สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้ากับพระราชนิพนธ์แนวภารตคดี
2,187 views
0
0

เพลง "ร้อยใจเป็นมาลัยรัก"
ครั้งนี้เราเปิดเพลงให้ท่านฟังเกินกว่าสองนาที ซึ่งยาวกว่าปกติเล็กน้อย เพราะว่าไม่อาจจะหักใจตัดกลางท่อนเพลงที่ไพเราะเต็มไปด้วยวรรณศิลป์เช่นนี้ได้ มิฉะนั้นผู้ฟังคงจะพากันบ่นเสียดายที่อารมณ์กำลังต่อเนื่องต้องมาสะดุดกลางคัน และเพลงดังกล่าวเป็นเพลงพิเศษจริง ๆ ชื่อว่า “ร้อยใจเป็นมาลัยรัก” ประพันธ์ขึ้นโดยอาศัยบทกลอนจากพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ พระราชทานหม่อมเจ้าลักษมีลาวัณ เวอร์ชั่นที่เราเปิดให้ฟังมาจากการแสดงสด ณ หอแสดงดนตรี อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ใช้ชื่อคอนเสิร์ตว่า "ฟังดนตรีเถิดชื่นใจ" อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "ฟังดนตรีที่จุฬาฯ"

เสียงร้องอันไพเราะที่ท่านได้ฟังเมื่อสักครู่เป็นของ ครูสุรพัฒน์ โสภณวิมลรุจน์ คีตศิลปิน กลุ่มดุริยางค์สากล สำนักการสังคีต กรมศิลปากร เพื่อให้ผู้ฟังได้ซาบซึ้งกับวรรณศิลป์ จึงขอให้คุณณัฐอัญเชิญบทพระราชนิพนธ์ท่อนดังกล่าวมาอ่านอีกครั้ง

• ตลอดชาติมิขอคลาดเสน่ห์น้อง
ขอประคองเคียงคู่ผู้สมศักดิ์
ขอจุมพิตชิดอุรายุพาพักตร์
ขอจูบกอดยอดรักรื่นฤดี
• ขอเอนเอียงองค์แอบอยู่แนบข้าง
ขอเชยคางพิศพักตร์ลักษมี
ขอแนบเนื้อนิ่มนวลยอดยวนยี
ขอสดับวาทีที่จับใจ
• รักสมรย้อนคะนึงแสนซึ้งจิต
ที่คิดผิดมาแต่ก่อนถอนใจใหญ่
แม้นมิมัวหลงเลยเชยอื่นไป
ก็คงได้ชื่นอุรามานานวัน
• ต่อแต่นี้ขออย่ามีจิตสงสัย
ไม่ขอไกลโฉมตรูผู้จอมขวัญ
ขอเอารักผูกรักสมัครกัน
จนกระทั่งชีวันพี่บรรลัย ฯ

25 พฤศจิกายน วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า (นาที 6.40)

25 พฤศจิกายน วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า อันเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

ในฐานะชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันเป็นมหาวิทยาลัยที่พระองค์ทรงพระราชทานกำเนิด ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ และขออุทิศรายการปกิณกะอินเดียตอนนี้เพื่อกล่าวถึงผลงานพระราชนิพนธ์ของพระองค์อันเกี่ยวเนื่องด้วยภารตคดี ซึ่งมีอยู่มากมายหลายเรื่อง นับเป็นพระราชคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อวงการอินเดียศึกษาในไทย เป็นองค์ความรู้ให้ศึกษาต่อยอดจนตราบเท่าทุกวันนี้ ก่อนอื่นขออัญเชิญพระราชประวัติโดยย่อมาเสนอแก่ผู้ฟังก่อน อาศัยแหล่งที่มาจากเว็บไซต์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหลัก

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเป็นพระองค์ที่ 2 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประสูติ ณ วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 ตรงกับวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช 1242 (ร.ศ. 99) ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มุสิกนาม ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระชนนี 7 พระองค์ โดยที่พระองค์เองเป็นลำดับที่ 2 และลำดับที่ 7 ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อพระชนมายุ 12 พรรษา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ระหว่างนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ให้ทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารแทนเมื่อ พ.ศ. 2437 และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงศึกษาในประเทศอังกฤษต่อไป

