การบริหารจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในอินเดีย
1,275 views
0
0

เพลง Indian Rivers
การเลือกเพลงมาเปิดในรายการแต่ละสัปดาห์นั้น บางครั้งเราในฐานะผู้จัดรายการก็รู้สึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ตัวอย่างเช่นเพลงในวันนี้ เป็นเพลงบรรเลงไวโอลินที่ไม่มีเนื้อร้องเลย บรรเลงโดยศิลปินดูโอ้ไวโอลินสองสาวพี่น้องผู้มีฝีมือน่าทึ่งทั้งคู่ นามว่า ราคินีและนันทินี ศังกร (Ragini & Nandini Shankar) ซึ่งใช้ชื่อดูโอ้ว่า ตะรานา (Taraana) เพลงนี้มีชื่อว่า “Indian Rivers” (แม่น้ำอินเดีย) ได้แรงบันดาลใจจากสายน้ำอันไหลรี่เรื่อยไปตามโขดหิน ลักษณะการบรรเลงในบางท่อนของเพลงจึงเป็นโน้ตสั้นกระชั้นแต่ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด และส่งต่อประสานกันระหว่างสองคนโดยไม่ขาดช่วง

สาเหตุที่เลือกเปิดเพลงนี้เพราะเรากำลังพูดถึงการบริหารจัดการน้ำของอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการอุปโภคบริโภคในครัวเรือน ในขณะเดียวกัน เราก็อยากแสดงให้เห็นด้วยว่า ดนตรีสไตล์คลาสสิกของอินเดียก็มีการใช้เครื่องดนตรีตะวันตกอย่างไวโอลินมาผสมผสาน ดังที่หลายปีก่อนเราก็เคยจัดการแสดงนาฏศิลป์กถักประกอบไวโอลินมาแล้วครั้งหนึ่ง

ที่มาของเรื่อง (นาที 5.25)

หัวข้อหลักในวันนี้ของเราเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำในอินเดีย ซึ่งได้รับการแนะนำจากแฟนรายการท่านหนึ่ง หวังว่าขณะนี้คงจะรับฟังอยู่ด้วย เป็นคำแนะนำที่ได้รับมาค่อนข้างนานมากแล้ว แต่ยังไม่ได้มีโอกาสหยิบยกมาทำจนกระทั่งวันนี้ เป็นความจริงแท้แน่นอนที่รายการของเราอยู่ได้เพราะอาศัยผู้ฟังทุกท่านกรุณาแนะนำและในบางกรณีก็ติชมเพื่อให้มีคุณภาพมากขึ้น เรารู้สึกดีใจที่แต่ละสิ่งที่เรานำเสนอออกไปมิใช่การสื่อสารทางเดียว

ขอชี้แจงก่อนว่าเนื้อหาหลักที่เราใช้ทำข้อมูลเกี่ยวกับรายการในวันนี้ มาจากเว็บไซต์รัฐบาลอินเดียประกอบกับบทความสองสามบทในเว็บไซต์ของ The World Bank Group ซึ่งเน้นทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรโลกมาตั้งแต่ปี 1947

สาเหตุที่เราต้องพึ่งพาข้อมูลจาก NGO ด้วยก็เพราะการบริหารจัดการน้ำไม่ใช่งานของรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลทำงานควบคู่กับ NGO โดยตลอด ทั้งนี้เพราะน้ำสะอาดเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และจำเป็นต้องใช้เงินและทรัพยากรบุคคลจำนวนมหาศาล ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมมือกันเท่าที่เป็นไปได้ หนึ่งในนั้นคือองค์กรชื่อ International Development Group หรือ IDA ซึ่งเป็นปีกหนึ่งของ The World Bank Group ได้พยายามให้เงินทุนสนับสนุนรัฐบาลอินเดียและผลักดันทั้งภาคองค์กรและเอกชนของอินเดียให้มีระบบจัดการน้ำที่ยั่งยืน

ปัญหาเรื่องน้ำสะอาดในอินเดีย

ปัญหาเรื่องน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภคเป็นหนึ่งในปัญหาที่อยู่คู่อินเดียมาอย่างยาวนาน

ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 ประมาณการกันว่า จำนวนผู้คนที่ยังคงมีปัญหาน้ำสะอาดไม่เพียงพอนั้นมีประมาณครึ่งประเทศ คือ 700 ล้านคน ในหมู่บ้านจำนวน 1.5 ล้านหมู่บ้าน

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 รัฐบาลอินเดียเริ่มปรับปรุงการจัดหาน้ำประปาในชนบท และในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ประเด็นนี้ได้รับการประกาศให้เป็นความสำคัญระดับชาติ

