เพลง Satguru Main Teri Patang
Satguru main teri patang
ข้าผู้น้อยคือว่าวของท่าน
Hawa vich ud di jawangi
ข้าผู้น้อยจะบินให้สูงขึ้นไปในอากาศ
Baba dor hathon chaddi na main katti jawangi
โปรดอย่าทิ้งเชือกเลย ไม่เช่นนั้นฉันจะถูกตัดขาด
เพลง Satguru Main Teri Patang
Satguru main teri patang
ข้าผู้น้อยคือว่าวของท่าน
Hawa vich ud di jawangi
ข้าผู้น้อยจะบินให้สูงขึ้นไปในอากาศ
Baba dor hathon chaddi na main katti jawangi
โปรดอย่าทิ้งเชือกเลย ไม่เช่นนั้นฉันจะถูกตัดขาด
หลายคนที่เคยเดินทางไปอินเดียโดยเฉพาะในพื้นที่นอกเมืองที่ห่างไกลความแออัด คงเคยมีความสุขจากการชมว่าวสีสันสดใสลอยอยู่บนท้องฟ้า ทั้งที่ตนไม่ได้เป็นผู้เล่นว่าวก็ตาม
ส่วนใหญ่ก็ประมาณเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิที่ท้องฟ้าของอินเดียหลายส่วนเต็มไปด้วยว่าวหลากสีสันทุกรูปทรงและขนาด
ปฏิเสธมิได้ว่า การเล่นว่าวซึ่งจะเรียกว่ากิจกรรมในยามว่างหรือกีฬาก็ได้นั้น ได้สูญเสียความนิยมในวงกว้างบ้าง
ทว่าในช่วงเทศกาล เช่น มกรสงกรานต์ (Makar Sankranti) หรือไวสาขี (Baisakhi) และวันประกาศอิสรภาพ เด็กและผู้ใหญ่ยังคงดื่มด่ำไปกับการเล่นว่าวด้วยความกระตือรือร้นและความหลงใหล
ต้นกำเนิดของว่าวยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ไม่น้อย
แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์บางแหล่งเสนอว่า ว่าวอาจมีต้นกำเนิดในเมลานีเซีย (Melanesia) ไมโครนีเซีย (Micronesia) และโพลินีเซีย (Polynesia) แต่ก็เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า การประดิษฐ์ว่าวน่าจะเกิดขึ้นครั้งแรกในจีน
ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าจีนน่าจะเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นก่อนใคร ก็เพราะเรื่องราวที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการเล่นว่าว นับได้ตั้งแต่ปี 206 ก่อนคริสตกาล ระบุว่าหานซิ่น (Han Hsin) ได้เล่นว่าวเพื่อเอาชนะกองทัพของหลิวปัง (Liu Pang)
แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เสนอว่าภายในปี 169 ก่อนคริสตกาล การเล่นว่าวเกิดขึ้นภายใต้ราชวงศ์ฮั่น ทหารในกำกับของนายพลหานซิ่นของจีนได้เล่นว่าวอยู่เหนือเมืองที่ถูกปิดล้อมเพื่อคำนวณระยะทางที่กองทัพของเขาจะต้องขุดอุโมงค์เพื่อไปให้ถึงใต้กำแพงเมือง
เมื่อวันเวลาผ่านไป มีการติดต่อกับวัฒนธรรมอื่น พร้อมกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ว่าวก็มาถึงอนุทวีปอินเดีย
มีงานทางประวัติศาสตร์เสนอด้วยว่า ว่าวน่าจะมาสู่อนุทวีปอินเดียกับผู้สอนศาสนาชาวพุทธจากตะวันออกผ่านเส้นทางสายไหม หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังดินแดนห่างไกล เช่น อาระเบีย ยุโรป
เรื่องราวที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับว่าวในวรรณคดีอินเดียโบราณสามารถพบได้ในบทกวีของ นามเทวะ (Namadeva) นักบุญและกวีชาวมราฐี (Marathi) ในศตวรรษที่ 13
ในบทกวีของเขา เขาเรียกมันว่าคุฑี (gudi) และกล่าวถึงว่าวว่าทำมาจากกระดาษ เรื่องราวที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับว่าวยังปรากฎในเพลงและบทกวีของกวีชาวมราฐีในศตวรรษที่ 16 เช่น ทโสปันต์ (Dasopant) และเอกนาถ (Eknatha) ซึ่งทั้งสองคนเรียกว่าวาวาดี (vavadi)
นอกจากกวีจากอินเดียฝั่งตะวันตกแล้ว ยังมีเรื่องราวที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับว่าวจากภูมิภาคอวัธ (Awadh) ปัจจุบันคืออินเดียฝั่งเหนือ หรือประมาณฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของมลรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) วรรณกรรมที่ว่านี้คือ Satasai หรือ Satsai หรือ Bihari Satsai กวีนิพนธ์ในต้นศตวรรษที่ 17 ประพันธ์โดยพิหารี (Bihari)
ประวัติศาสตร์การเล่นว่าวในอินเดียก็ซับซ้อนไม่น้อย เพราะมีคนเคลมด้วยว่าน่าจะเก่าแก่กว่าที่ผ่านมา ซึ่งเราทั้งสองก็ไม่แน่ใจว่าจะถูกต้องทั้งหมดหรือไม่
