วันที่ 7 ตุลาคม 2566
เพลง Vaishnava Jana To
เป็นเพลงเก่าแก่ของอินเดียเพลงหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพลงนี้เป็นเพลงที่เราเรียกว่าเพลงจำพวกภชัน (Bhajan) คือเพลงที่ให้ข้อคิดหรือมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาในอินเดีย เพลงนี้ประพันธ์ขึ้นในศตวรรษที่ 15 โดยกวีที่มีนามว่านรสิงห์ เมห์ตา (Narsinh Mehta) ในภาษาคุชราตี (Gujarati)
เหตุที่เลือกเปิดเพลงนี้ในวันนี้ก็เพราะเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของมหาตมาคานธี และวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านมหาตมาคานธี ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำโดยศูนย์อินเดียศึกษาได้เข้าไปร่วมจัดทำกิจกรรมที่สำนักงานคณะกรรมาธิการกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCAP
คำถามแรกที่ผู้ฟังคงอยากถามเลยคือทำไมเสียงเพลงไม่ค่อยชัด คำตอบคือที่ไม่ชัดก็เพราะเราใช้โทรศัพท์มือถืออัด แล้วทำไมเปิดเวอร์ชั่นนี้ ก็เพราะเวอร์ชั่นนี้พิเศษมาก เวอร์ชั่นนี้คือการร้องประสานเสียง จัดทำโดยสาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ณ UNESCAP การร้องประสานเสียงนี้นำโดย ดร.อรุณวรรณ คงมีผล และ ผศ.ดร.สมพรนุช ตันศรีสุข ร่วมกับนิสิตจุฬาฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ในวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา
ใครสนใจอยากฟังเพลงนี้แบบเต็ม ๆ สามารถค้นดูในอินเตอร์เน็ตได้ แต่เราก็อยากแปลให้ท่านผู้ฟังเข้าใจด้วย เผื่อว่าท่านผู้ฟังจะได้เข้าใจว่าทำไมเพลงนี้จึงเป็นเพลงโปรดของมหาตมาคานธี ขอคุณณัฐในฐานะผู้แปลเพลงนี้เป็นภาษาไทยอ่านให้ฟังด้วยครับ
• ไวษณพชนท่านว่าเป็นไฉน
คือผู้ใดร่วมเจ็บปวดกับผู้อื่น
อุปการะผู้ทุกข์ตรมระทมกลืน
รู้จักฝืนอภิมานะครอบงำใจ
• ผู้นบนอบวันทาประชาผอง
ไม่จองหองนินทาว่าร้ายใส่
สำรวมกาย วาจา จิตเป็นนิตย์ไป
ชนนีเขาย่อมได้พรเลิศเลอ
• เห็นผู้อื่นเท่าเทียมกัน ละตัณหา
เห็นหญิงอื่นดุจมารดาตนเสมอ
ลิ้นไม่กล่าวถ้อยอาสัตย์ตระบัดเพ้อ
หัตถ์ไม่เผลอแตะต้องของผู้ใด
• ไม่มัวเมามายาพาลุ่มหลง
จิตจำนงวิราคะละความใคร่
ดื่มด่ำพร่ำรามนามทุกยามไป
สถานจาริกอยู่ในใจไม่เว้นวาย
• ละทิ้งเล่ห์หลอกลวงบ่วงโลภะ
เว้นจากกามห้ามโทสะสละสลาย
ท่านกวีนรไสได้ทำนาย
ว่าเชื้อสายเขาจักรุ่งเรืองนิรันดร์ฯ
ทุกปี องค์กรสหประชาชาติกับตัวแทนของรัฐบาลอินเดียจะจัดงานร่วมกันในวันที่ 2 ตุลาคม เพราะวันที่ 2 ตุลาคมเป็นวันคล้ายวันเกิดท่านมหาตมาคานธี ที่ประเทศไทยนิยมจัดกันที่ UNESCAP ปีนี้จุฬาฯ ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมวันที่ 2 ตุลาคม
สหประชาชาติจะเรียกวันนี้ว่า International Day of Nonviolence สำหรับภาษาไทยก็มีคนแปลไว้เยอะ แต่ที่ผมขอเรียกคือ วันอหิงสาสากล
กิจกรรมที่เราไปร่วมมี 2 กิจกรรมหลัก คือ 1) ร้องประสานเสียงเพลง “Vaishnava Jana To” 2) กล่าวปาฐกถาสั้น ๆ เรื่องความคิดและแนวปฏิบัติของมหาตมาคานธี
อาจารย์ครับปาฐกถาของอาจารย์เริ่มต้นด้วยความยากลำบากที่จะพูดถึงเรื่องมหาตมาคานธี อาจารย์พอจะขยายความเรื่องนี้ได้ไหมครับ