ด้วยเหตุนี้ ภายในปี ค.ศ. 2011 ร้อยละ 95 ของประชากรในชนบทของอินเดียจึงสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดหาน้ำได้อย่างน้อยก็บางรูปแบบ ทว่าในทางปฏิบัติ มีหลายระบบที่ไม่ทำงานแล้ว ขณะเดียวกันก็ยังมีหลายโครงการที่ดำเนินต่อเนื่อง

ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรน้ำในอินเดีย

ทุกปีเมื่อถึงฤดูร้อนในอินเดีย น้ำจะกลายเป็นสินค้าที่มีค่าพอ ๆ กับทองคำเลยทีเดียว จากตัวเลขทางสถิติ อินเดียมีประชากรร้อยละ 18 ของโลก แต่มีทรัพยากรน้ำคิดเป็นเพียงร้อยละ 4 ของโลกเท่านั้น ทำให้เป็นประเทศที่เผชิญภาวะตึงเครียดในเรื่องน้ำมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

ตามรายงานล่าสุดโดยนีติอาโยค (NITI Aayog) ซึ่งเป็นหน่วยงานคลังความคิดเชิงนโยบายของรัฐบาล ความท้าทายสำคัญมาจากการที่อินเดียต้องพึ่งพาฤดูมรสุมที่ไม่แน่นอนมากขึ้น ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มที่จะทำให้แรงกดดันต่อทรัพยากรน้ำรุนแรงขึ้น แม้ว่าความถี่และความรุนแรงของน้ำท่วมและความแห้งแล้งในประเทศจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

เสียงสะท้อนเกี่ยวกับปัญหาความขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคดังขึ้นจากชนบทอินเดียแทบทุกหมู่บ้าน

หลายคนต้องเดินเท้าเป็นระยะทางไกลหลายกิโลเมตรเพื่อจะไปตักน้ำจากบ่อ ซึ่งก็ไม่มีความสะอาดเพียงพอด้วยซ้ำ ทำให้ผู้คนล้มป่วยมากขึ้น ในบางหมู่บ้านอาจจะมีน้ำประปาจากก๊อกใช้แทนน้ำบ่อ ซึ่งแม้จะมีความสะอาดมากกว่าก็จริงอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะมีเพียงพอต่อความต้องการ

แม้แต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 ก็ยังมีบางหมู่บ้านที่ครอบครัวถึงประมาณ 20-30 ครอบครัวต้องอาศัยน้ำจากก๊อกเดียวกัน ซ้ำร้ายบางทีก็ไหลเฉพาะตอนกลางคืน นี่เป็นปัญหาที่อินเดียต้องประสบมาตลอดหลายทศวรรษ

มองปัญหาเรื่องน้ำ

จุดนี้ IDA ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยรัฐบาลแก้ปัญหาด้วย เพราะ IDA ตระหนักว่า ประเด็นสำคัญคือระบบได้รับการออกแบบและสร้างโดยหน่วยงานวิศวกรรมของรัฐโดยมีส่วนร่วมจากชุมชนท้องถิ่นน้อยมาก ผู้คนขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของ และละเลยการบำรุงรักษา

นอกจากนี้ด้วยความที่ผู้บริโภคจำนวนมากถือว่าน้ำเป็นสิทธิที่จะได้รับจากรัฐบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ระบบนี้เกิดความไม่ยั่งยืนทางการเงิน

ไม่เพียงแต่เท่านั้น จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นยังนำไปสู่ความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำลดลง และแหล่งน้ำหลายแห่งหดตัวหรือเหือดแห้งไปหมด

แก้ปัญหาเรื่องน้ำ

IDA จึงเข้ามาจัดวางโครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่มีชื่อแตกต่างหลากหลายตามแต่ละท้องถิ่น ลักษณะของโครงการเหล่านั้นแบ่งได้เป็น 4 ช่วงดังนี้

ช่วงแรก ระหว่างปี ค.ศ. 1991 - 1996 IDA พยายามถ่ายโอนความรับผิดชอบของโครงการประปาในชนบทจากสถาบันของรัฐไปยังชุมชนท้องถิ่น ชุมชนสามารถเลือกระบบที่ต้องการและยินดีจ่าย จากนั้นพวกเขาก็วางแผน จัดซื้อ สร้าง และจัดการระบบประปาของตนเอง นับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้องค์กรพัฒนาเอกชนและที่ปรึกษาภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนชุมชนในชนบท โครงการเหล่านี้นับเป็นโครงการรุ่นบุกเบิกของการปฏิรูปในภาคส่วนนี้

