รัดยาร์ด คิปลิง นักเขียนอังกฤษผู้ถ่ายทอดฉากชีวิตบริติชอินเดีย
743 views
0
0

เพลง Jungle Jungle Baat Chali Hai
เป็นเพลงประกอบซีรีส์ภาพยนตร์การ์ตูนชุด “The Jungle Book: Mowgli’s Story” หรือที่คนไทยหลาย ๆ คนจดจำในชื่อ “เมาคลีลูกหมาป่า” ซึ่งเป็นนิทานที่เราอ่านสมัยเด็กในวิชาลูกเสือนั่นเอง สำหรับการ์ตูนชุดนี้ออกอากาศบนช่องดูรดัรชัน (Doordarshan) เมื่อปี ค.ศ. 1989 จำนวน 52 ตอน เสียงร้องในเพลงนี้เป็นเสียงร้องของเด็กทั้งหมด หนึ่งในนั้นคือผู้ร้องนำที่มีชื่อว่า อะโมล สาห์เดว (Amol Sahdev) ซึ่งขณะที่อัดเสียงนั้นอยู่ในวัย 9 ขวบ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ที่ร้องประสานเสียง น่าเสียดายที่ไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าชื่อเสียงเรียงไรบ้าง และโตขึ้นมายังเป็นนักร้องหรือไม่

เรื่องที่น่าสนใจคือหลังจากอัดเพลงดังกล่าว อะโมลกลายเป็นเด็กมีชื่อเสียงในโรงเรียน และออกไปแสดงตามสถานที่ต่าง ๆ กว่าร้อยครั้ง แต่หลังจากซีรีส์การ์ตูนจบลงเขาก็ไม่ได้สานต่อในฐานะนักร้อง ทำให้เขาไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ทว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง คือในปี ค.ศ. 2016 ที่ The Jungle Book กลายเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด โปรดิวเซอร์นามว่า กุลซาร์ (Gulzar) และ วิศาล ภารัทวาช (Vishal Bhardwaj) ได้หยิบยกกลับมาทำเป็นฉบับใหม่ ทำให้เพลงนี้มีชีวิตอีกครั้ง และหลายคนหวนระลึกถึงความทรงจำครั้งวัยเยาว์ ตอนนั้นเองที่ผู้คนจำนวนมากส่งเมลไปพูดคุยกับอะโมล สาห์เดว ซึ่งขณะนั้นอายุ 33 ปีและทำงานบริษัทที่นอยดา ทำให้เจ้าตัวเป็นที่รู้จักและชื่นชมขึ้นมาอีกครั้ง และปัจจุบันก็ได้ดำเนินอาชีพเป็นนักร้องเต็มตัว

รัดยาร์ด คิปลิง (Rudyard Kipling) (นาที 5.20)

เรื่องราวของเมาคลีลูกหมาป่าที่เรากล่าวถึงข้างต้น และเป็นความทรงจำวัยเด็กที่หลายคนคิดถึงนั้น ผู้ประพันธ์นิยายเล่มนี้มีชื่อว่า รัดยาร์ด คิปลิง (Rudyard Kipling) นักประพันธ์ชาวอังกฤษผู้โด่งดังและมีชื่อเสียงระดับรางวัลโนเบล และเป็นเจ้าของผลงานยอดเยี่ยมอีกหลายเล่ม

นอกจาก The Jungle Book ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดแล้ว ก็ยังมีเรื่อง Just So Stories และ Kim เป็นต้น ชีวิตของเขานับได้ว่ามีส่วนหนึ่งที่เกี่ยวพันลึกซึ้งกับอินเดียในสมัยบริติชราช

ชีวประวัติ

โจเซฟ รัดยาร์ด คิปลิง เกิดวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1865 เมืองบอมเบย์ บริติชอินเดีย

บิดาของเขา จอห์น ล็อควูด คิปลิง (John Lockwood Kipling) ทำงานเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนศิลปะจีจีภอย (Jeejeebhoy School of Art) คุณพ่อของรัดยาร์ดคิปลิงเคยทำงานเป็นศิลปินและสถาปนิก อันเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเดินทางไปอินเดียเพื่อศึกษาและสืบทอดศิลปะและรูปแบบสถาปัตยกรรมของอินเดีย จนในที่สุดก็ได้ทำงานเป็นภัณฑารักษ์ที่พิพิธภัณฑ์ละฮอร์ (Lahore Museum) ซึ่งรัดยาร์ดลูกชายของเขากล่าวถึงในบทแรกของนวนิยายเรื่อง “คิม” ด้วย