พูดถึงมหาตมาคานธีทุกวันนี้เป็นหัวข้อที่ค่อนข้างท้าทาย เพราะมีสิ่งพิมพ์ดี ๆ เกี่ยวกับคานธีออกมามากมายจากฝีมือนักวิชาการที่มีชื่อเสียงหลายคน ทั้งที่ลาจากโลกไปแล้วก็ดี หรือที่ยังคงมีชีวิตอยู่และยังทำการสอนอยู่เป็นปรกติก็ดี
ทั้งนี้หากรวมหัวข้อเกี่ยวข้องกับความคิดและแนวทางปฏิบัติไว้ด้วย อาจพูดได้เต็มปากว่า หัวข้อว่าด้วยมหาตมาคานธี รวมถึงความคิดและแนวทางปฏิบัติของเขา เป็นหนึ่งในหัวข้อที่มีผู้เขียนถึงมากที่สุดในโลก
พิสูจน์ได้ง่าย ๆ ก็คือ หากเราป้อนคำว่า “มหาตมาคานธี” ในช่องค้นหาของกูเกิ้ล เราจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดล้านรายการ และถ้าเราป้อนคำว่า “ความคิดและแนวทางปฏิบัติของมหาตมาคานธี” ในเครื่องมือค้นหาเดียวกัน รายการที่ออกมาทั้งหมดจะมียี่สิบห้าล้านสองแสนรายการ
เหตุฉะนี้ต้องขอแสดงความยินดีกับมิตรสหายชาวอินเดียทุกคน ที่บิดาแห่งชาติอินเดียได้กลายเป็นหนึ่งในมนุษย์ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดจากทุกผู้ทุกคนทั่วทุกมุมโลกตราบเท่าทุกวันนี้
ในระยะเวลา 15 นาที อาจารย์เลือกเน้นหัวข้อย่อยใดในการกล่าวปาฐกถาครับ
เมื่อตระหนักถึงเหตุดังกล่าวข้างต้น ผมจึงจำต้องข้ามเรื่องชีวประวัติของท่าน รวบรัดไปยังความคิดและแนวทางปฏิบัติของมหาตมาคานธีกับความเกี่ยวข้องของสิ่งเหล่านี้ในปัจจุบัน ซึ่งกลั่นจากประสบการณ์ประมาณยี่สิบสามปีของผมในแวดวงวิชาการ ประสบการณ์ดังกล่าวได้รับการหล่อหลอมจากบรรดามิตรสหายทั้งที่เป็นนักวิชาการและมิใช่นักวิชาการ จากแอฟริกา เอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
ผมจึงเน้นสองประเด็นหลักที่ผมสกัดมาจากความคิดและแนวทางปฏิบัติของมหาตมาคานธี สองประเด็นที่ว่านี้มีความเกี่ยวข้องในปัจจุบัน และยึดโยงได้กับพวกเราทุกคนด้วย

เราจำต้องคิดและคิดทบทวนอีกว่า คานธีทำให้คำว่า “ลัทธิล่าอาณานิคม” เป็นสิ่งที่ไม่พึงคิดถึงในปัจจุบันได้อย่างไร
สิ่งนี้สอดคล้องกับวรรคในกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งระบุถึง “หลักการของสิทธิอันเท่าเทียมกันและการตัดสินใจด้วยตนเองของประชาชน” ด้วยเหตุนี้เอง ในช่วงแรกเริ่มก่อตั้งสหประชาชาติ การกำหนดชะตากรรมด้วยตนเองจึงเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สหประชาชาติมุ่งสนใจ
แนวคิดการกำหนดชะตากรรมด้วยตนเองของมหาตมาคานธีมีความซับซ้อนสูง เขาโต้แย้งในกรอบแนวคิดฮินด์สวราชและสวเทศีว่าอินเดียไม่อาจเป็นอิสระได้ด้วยการเอารัฐบาลอินเดียมาแทนที่รัฐบาลอังกฤษเพียงถ่ายเดียว เขาอภิปรายยืดยาวเกี่ยวกับศีลธรรมอันปกครองที่อยู่เหนือชาวอินเดียทุกคน
สำหรับคานธีแล้ว การกำหนดชะตากรรมด้วยตนเองคือการที่พวกเราแต่ละคนปกครองตนเองในด้านศีลธรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น นี่คือสาเหตุที่บางคนเรียกเขาว่าเป็นนักอนาธิปไตยผู้รู้แจ้ง
ท่านมหาตมาคานธีเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ฉันเข้าใจประชาธิปไตยว่าเป็นสิ่งที่ให้โอกาสแก่ผู้อ่อนแอเช่นเดียวกับผู้แข็งแกร่ง” แต่ประชาธิปไตยของคานธีเป็นมากกว่าการเลือกตั้ง สำหรับเขา ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของอำนาจทางการเมือง และ “...อำนาจทางการเมืองนี้มิใช่จุดหมายปลายทาง หากแต่เป็นหนทางหนึ่งในการทำให้ผู้คนมีสภาพดีขึ้นในทุกด้านของชีวิต”