ช่วงที่สอง ในปี ค.ศ. 2000 โครงการต่าง ๆ มุ่งไปทางการรับประกันความยั่งยืนของระบบในระยะยาว ด้วยการเสริมสร้างความเป็นเจ้าของในท้องถิ่น ชุมชนและรัฐบาลท้องถิ่นจะต้องจ่ายส่วนหนึ่งของต้นทุนเป็นเงินสดหรือสิ่งตอบแทน และต้องชำระค่าใช้จ่ายการดำเนินการและบำรุงรักษา (O&M) เต็มจำนวน ให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวก และเน้นการกำหนดนโยบาย การติดตาม และการประเมินผล เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่การปกครองระดับหมู่บ้านต้องดูแลกิจกรรมขนาดใหญ่และซับซ้อน ความท้าทายก็คือการสร้างขีดความสามารถในทุกด้าน หน่วยงานภาครัฐก็เพิ่งเข้ามามีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกเช่นกัน

ช่วงที่สาม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 เป็นต้นมา โครงการต่าง ๆ ได้นำกรอบการทำงานทั่วไปมาใช้ในการวางแผน การนำไปปฏิบัติ ตลอดจนการติดตามและประเมินผลทั่วทั้งรัฐ โดยไม่คำนึงถึงแหล่งที่มาของเงินทุนหรือหน่วยงานที่ดำเนินการ มีการเชื่อมโยงอย่างสำคัญระหว่างคณะกรรมการสุขาภิบาลและน้ำในหมู่บ้าน รัฐบาลท้องถิ่น และหน่วยงานด้านเทคนิคของรัฐ เพื่อให้การสนับสนุนด้านเทคนิค การเงิน และการเมืองในระยะยาวสำหรับความพยายามระดับชุมชน

ช่วงที่สี่ คือเมื่อเร็ว ๆ นี้ โครงการได้นำแนวทางที่อิงผลลัพธ์มาใช้ โดยการเชื่อมโยงการจัดหาเงินทุนเข้ากับความสำเร็จของตัวชี้วัดหลัก และเสริมสร้างขีดความสามารถในการดำเนินการของรัฐบาลระดับมลรัฐ ขยายขนาดโมเดลการกระจายอำนาจในสี่มลรัฐที่มีรายได้น้อย ได้แก่ อัสสัม พิหาร ฌารขัณฑ์ และอุตตรประเทศ ผ่านโครงการระดับชาติ

ผลของโครงการ

ผลของความพยายามดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โครงการเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่าชุมชนมีความสามารถในการจัดการบริการประปาของตนได้อย่างแท้จริง หากรัฐบาลท้องถิ่นดำเนินการอำนวยความสะดวกบางประการ

และยังพิสูจน์ได้ว่า การจัดการระบบประปาของชุมชนช่วยลดต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และแม้แต่ชาวชนบทที่ยากจนก็ยังเต็มใจที่จะจ่ายค่าน้ำประปาที่ปลอดภัยและบริโภคได้อย่างมั่นใจ

ภายในปี ค.ศ. 2015 มลรัฐอุตตรขัณฑ์ มีการสร้างระบบจ่ายน้ำขึ้นเองในกว่า 8,000 ครัวเรือน ส่งผลดีต่อคนถึงกว่า 1 ล้าน 5 แสนคน แม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นเขา ชาวบ้านในชนบทก็ยังได้รับจ่ายน้ำตลอด 24 ชั่วโมงผ่านระบบท่อแรงโน้มถ่วงโดยไม่ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าเลย

มลรัฐเกรละ ซึ่งชุมชนเมืองมีอัตราการขยายตัวสูงมาก มีโครงการที่เรียกว่า ชลานิธิ 1 และ 2 (Jalanidhi I & II) ดำเนินการช่วงระหว่าง ค.ศ. 2000-2008 พัฒนาท่อส่งน้ำให้กว่าสองแสนครัวเรือนใน 13 อำเภอ ด้วยค่าใช้จ่ายที่แม้แต่ครอบครัวที่รายได้ต่ำสุดก็จ่ายได้สบาย ๆ

มลรัฐมหาราษฏระ ซึ่งมีพื้นที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยภูเขาหินมากมาย ก็มีโครงการที่ชื่อว่า ชลสวราชยะ 1 และ 2 (Jalswarajya I & II) ดำเนินการมาตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ. 2000 – 2017 ซึ่งระหว่างนี้ได้ช่วยเหลือครัวเรือนให้มีน้ำสะอาดกินดื่มและซักล้างได้มากกว่า 1 ล้าน 2 แสนครัวเรือน โดยที่กว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าวนั้นก็เป็นผู้มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนด้วย

ขณะเดียวกัน ตอนเหนือของมลรัฐกรรนาฏกะ ซึ่งมีฝนตกค่อนข้างน้อยมาก แต่มีประชากรอาศัยอยู่กว่า 15.5 ล้านคนซึ่งเท่ากับร้อยละ 40 ของประชากรมลรัฐ ก็มีการดำเนินโครงการชื่อว่า ชลนิรมล (Jal Nirmal) ในช่วงปี ค.ศ. 2002-2013 ปรับปรุงคุณภาพน้ำในการบริโภคให้แก่ประชากรถึงกว่า 7 ล้านคนในตอนเหนือของมลรัฐกรรนาฏกะ