ที่แน่ชัดก็คือการเล่นว่าวในยุคสมัยจักรวรรดิโมกุลได้กลายมาเป็นกีฬาโดยเฉพาะสำหรับชนชั้นสูง ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้น การออกแบบยังได้รับการปรับปรุงให้เป็นไปตามกลศาสตร์ว่าด้วยการเคลื่อนไหวของอากาศ
ภาพวาดโมกุลและภาพย่อส่วนจากสมัยนั้นแสดงให้เห็นด้วยว่าทั้งชายและหญิงกำลังเล่นว่าวกันอยู่
เชื่อกันด้วยว่าเมื่อจักรพรรดิญะฮันกีร์ (Jahangir) จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โมกุล เสด็จกลับมายังเดลีหลังจากถูกเนรเทศไปอยู่ในเมืองอัลลาฮาบาด (Allahabad) ในปี ค.ศ. 1812 ชาวเมืองได้เล่นว่าวฉลองการกลับมาของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงการเล่นว่าวโดยกวีแถบลัคเนาว์ (Lucknow) ด้วย
แม้ว่าจักรวรรดิโมกุลจะเสื่อมถอยลงและสิ้นสุดไปในที่สุด ทว่าประเพณีการเล่นว่าวยังคงดำเนินต่อไป
เช่น เทศกาลมกรสังกรานติ (Makar Sankranti) ซึ่งจัดกันทั่วหน้า โดยเฉพาะในมลรัฐอุตตรประเทศ และมลรัฐคุชราต (Gujrat) ถ้าแถวปัญจาบ (Punjab) ตอนบน ก็เช่น เทศกาลพสันต์ปัญจมี (Basant Panchami) และไวสาขี (Baisakhi)
ในยุคสมัยอังกฤษครองอินเดีย แหล่งข้อมูลบางแหล่งเสนอว่า เมื่อมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการไซมอน (the Simon Commission) ผู้คนจากอนุทวีปอินเดียได้ออกมาประท้วงด้วยการเล่นว่าวกันจำนวนหลายร้อย โดยมีข้อความบนว่าวว่า “กลับไปเถอะ ไซมอน”
ทำให้สงสัยว่า บางทีการเชื่อมโยงระหว่างเสรีภาพกับการเล่นว่าวอาจเป็นจุดเริ่มต้นของประเพณีการเล่นว่าวเนื่องในวันที่ 15 สิงหาคม วันประกาศอิสรภาพ จะเห็นได้ตามหลังคาของสถานที่หลายแห่ง เช่น ชาห์ญะฮันนาบาด (Shahjahanabad) หรือ โอลด์เดลี (Old Delhi) ซึ่งทั้งเด็กและผู้ใหญ่เล่นว่าวกันอย่างกระตือรือร้น
ในหลายแห่ง เราจะได้ยินผู้ใหญ่หรือเด็กตะโกนด้วยความปลื้มปิติว่า “ฉันตัดว่าวได้แล้ว”
แถวมลรัฐคุชราตมีความเกี่ยวข้องกับการเล่นว่าวมาเป็นเวลานาน และเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ว่าวปาตัง (The Patang Kite Museum)
ออกแบบโดยภานุ ชาห์ (Bhanu Shah) นับเป็นขุมสมบัติของว่าวในประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีแผงว่าวและภาพวาดจำนวน 33 จุดที่ชาห์ได้รวบรวมมาจากสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงพิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ตในลอนดอน
พิพิธภัณฑ์ว่าวในคุชราตน่าจะเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ว่าวไม่กี่แห่งในโลก
ในปี 1989 เทศกาลว่าวนานาชาติเริ่มขึ้นโดยรัฐบาลของรัฐคุชราต และต้อนรับผู้ที่ชื่นชอบการเล่นว่าวมาเล่นว่าวและชมจุดเล็ก ๆ หลากสีสันหลายร้อยจุดบนท้องฟ้าสีฟ้าเป็นฉากหลัง
ปาตัง นี่คือว่าวอินเดียที่ใช้กันมากที่สุด ขอบของว่าวเสริมด้วยด้ายบางๆ ด้านข้างของว่าว และใบเรือก็ติดกาวด้วยกระดาษที่ทับซ้อนกัน หางโดยทั่วไปจะเป็นเนื้อเยื่อรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ โดยติดในลักษณะที่ขอบด้านล่างสอดคล้องกับระดับของใบเรือ
คุฑี (Guddi) ว่าวนี้เกือบได้รับความนิยมพอ ๆ กับปาตัง แต่ว่าวชนิดนี้จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้ว ว่าวกุดดีจะมีขนาดยาวมากกว่าความกว้าง นอกจากนี้ยังมีหางซึ่งโดยปกติจะเป็นพู่กระดาษทิชชู่เล็ก
เทธกันนี (DedhKanni) ว่าวชนิดนี้จะบินเมื่อมีลมน้อย และยังเป็นว่าวประเภทที่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ว่าวประเภทนี้กว้างกว่าปาตังทั่วไป นอกจากนี้ยังมีหางแบบปะสามเหลี่ยมติดอยู่ที่ด้านล่างของว่าวด้วย
ว่าวเหล่านี้มีให้เลือกแบบเดี่ยว/คู่/หลายสีตามตัวเลือกของนักเล่นว่าว ว่าวเหล่านี้มีลวดลายต่าง ๆ มากมาย เช่น ทาสี เย็บ และแปะ เพื่อให้เกิดความสร้างสรรค์และเพิ่มความสวยงามให้กับว่าว นักเล่นว่าวชาวอินเดียมักชอบบังเหียนสองจุดในการเล่นว่าว ราคาก็เริ่มตั้งแต่ 200 รูปี แพง ๆ ราคาหลักหมื่นก็มี
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