ส่วนคุณแม่ของคิปลิงคืออลิซ แมคโดนัลด์ (Alice Macdonald) ซึ่งมีความเชื่อมโยงทางศิลปะที่สำคัญในขบวนการพรีราฟาเอลในอังกฤษ เนื่องจากน้องสาวของเธอแต่งงานกับศิลปินชื่อดังเอ็ดเวิร์ด เบิร์น โจนส์ (Edward Burne-Jones) ครอบครัวของเขายังรวมถึง สแตนลีย์ บอลด์วิน ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแม่ของบอลด์วินเกี่ยวพันเป็นป้าของคิปลิงด้วย ความสัมพันธ์ทั้งทางศิลปะและทางการเมืองจะยังคงมีความสำคัญต่อคิปลิงตลอดชีวิตของเขา

เด็กน้อยคิปลิงถูกเลี้ยงดูมาในอินเดีย จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 6 ขวบ เขากับน้องสาวชื่อเบียทริซก็ถูกส่งไปประเทศอังกฤษเพื่อเริ่มการศึกษา สำหรับรัดยาร์ด คิปลิงแล้ว ประสบการณ์นี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำเลย และสร้างบาดแผลในใจให้เขาด้วยซ้ำ

เขากับน้องสาวอาศัยอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ที่ลอร์นลอดจ์ (Lorne Lodge) ใน เมืองเซาธ์ซี (Southsea) ซึ่งต่อมาพวกเขาเรียกว่า “บ้านแห่งความอ้างว้าง” (House of Desolation) พวกเขาใช้เวลาร่วมกันประมาณหกปีในหอพักที่ดูแลโดยภรรยาม่ายของกัปตันเรือผู้หนึ่ง ประสบการณ์เลวร้ายนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คิปลิงในเรื่องของเขาชื่อ Baa Baa Black Sheep ที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1888

ต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ United Services College ทางตอนเหนือของเดวอน นี่กลายเป็นประสบการณ์เลวร้ายอีกครั้งหนึ่งสำหรับเด็กชายผู้นี้ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนประจำราคาถูก คุณภาพการศึกษาค่อนข้างแย่ ซ้ำร้ายเด็กชายคิปลิงยังต้องเผชิญการกลั่นแกล้งเป็นประจำทุกวัน ความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเด็กของเขาสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดในวรรณกรรมที่เขาเขียนขึ้นในภายหลัง

ซึ่งมักบรรยายภาพความโหดร้ายและความรุนแรงเป็นประเด็นหลัก ตัวอย่างเช่น Stalky and Co ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1899 เป็นเรื่องราวของเด็กนักเรียนกลุ่มสามคน ตัวละครหลักชื่อบีเทิล (Beetle) ซึ่งมีบุคลิกถ่ายทอดมาจากตัวคิปลิงเอง เรื่องราวดำเนินไปบนฐานความรุนแรงและการแก้แค้น ซึ่งสะท้อนประสบการณ์วัยเด็กของคิปลิงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

ในปี ค.ศ. 1882 คิปลิงจึงได้หวนคืนไปยังอินเดีย ดินแดนที่เขาเคยใช้ชีวิตวัยเด็ก เพื่อทำงานนักข่าวเป็นเวลาเจ็ดปี ในช่วงเวลานี้คิปลิงจึงเริ่มกลับมามีความสุข เขาดื่มด่ำไปกับประสบการณ์ทางสังคมของแองโกล-อินเดียซึ่งมีความโดดเด่น ในขณะที่ยังคงหลงใหลสิ่งที่อินเดียนำเสนอแก่เขา ช่วงเวลาของเขาในบริติชอินเดียจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาผลิตวรรณกรรมร้อยแก้ว บทกวี และเรื่องสั้นที่หลากหลาย

ก้าวขึ้นสู่ฐานะกวีเอก

เมื่อเขากลับมาอยู่อังกฤษอีกครั้งในปี ค.ศ. 1889 คิปลิงก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เนื่องจากชื่อเสียงของเขาในฐานะกวีและนักเขียนเรื่องสั้นผู้ยิ่งใหญ่ได้แพร่สะพัด ในอีกสามปีต่อมา ผลงานของเขาที่ชื่อ “Barrack-Room Ballads” ได้รับการตีพิมพ์ ยิ่งทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ฐานะกวีเอกที่ผู้คนนับถือ

บทกวีหลายบทในชุดนี้เขียนจากมุมมองของทหารอังกฤษ ในบรรดาบทเหล่านี้ บทที่ชื่อ “กุงกาดีน” (Gunga Din) แต่งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1890 เป็นที่จดจำมากที่สุด