อตัลภูชลโยชนะ โครงการจัดการน้ำบาดาลโดยโมดี

เราคงจะกล่าวถึง NGO แต่โดยลำพังไม่ได้ เพราะฝั่งรัฐบาลเองก็ผุดความคิดที่เป็นประโยชน์เช่นกัน อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ภายใต้การบริหารจัดการของนายกรัฐมนตรีโมดี โครงการพัฒนาต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย และหลาย ๆ โครงการเราก็เคยได้เล่าให้ทุกท่านฟังในรายการนี้แล้ว เช่นโครงการเกี่ยวกับความสะอาดที่ชื่อว่า สวัจฉภารัตอภิยาน (Swacch Bharat Abhiyan) และวันนี้เราจะเล่าถึงโครงการเกี่ยวกับน้ำบ้าง

อตัลภูชลโยชนะ (Atal Bhujal Yojana) คือชื่อของโครงการหนึ่งที่มุ่งแก้ไขปัญหาน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญ โดยอาศัยการบริหารจัดการน้ำบาดาล (น้ำใต้ดิน) ในเจ็ดมลรัฐของอินเดียดังต่อไปนี้คือ คุชราต หรยาณา กรรนาฏกะ มัธยประเทศ มหาราษฏระ ราชสถาน และอุตตรประเทศ

โมดีได้ดำริโครงการนี้ขึ้นในช่วง ค.ศ. 2017 โดยการหารือร่วมกับ World Bank และเริ่มดำเนินการในปลายปี ค.ศ. 2019 ในโอกาสครบรอบ 95 ปีชาตกาลของนายอตัล พิหารี วัชปายี (Atal Bihari Vajpayee) อดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง โมดีจึงเพิ่มคำว่า อตัล เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านวัชปายีด้วย ส่วนคำว่า ภูชล (Bhujal) นั้นมาจากศัพท์สองคำคือ ภู ที่แปลว่า ดิน และ ชล ที่แปลว่าน้ำ ก็แสดงชัดเจนว่าหมายถึงน้ำใต้ดินนั่นเอง

โครงการนี้เป็นโครงการจัดการน้ำบาดาลที่นำโดยชุมชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำเนินการโดยแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ

1. ระดับรัฐบาลกลาง (Central) ที่จะช่วยพัฒนาและเผยแพร่เทคโนโลยีและความรู้เพื่อการกระจายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และอนุรักษ์แหล่งน้ำอย่างยั่งยืน รวมทั้งป้องกันมลภาวะทางน้ำด้วย

2. ระดับมลรัฐ (State) หมายถึงองค์กรที่รับผิดชอบเกี่ยวกับน้ำในเจ็ดมลรัฐที่กล่าวถึงข้างต้น ซึ่งจะคอยตอบสนองนโยบายส่วนกลางและรายงานผลแก่รัฐบาลกลาง

3. ระดับอำเภอ (District) ซึ่งเป็นตัวกลางประสานระหว่างมลรัฐกับหน่วยย่อยคือหมู่บ้านที่เรียกว่า คราม (Gram)

4. ระดับครามปัญจายัต (Gram Panchayat) หรือคณะกรรมการบริหารหมู่บ้านจำนวน 8,220 แห่งในทั่วเจ็ดมลรัฐของอินเดีย ซึ่งเป็นตัวแสดงที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในโครงการนี้ เนื่องจากการบริหารจัดการและการอนุรักษ์น้ำบาดาลอยู่ในมือของบุคคลและชุมชนหลายร้อยล้านคน โครงการนี้จึงช่วยให้ชาวบ้านเข้าใจถึงความพร้อมในการใช้น้ำและรูปแบบการใช้น้ำ เพื่อให้พวกเขาสามารถจัดสรรงบประมาณการใช้น้ำได้ตามความเหมาะสม

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงโครงการอื่น ๆ ทั้งในดำริของภาครัฐบาลและเอกชนที่เกี่ยวข้องด้วยการบำบัดและหมุนเวียนน้ำเสีย การอนุรักษ์และทะนุบำรุงแหล่งน้ำสำคัญในอินเดีย อย่างเช่นแม่น้ำคงคาซึ่งเปรียบประดุจสายโลหิตของคนอินเดียทั้งประเทศ การเก็บกักน้ำและการผันน้ำเพื่อชลประทาน และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งมีความสำคัญต่ออินเดียอย่างมาก เพราะอินเดียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่พึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