นอกจากนี้มหาตมาคานธียังสนับสนุนลัทธิฆราวาสนิยม โดยเชื่อว่าประชาชนจะเคร่งศาสนาก็ย่อมได้ แต่รัฐต้องเป็นฆราวาส วรรณกรรมหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า ท่านมหาตมามิใช่ผู้เคร่งครัดศาสนา แต่ค่อนข้างไปทางจิตวิญญาณ
หากจะอธิบายอย่างละเอียดในบริบทนี้ เมื่อบุคคลนิยมทางจิตวิญญาณ เราคำนึงถึงมนุษย์ทุกคนที่มีภูมิหลังทางศาสนาและชาติพันธุ์ต่างกัน ขณะเดียวกันศาสนาก็ต้องถูกทดสอบค่าความเป็นกรดด่าง กล่าวคือ ไม่มีอะไรจะได้รับการยอมรับว่าเป็นความเชื่อจนกว่าจะถูกทดสอบ และปรากฏชัดเจนว่าไม่เป็นอันตรายต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในหมู่มนุษย์ที่มีภูมิหลังต่างกัน
สำหรับคานธี การนิยมจิตวิญญาณหมายถึงคิดให้ไกลกว่ากรอบความเชื่อของเราและโอบกอดทุกคน ดังที่คานธีเคยกล่าวไว้ว่า “ฉันเป็นมุสลิม ฮินดู เป็นคริสเตียน และเป็นยิว และพวกคุณทุกคนก็เช่นกัน”
เรามักจะคิดถึงความรุนแรงในรูปแบบความรุนแรงทางร่างกายหรือทางวาจา ท่านมหาตมามีทีท่าชัดเจนมากเกี่ยวกับความรุนแรงทั้งสองประเภท และสนับสนุนวิธีขจัดความรุนแรงทั้งสองประเภทด้วย
สิ่งที่ซับซ้อนเกี่ยวกับแนวคิดการไม่ใช้ความรุนแรงของคานธีคือ การที่เขาเห็นว่า “ความยากจนเป็นรูปแบบความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุด” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างภัยพิบัติให้ประชากรในประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลัก
หากเราคิดและทบทวนเกี่ยวกับคำกล่าวของคานธีที่ว่า “ความยากจนเป็นรูปแบบความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุด” เราจะเห็นว่า ความยากจนไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อบุคคลที่ยากจนเองเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้บางคนกระทำผิดต่อผู้อื่นด้วย
สำหรับคานธี ชีวิตเป็นเรื่องของการพึ่งพาอาศัยกัน เราต่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน หากเพื่อนมนุษย์ของเรามีความสุข เราเองก็มีความสุข ก็ย่อมมีแนวโน้มสูงที่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
คานธียังต่อต้านความรุนแรงต่อธรรมชาติอีกด้วย คำกล่าวอันโด่งดังของเขาคือ “ธรรมชาติมีเพียงพอตอบสนองความจำเป็นของทุกคน แต่ไม่เพียงพอตอบสนองความโลภของผู้ใด” ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้เป็นเรื่องค่อนข้างท้าทายเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้แหละคือนัยสองประการว่าความคิดและแนวทางปฏิบัติของมหาตมาคานธีเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของเครือข่ายวิชาการระหว่างประเทศของผมอย่างไร เราได้ทำงานร่วมกันในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้ว่าในมหาวิทยาลัยหลายแห่งจะไม่มีหลักสูตรเกี่ยวกับมหาตมาคานธีสักหลักสูตรเดียวก็ตาม แต่ชื่อ ความคิด และแนวทางปฏิบัติของเขาได้รับการกล่าวขวัญถึงแทบทุกที่
ในศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีการกล่าวถึงการไม่ใช้ความรุนแรงเพื่ออิสรภาพของอินเดียของคานธีหลายครั้งในบริบทของสันนิบาตแห่งชาติและสหประชาชาติ
ในด้านประชาธิปไตย คานธีในฐานะบิดาของอินเดียและนักคิดมักถูกกล่าวถึงเพื่อเปรียบเทียบว่า ทำไมอินเดียเริ่มต้นด้วยประชาธิปไตย ซึ่งต่างจากบางประเทศ ทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน
นี่ย่อมเป็นความท้าทายสำหรับนักสังคมศาสตร์อย่างแน่นอน เนื่องจากประชาธิปไตยของอินเดียตั้งคำถามต่อทฤษฎีประชาธิปไตยหลายข้อ เพราะอินเดียเริ่มต้นระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีเงื่อนไขเบื้องต้นที่กำหนดโดยทฤษฎีการเมืองมากนัก
วิสัยทัศน์ของคานธีต่อประชาธิปไตยในบริบทของการต่อสู้ทางอารยธรรมของเขากับความเชื่อที่ว่าอารยธรรมชุดหนึ่งควรจะเหนือกว่าอารยธรรมอื่นๆ ให้ความหมายใหม่ต่อค่านิยมเอเชีย ซึ่งไม่จำเป็นต้องขัดต่อค่านิยมสากล
ในการศึกษาเรื่องความขัดแย้ง คำว่า “สันติภาพ” ถูกกล่าวถึงพร้อมกับชื่อของคานธี การเสวนาและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงการแก้ปัญหาความขัดแย้งในส่วนต่างๆ ของโลกมักจะไปควบคู่กับแนวทางสนทนาเชิงเห็นอกเห็นใจของคานธี ซึ่งเป็นการสนทนาประเภทหนึ่งเพื่อทำความเข้าใจความต้องการและความไม่มั่นคงของบุคคล เป็นบทสนทนาประเภทหนึ่งที่ขัดแย้งกับความตั้งใจที่จะเอาชนะอีกฝ่าย เจตนารมณ์หลักคือการนำมาซึ่งการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ
อันที่จริงแล้ว ผมยังคงยกตัวอย่างเพิ่มเติมได้เรื่อย ๆ ว่าความคิดและแนวทางปฏิบัติของคานธีเกี่ยวข้องกับเราทุกคนในปัจจุบันอย่างไร
เพราะคานธีมีความเกี่ยวข้องกับสหประชาชาติ ยกตัวอย่างเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายทั้ง 17 ประการมิได้แปลกแยกกับความคิดและแนวทางปฏิบัติของมหาตมาคานธีเลย
ผมสามารถอธิบายรายละเอียดได้ว่าสิ่งเหล่านี้เข้ากันได้กับความคิดและแนวทางปฏิบัติของคานธีอย่างไร สิ่งที่สำคัญมากในวันนี้คือ เราไม่ควรมาที่นี่เพียงเพื่อรำลึกถึงวันอหิงสาสากล แล้วพอรายการจบ ก็ออกจาก UNESCAP ไป แล้วก็ใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่เคย
เราต้องทำให้มากกว่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจะบรรลุผลสำเร็จ เป้าหมายเหล่านี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับรัฐบาลของเราเท่านั้น และรัฐบาลของเราจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หากเราไม่พยายามช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ หากจะอธิบายไว้ในนิยามของมหาตมาคานธีก็คือ “จำเป็นต้องใช้การเปลี่ยนแปลงหัวใจ”
ทั้งหมดนี้ก็จะสอดคล้องกับประโยคสันสกฤต “วสุไธว กุฏุมฺพกมฺ” ซึ่งหมายความว่า “โลกทั้งผองพี่น้องกัน”
ใช่ครับ เราอยู่ในโลกใบเดียวกัน เราเป็นคนชาติไหนก็สำคัญ แต่เราต้องไม่ลืมตระหนักด้วยว่า เมื่อตอนเราเกิด เราก็เป็นคนกันทั้งนั้น และเมื่อเรามองจากนอกโลกเข้ามา เราอยู่ในโลกเดียวกัน
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