เรื่องราวย่อ ๆ เกี่ยวกับทหารอังกฤษผู้หนึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บในสมรภูมิ และได้รับการช่วยเหลือจากคนส่งน้ำชาวอินเดีย ซึ่งหลังจากนั้นคนส่งน้ำก็ถูกยิงเสียชีวิต บทกวีนี้บรรยายถึงความเสียใจของทหารผู้นี้ที่เคยปฏิบัติต่อกุงกาดีนอย่างย่ำแย่ และยอมรับว่ากุงกาดีนเป็นคนดีกว่า ในบรรทัดสุดท้ายของบทกวีนี้ซึ่งผู้คนจดจำติดปากที่สุด กล่าวว่า “You’re a better man than I am, Gunga Din.”

เมื่อชื่อเสียงของเขาในฐานะกวีผู้ยิ่งใหญ่ได้ทวีมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1892 เขาได้สมรสกับแคโรไลน์ บาเลสเทียร์ ซึ่งเป็นญาติกับเจ้าของสำนักพิมพ์และนักเขียนชาวอเมริกันที่เขาเคยร่วมงานด้วย ทั้งคู่ตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในอเมริกา โดยย้ายไปอยู่ที่รัฐเวอร์มอนต์ และให้กำเนิดลูกสาวสองคนที่นี่ ลูกสาวคนแรกชื่อ โจเซฟิน เกิดในปลายปี ค.ศ. 1892 ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันและตกแต่งด้วยตนเองอย่างเรียบง่าย และในกระท่อมน้อยนี่เอง ที่ผลงานสร้างสรรค์ที่โด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งของเขา “The Jungle Book” ได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งต่อมาก็ได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1894

The Jungle Book

เรียกได้ว่าเป็นผลงานมีชื่อเสียงที่สุดของเขาโดยไม่ต้องสงสัย หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือรวมนิทานที่เกี่ยวกับป่า และแต่ละเรื่องจบลงด้วยบทกวี

เรื่องที่คนรู้จักมากที่สุดในหนังสือชุดนี้ และเป็นตัวแทนของหนังสือชุดนี้เลยก็ว่าได้คือเรื่องราวของเมาคลี เด็กน้อยที่ถูกทอดทิ้งในป่าลึกของอินเดีย และได้รับการเลี้ยงดูโดยฝูงหมาป่า จนกระทั่งเขาเติบโตขึ้นอย่างกล้าหาญท่ามกลางผองเพื่อนที่เป็นสัตว์หลากหลาย อาทิเช่น หมีบาลู และเสือดำบากีร่า จนกระทั่งเขาได้พิชิตเสือโคร่งดุร้ายที่ชื่อเศรข่าน (Shere Khan) ดังที่หลาย ๆ คนก็คงจะเคยทราบจากการอ่านหนังสือหรือดูการ์ตูนหรือภาพยนตร์มาแล้ว เชื่อว่าฉากในเรื่องนี้คงจะเกิดอยู่ในป่าแถบเบงกอล เพราะเป็นถิ่นเสือโคร่ง

คิปลิงย้ายกลับมาอยู่อังกฤษ

อย่างไรก็ตาม คิปลิงไม่เคยตั้งรกรากอยู่ที่อเมริกาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ในปี ค.ศ. 1896 ปีเดียวกับที่ลูกสาวคนที่สองของเขาคือเอลซี คิปลิง ได้ถือกำเนิดขึ้น คิปลิงก็ได้ตัดสินใจย้ายกลับไปอังกฤษเพราะเขาเกิดมีปากเสียงกับครอบครัวภรรยาถึงขั้นแตกหัก และเขาถูกพี่ชายภรรยาขู่ทำร้ายร่างกาย แม้ว่าต่อมาพี่ชายภรรยาจะถูกจับกุมไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์กับครอบครัวฝั่งภรรยาก็ไม่อาจซ่อมแซมได้อีก ครอบครัวคิปลิงทั้งพ่อแม่ลูกจึงตัดสินใจหอบข้าวของกลับมาอยู่ที่เมืองดีวอน (Devon) ที่ประเทศอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1897 สามีภรรยาคิปลิงก็ให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า จอห์น

เมื่อกลับมาอยู่อังกฤษ คิปลิงก็สร้างสรรค์ผลงานบทกวีและนวนิยายต่อไปอีกหลายเรื่อง ในช่วงนี้ บทกวีของเขาที่สร้างข้อถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากก็มี เช่น