ต่อมาในพ.ศ. 2440 ทรงเข้าศึกษาวิชาทหารในโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ และทรงเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ วิชาปืนเล็ก และวิชาทหารปืนใหญ่ภูเขา ทั้งยังได้ทรงเข้าประจำการในกองพันที่ 1 กรมทหารราบเบาเดอรัม อันเป็นการฝึกอบรมกองทหารเพื่อเตรียมไปราชการสงครามบัวร์ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จากนั้น ใน พ.ศ. 2442 ทรงเข้าศึกษา ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด วิชาที่ทรงศึกษาคือ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการปกครอง เนื่องจากพระองค์จะต้องทรงปกครองสยามประเทศต่อไปในอนาคต

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 ในพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453

ในระหว่างทรงครองราชสมบัติ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจสำคัญหลายเรื่อง เช่น ทรงส่งเสริมการศึกษาด้วยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยและตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา ทรงบำรุงการทหารทุกเหล่าทัพและจัดตั้งกองเสือป่าและลูกเสือ ทรงตราพระราชบัญญัติพระราชทานนามสกุล และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลมากมายหลายแห่ง ทรงทะนุบำรุงศาสนา ศิลปวัฒนธรรม การละคร การดนตรี และอื่น ๆ อีกมากมายสุดที่จะพรรณนาให้หมดในรายการวันนี้ได้

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มประชวรด้วยพระโรคลำไส้และพระโลหิตเป็นพิษเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2468 และเสด็จสวรรคตเมื่อเวลา 1.45 น. ของวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระชนมายุ 45 พรรษา รวมเวลาที่ทรงอยู่ในราชสมบัติ 15 ปี และทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า

พระราชสมัญญาสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้านี้นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะคำว่า "ธีร" มีความหมายว่านักปราชญ์

เมื่อพิจารณาจากพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในด้านต่าง ๆ ทั้งการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การทหาร วรรณกรรม และอื่น ๆ ย่อมกล่าวได้เต็มปากว่าทรงเป็นปราชญ์อย่างแท้จริง

รายการปกิณกะอินเดียขอหยิบยกมาเฉพาะแง่มุมทางวรรณกรรมซึ่งพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้หลายเรื่องอันเกี่ยวด้วยภารตคดี นับว่ามีนัยสำคัญยิ่งเพราะพระองค์ทรงเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการศึกษาวรรณกรรมอินเดียจากต้นตอ คือจากแหล่งที่ไม่ผ่านการปรับประยุกต์เนื้อเรื่องตามแบบไทย

สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้ากับพระราชนิพนธ์แนวภารตคดี

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใฝ่พระทัยในการประพันธ์มาแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงใช้เวลาว่างในแต่ละวันพระราชนิพนธ์บทละคร บทความ นิทาน และอื่นๆ ไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อคราวฉลองพระบรมราชสมภพครบ 100 ปี คณะกรรมการสำรวจและรวบรวมพระราชนิพนธ์ที่ทรงไว้ตลอดพระชนมชีพพบว่ามีจำนวนกว่า 1,200 เรื่อง และแม้เวลาจะล่วงมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจรวบรวมให้สมบูรณ์ได้

ความสนพระราชหฤทัยในวรรณกรรมอินเดียเกิดจากการที่พระองค์ได้ทรงอ่านและศึกษาวรรณคดีสันสกฤตมาจากต้นฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว แม้ว่าจะมิได้ทรงอ่านฉบับภาษาสันสกฤตโดยตรง แต่โดยส่วนใหญ่ก็ทรงศึกษาจากบรรดานักภารตวิทยาชาวตะวันตกที่น่าเชื่อถือเพียงพอ

ในกาลต่อมาจึงทรงพระราชนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ จากวรรณคดีสันสกฤตเหล่านี้ ทั้งในรูปแบบร้อยแก้วและร้อยกรอง ดังที่จะยกเรื่องสำคัญๆ มาเล่าให้ฟังพอสังเขปดังต่อไปนี้

ศกุนตลา

เป็นวรรณคดีสันสกฤตเรื่องแรกด้วยที่ทรงนำมาเผยแพร่ในภาษาไทย ทรงนำเนื้อหามาจากบทละครของกาลิทาส กวีเอกของอินเดีย ผู้ซึ่งนำต้นเรื่องมาจากมหาภารตะอีกทีหนึ่ง เป็นนิทานแทรกที่ชื่อว่า ศกุนตโลปาขยาณัม กาลิทาสนำมานิพนธ์เป็นบทละครนาฏกะให้ชื่อว่า อภิชญานศากุนตลัม

ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์แปลโดยอาศัยเทียบฉบับแปลภาษาอังกฤษของเซอร์วิลเลียม โจนส์ เทียบเคียงกับฉบับของเซอร์โมนิแยร์ วิลเลียมส์ ทว่าพระองค์ก็รับสั่งอย่างชัดเจนว่า “การแต่งบทลครเรื่องศกุนตลาเปนภาษาไทยนี้ ฃ้าพเจ้าตั้งรูปตามใจฃ้าพเจ้าเอง คือให้เหมาะแก่การจะเล่นเปนลครอย่างไทยได้ ไม่ได้ดำเนินตามแบบนาฏกะฉบับเดิม แต่หาได้คิดเพิ่มเติมข้อความอันใดลงไปโดยอำเภอใจนอกเรื่องไม่”

เนื้อหาของเรื่อง คือนิยายระหว่างนางศกุนตลา ธิดาของฤษีวิศวามิตร ผู้ได้พบรักกับท้าวทุษยันต์ กษัตริย์หัสตินาปุระ และได้รับพระราชทานแหวนไว้เป็นของหมั้นหมาย ต่อมานางศกุนตลาลืมต้อนรับฤษีทุรวาส จึงถูกฤษีสาปให้ถูกท้าวทุษยันต์หลงลืมนางบ้าง จนกว่าจะได้เห็นแหวนวงนี้ ซ้ำร้ายบังเอิญนางทำแหวนหล่นลงแม่น้ำแล้วถูกปลากลืนหายไป ซึ่งในกาลต่อมาจะพบแหวนอย่างไรและทั้งสองได้ครองรักกันอย่างไรนั้น ก็ขอให้ผู้ฟังไปติดตามอ่านเอง แต่ขอขยายความว่าบุตรของนางศกุนตลาที่เกิดกับทุษยันต์ มีนามว่าท้าวภรต (Bharata) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อดินแดนภารตะหรืออินเดียนี่เอง

พระราชนิพนธ์ความเรียงเรื่อง สาวิตรี

ทรงถอดจากคำแปลภาษาอังกฤษของนายประตาป จันทระรอยจากเรื่องเล่าแทรกในมหากาพย์มหาภารตะตอนที่ชื่อว่า ปติวรฺตามาหาตฺมยปรฺว

เป็นเรื่องราวของนางสาวิตรีบุตรีของท้าวอัศวบดี ผู้เป็นชายาของพระสัตยวาน ปมของเรื่องคือพระสัตยวานเกิดสิ้นอายุขัยถูกพระยมคร่าตัวไป นางสาวิตรีผู้ซึ่งเห็นพระยมมารับเอาวิญญาณพระสวามีไปได้ตามอ้อนวอนเจรจาขอคืน ซึ่งพระยมก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นแต่ในที่สุดก็ใจอ่อนต่อความภักดีของนาง ซึ่งวิธีที่นางใช้เจรจาขอสามีคืนจากพระยม ก็ขอให้ทุกท่านไปอ่านต่อเองเช่นกัน

เรื่องนี้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทละครร้องด้วยในภายหลัง

พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง พระนลคำหลวง

เป็นวรรณกรรมจากภาษาสันสกฤตเรื่องใหญ่ที่สุดของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นคำประพันธ์หลากชนิด ทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย ผสมผสานกัน รวมทั้งทรงแสดงต้นฉบับภาษาสันสกฤตเทียบไว้ตลอดทั้งเรื่อง

ที่มาของเรื่องนี้ คือนิทานแทรกในมหาภารตะที่ชื่อว่า นโลปาขยานัม โดยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงอาศัยต้นฉบับภาษาอังกฤษของเซอร์โมเนียร์ โมเนียร์ วิลเลียมส์ และทรงตรวจทานกับภาษาสันสกฤตเพื่อความถูกต้องสมบูรณ์ด้วย

เรื่องย่อ กล่าวถึงพระนลผู้เป็นกษัตริย์แห่งเมืองนิษัท มีมเหสีชื่อ ทมยันตี ต่อมาพระนลถูกผีร้ายชื่อว่า กลิ (Kali) เข้าสิง ทำให้แพ้พนันสกาจนหมดเนื้อหมดตัว เหลือเพียงผ้าผืนเดียวแบ่งกันห่มกับทมยันตีคนละครึ่งผืน และออกไปพเนจรในป่า ซ้ำร้ายในเวลาต่อมากลิผีร้ายก็กลั่นแกล้งจนทั้งสองต้องพลัดพรากกันอีก นางทมยันตีก็เฝ้าตามหาไม่ลดละด้วยความภักดี ส่วนว่าทั้งสองจะกลับมาครองรักกันอย่างไรนั้น ก็ขอให้ทุกท่านไปติดตามอ่านกันเอง (นับว่าวันนี้เราให้การบ้านผู้ฟังไปหลายเรื่อง)

