

มีโปรตีนและไขมันสูงกว่าข้าวฟ่างประเภทอื่น ๆ มีประโยชน์ในการลดเบาหวาน

แป้งจากพาชรานิยมนำไปทำโรตีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ภากรี (Bhakri) บริโภคกันแพร่หลายในแถบคุชราต ราชสถาน มหาราษฏระ และกรรนาฏกะ นอกจากนี้ชาวทมิฬยังนิยมนำไปทำโจ๊กชนิดหนึ่งที่เรียกว่า กัมบัน โจรุ (Kamban Choru)

โจวาร์ (Jowar)

หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sorghum นี่คือข้าวฟ่างลักษณะเดียวกับที่คนไทยรู้จักดีที่สุด

ลักษณะรวงจะเป็นพุ่มสีเหลืองอมเขียว มีกิ่งย่อยแตกออกมาหลายกิ่ง และเมล็ดเกาะตามกิ่งเหล่านั้น รวงจะโน้มลงมาเกือบขนานพื้น เมล็ดกลมเล็ก ๆ มีสีเหลืองอ่อน

มีคาร์โบไฮเดรตสูง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการเพิ่มการเผาผลาญของร่างกาย

ที่อินเดียก็นิยมนำไปทำเป็นโรตีเช่นเดียวกับพาชรา นิยมที่สุดในมลรัฐกรรนาฏกะ นอกจากนั้นยังนำไปต้มเป็นข้าวต้มหรือนำไปคั่วเป็นป็อปคอร์นก็ได้

ในขณะที่คนไทยมักนำมาบริโภคเป็นของหวาน หลัก ๆ มีสองชนิด ได้แก่ ข้าวฟ่างกวนที่ทำเป็นชิ้นลักษณะเหมือนข้าวตู กับข้าวฟ่างเปียก รับประทานแบบข้าวเหนียวเปียกราดน้ำกะทิ

ราคี (Ragi)

ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Finger Millet สาเหตุที่เรียกเช่นนั้นน่าจะเพราะลักษณะรวงที่งอกออกมาหลายรวงบนก้านเดียวกัน เหมือนนิ้วหลายนิ้วบนมือ

ในอินเดียจะใช้ข้าวฟ่างราคีมาบดเป็นแป้ง ใช้รับประทานกับนมหรือโยเกิร์ตเป็นเครื่องดื่มก็ได้ ทำเป็นโจ๊กก็ได้ เป็นโรตีก็ได้ โดซา อิดลี อุตตัปปัม หรือลัดดูก็ได้ และนิยมใช้กับอาหารสำหรับเด็กทารกด้วย เพราะมีคุณประโยชน์ทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุเหล็กและแคลเซียม

ลักษณะสำคัญของอาหารแป้งที่ทำจากข้าวฟ่างชนิดนี้คือสีออกเป็นสีม่วงปนแดงเข้ม

กังคนี (Kangni)

เป็นชนิดที่ภาษาฮินดีเรียกว่า กังคนี (Kangni) หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Foxtail Millet

หน้าตาของรวงจะเป็นพวงโน้มต่ำ บนรวงประกอบด้วยพุ่มย่อยซึ่งแต่ละพุ่มย่อยจะมีเมล็ดมากมาย เมล็ดมีรูปทรงคล้ายเมล็ดงาแต่กลมป้อมกว่า มีขนาดเล็กเพียงประมาณเมล็ดละ 2 มม.

ข้าวฟ่างชนิดนี้มีหลักฐานการปลูกมาตั้งแต่กว่า 8,000 ปีก่อนตามแถบแม่น้ำเหลืองของจีน ส่วนที่อินเดียเองแม้จะไม่ทราบว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็โบราณมากเช่นกัน เช่น ในมลรัฐทมิฬนาฑู

ข้าวฟ่างชนิดนี้เป็นอาหารหลักที่บริโภคกันมาตั้งแต่ยุคสังคัม ซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล ในตัวบทคัมภีร์โบราณของทมิฬนาฑูก็กล่าวถึงการบูชาเทพมุรุกันกล่าวคือกรรติเกยะของทางเหนือด้วยข้าวฟ่างชนิดนี้

ประโยชน์สำคัญของกังคนีคือช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอล

อินเดียยังมีข้าวฟ่างอีกหลายชนิด

เช่น โกโดน (Kodon) หรือ Kodo Millet, กุตกี (Kutki) หรือ Little Millet, จีนา (Cheena) หรือ Proso Millet และ สาวัน (Sawan) หรือ Barnyard Millet เป็นต้น ทุกชนิดมีคุณประโยชน์ทางโภชนาการที่แตกต่างกันไป ในเวลาอันจำกัดเราคงไม่สามารถขยายความแต่ละชนิดให้ละเอียดได้

ขอสรุปสั้น ๆ แต่เพียงว่า ข้าวฟ่างจัดเป็นธัญพืชประเภทสำคัญที่มีบทบาทในการบริโภคของชาวอินเดียมาตลอด ควบคู่ไปกับข้าวเจ้าและข้าวสาลี

ถึงแม้ว่าปัจจุบันข้าวเจ้ากับข้าวสาลีจะเป็นที่นิยมบริโภคเป็นหลักมากกว่า อาจจะด้วยรสสัมผัสที่หอมอร่อยกว่า (ข้าวฟ่างไม่นุ่มเท่า และหลายคนจะบอกว่ามีกลิ่นสาบเฉพาะตัว)

แต่หากคิดคำนึงถึงคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น ความประหยัดทรัพยากรในการเพาะปลูก ความทนทานต่อสภาพอากาศที่ร้อนและแล้งและคุณภาพดินที่ต่ำ หรือแม้แต่สมดุลของสารอาหาร ก็อาจบอกได้ว่าข้าวฟ่างทิ้งห่างทั้งสองชนิดแบบไม่เห็นฝุ่นทีเดียว

อินเดียกับปีข้าวฟ่างสากล

แท้ที่จริงความดำริของอินเดียเกี่ยวกับเรื่องการเสนอให้ประกาศปีข้าวฟ่างสากลนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ความพยายามเรื่องนี้ดำเนินต่อเนื่องมานับตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ. 2017 ซึ่งเป็นปีแรกที่อินเดียเสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมสหประชาชาติ แน่นอนว่าก่อนการเสนอครั้งนั้นก็ต้องมีการศึกษาวิจัยมาเป็นอย่างดีแล้ว

ปีต่อมาหลังจากนั้นคือปี ค.ศ. 2018 อินเดียก็เริ่มเฉลิมฉลองปีข้าวฟ่างของตนเองเลยทีเดียว ในนาม “ปีข้าวฟ่างแห่งชาติ” (National Year of Millets)

และแล้วเมื่ออินเดียพร้อมนำเสนอมตินี้ต่อสหประชาชาติอีกครั้ง ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2021 ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงโควิด-19 กำลังระบาดหนัก อินเดียได้พิสูจน์ให้เห็นว่าข้าวฟ่างเป็นธัญพืชที่เหมาะกับยุคหลังโควิด-19 มากเพียงไร อินเดียก็ได้รับความเห็นชอบจากภาคีสมาชิก 72 ประเทศ

การทูตมุรุกกึ (Murukku Diplomacy)

สิ่งที่น่าสนใจในการประชุมครั้งนั้นคือ วิธีหนึ่งที่อินเดียใช้นำเสนอข้าวฟ่างแก่ผู้ร่วมประชุม อินเดียได้แจกจ่ายขนมขบเคี้ยวของทมิฬนาฑูที่เรียกว่า มุรุกกึ (Murukku) ทำจากข้าวฟ่างให้บรรดาภาคีสมาชิกได้ชิมก่อนที่จะเข้าประชุม

ของว่างชนิดนี้มีลักษณะเป็นแป้งกรอบเส้นยาวขดซ้อนกัน ค่อนข้างแข็ง หลังจากอินเดียได้รับมติเห็นชอบในการประชุมครั้งนั้น

บรรดานักหนังสือพิมพ์ก็เรียกกลวิธีครั้งนี้ของอินเดียว่า “การทูตมุรุกกึ” (Murukku Diplomacy) ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

นับจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลอินเดียจะดำเนินการในปี ค.ศ. 2023 และต่อ ๆ ไปก็คือการพยายามยกระดับความรู้ของบรรดากสิกร เพื่อเพิ่มผลผลิตและปรับปรุงคุณภาพผลผลิตข้าวฟ่าง มีการจัดอบรมในมลรัฐต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งผลิตข้าวฟ่างหลัก เดินสายจัดนิทรรศการ จัดทำสิ่งตีพิมพ์และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งการส่งเสริมกิจกรรมเหล่านี้ในต่างประเทศ รวมทั้งในประเทศไทยด้วย
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