The White Man’s Burden (ภาระของคนขาว) ซึ่งเป็นบทกวีเสียดสีจักรวรรดินิยม ผลงานอีกเรื่องหนึ่งที่โด่งดังของคิปลิงได้แก่เรื่อง คิม (Kim) ซึ่งเป็นนิยายที่ลงติดต่อกันในนิตยสารสองฉบับของอังกฤษในช่วงปี ค.ศ. 1900-1901 และในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์รวมเล่ม

คิม (Kim) นิยายเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันดีมากในฐานะนิยายที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตผู้คน วัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนาอันหลากหลายของอินเดียได้อย่างมีสีสันและมีชีวิตชีวา ฉากของเรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างการเผชิญหน้าทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในเอเชียระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย
เรื่องย่อคือ “คิม” หรือ คิมบอลล์ โอฮารา ซึ่งเป็นลูกชายของทหารไอริช ผู้ซึ่งทั้งพ่อและแม่เสียชีวิตจากความยากจน ตัวของคิมจึงต้องดำรงชีวิตด้วยการขอทานในเมืองละฮอร์ บางครั้งเขาทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มะฮ์บูบ อะลี พ่อค้าม้าชาวปัชตูน ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ คิมหมกมุ่นอยู่กับวัฒนธรรมท้องถิ่นจนน้อยคนนักจะรู้ว่าเขาเป็นเด็กผิวขาว และในเวลาต่อมา คิมก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับลามะทิเบตผู้จะนำพาเขาไปสู่การเดินทางอันยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณ ซึ่งเราก็คงจะไม่นำมาเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียดมากนักในที่นี้ เพราะบางทีอาจจะมีท่านที่อยากไปอ่านด้วยตนเอง

ข่าวร้ายของครอบครัวคิปลิง

ในเวลาต่อมามีข่าวร้ายกับครอบครัวของคิปลิง ที่มาของเรื่องเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1899 ที่คิปลิงกับครอบครัวไปเยี่ยมเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ ตัวของเขาเองและลูกสาวคนโตคือโจเซฟินได้เป็นโรคนิวมอเนีย เมื่อกลับมาที่อังกฤษ โจเซฟินก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่คิปลิงมาก

พอเขาเริ่มสร่างจากความโศก เขาก็สร้างผลงานหนังสือเด็กชื่อ Just So Stories for Little Children ซึ่งบางเรื่องในเล่มนี้เป็นเรื่องที่มาจากการที่เขาเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกสาวของตนคือโจเซฟินได้ฟัง เมื่อครั้งที่เธอยังไม่เสียชีวิต ซึ่งเนื้อเรื่องก็มักจะกล่าวถึงที่มาของการที่สัตว์ต่าง ๆ ได้ลักษณะตามธรรมชาติของตนอย่างไร หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ใน ปี ค.ศ. 1902

คิปลิงได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

ในปี ค.ศ. 1907 เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในปีนั้นโดยชาร์ลส์ โอมาน ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ผู้ซึ่งระบุว่าคิปลิงเป็นผู้สมควรได้รับรางวัลอย่างยิ่ง

“เมื่อพิจารณาถึงพลังแห่งการสังเกต ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของจินตนาการ พลังของความคิด และความสามารถอันโดดเด่นในการบรรยาย ซึ่งบ่งบอกถึงพลังสร้างสรรค์ของนักเขียนชื่อดังระดับโลกรายนี้”

สำหรับรางวัลโนเบลนั้น ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1901 และคิปลิงเป็นผู้รับรางวัลคนแรกที่ได้รางวัลจากวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ในพิธีมอบรางวัลที่กรุงสตอกโฮล์มเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1907

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและหลังจากนั้นอีกประมาณ 2 ทศวรรษ คิปลิงก็อยู่ในอันดับนักเขียนอังกฤษที่ได้รับความนิยมที่สุด และยังสร้างผลงานต่าง ๆ ออกมาอีกหลายเรื่อง

เขายังสร้างสรรค์ผลงานต่อไปจนถึงต้นทศวรรษ 1930 แต่เป็นไปอย่างช้าๆ และประสบความสำเร็จน้อยกว่าเมื่อก่อน ในคืนวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1936 เขามีเลือดออกในลำไส้เล็ก และเข้ารับการผ่าตัด แต่เสียชีวิตที่โรงพยาบาลมิดเดิลเส็กซ์ (Middlesex) ในลอนดอนไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2479 ขณะอายุ 70 ปี ด้วยอาการแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น ร่างของคิปลิงถูกฝังอยู่ที่โบสถ์ฟิตซ์โรเวีย (Fitzrovia) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลมิดเดิลเส็กซ์ ฝากไว้แต่ผลงานที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนเท่าทุกวันนี้
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