พระราชนิพนธ์เรื่องสำคัญอื่นๆ

นอกจากสามเรื่องข้างต้นที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดในวงการวรรณกรรมไทย ยังมีพระราชนิพนธ์เรื่องสำคัญ ๆ อีก เช่น

เรื่อง ปรียทรรศิกา เป็นบทละครนาฏิกาพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าศรีหรรษวรรธนะ ในเรื่องนี้ พระองค์มิได้ปรับเปลี่ยนเป็นละครอย่างไทยเหมือนที่ทรงทำไว้แล้วกับศกุนตลา หรือแปลเอาใจความแล้วทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเป็นร้อยกรองเองอย่างที่ทรงทำในเรื่องพระนลคำหลวง หากแต่ทรงรักษารูปแบบดั้งเดิมของละครสันสกฤตไว้ทุกประการ คือมีทั้งส่วนที่เป็นร้อยกรองที่ทรงเรียบเรียงไว้ด้วยคณะฉันท์แบบเดียวกับต้นฉบับ และส่วนที่เป็นร้อยแก้วคือบทเจรจาทั่วไป ไม่เพียงเท่านั้น ยังทรงรักษารูปศัพท์ดั้งเดิมเวลาที่ตัวละครประกอบที่มีสถานะต่ำพูดเป็นภาษาปรากฤต ซึ่งสะท้อนลักษณะบทละครสันสกฤตอย่างแท้จริง ดังทรงกำหนดให้ตัวละครหญิงรับใช้พูดชื่อดอกเศผาลิกา (ดอกกรรณิการ์) ว่า “เศอาลิกา” ตัวตลก (วิทูษกะ) พูดชื่อดอกพกุล (พิกุล) ว่า พอุล เป็นอาทิ

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับรามเกียรติ์ หรือต้นฉบับดั้งเดิมเรียกว่า รามายณะ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้หลายเรื่อง ตั้งแต่ร้อยแก้วเรื่อง บ่อเกิดแห่งรามเกียรติ์ ซึ่งทรงแจกแจงที่มาของรามเกียรติ์ไทยโดยอาศัยต้นเค้าเรื่องจากมหากาพย์รามายณะของฤษีวาลมีกิไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงเกร็ดว่าด้วยรามายณะฉบับอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมี ลิลิตนารายน์สิบปาง ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นร่ายสลับโคลงดั้น เนื้อหากล่าวถึงอวตารทั้งสิบของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ดังที่เราเคยนำเสนอไว้ในอีกตอนหนึ่งก่อนหน้านี้

สำหรับการแสดงโขน ทรงพระราชนิพนธ์บทเบิกโรงดังต่อไปนี้คือ พระภะรตเบิกโรง มหาพลี พระคเณศร์เสียงา พิธีกุมภนียา และบทโขนตอนต่าง ๆ ดังนี้คือ ศูรปนขาหึง พระรามตามกวาง สีดาหาย ศุกะสารัณปลอมพล จองถนน โปรดสังเกตด้วยว่า ทรงใช้ชื่อตัวละครตามรามายณะฉบับเดิมเป็นหลัก ถ้าเทียบกับรามเกียรติ์ ศูรปนขาก็คือสำมะนักขา ส่วนศุกะสารัณก็คือสุกรสารนั่นเอง นอกจากนี้เรื่องสุดท้ายที่เราจะทิ้งเสียมิได้คือ มัทนะพาธา หรือตำนานรักดอกกุหลาบ บทละครพูดคำฉันท์ซึ่งไม่มีที่มาจากวรรณคดีสันสกฤตเรื่องใดเลย ทรงพระราชนิพนธ์เอาเองจากพระราชจินตนาการล้วน ๆ เพียงแต่อาศัยฉากของเรื่องเป็นอินเดียโบราณเท่านั้น

ยุคทองแห่งวรรณคดีสันสกฤต

กล่าวโดยสรุป ความนิยมภารตคดีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปลุกกระแสความนิยมวรรณคดีและภาษาสันสกฤตในหมู่กวีและชนชั้นนำในสยามประเทศสมัยนั้น เกิดการสร้างสรรค์วรรณคดีที่มีต้นเค้ามาจากภารตะอีกมากมาย

เช่น เสฐียรโกเศศ และ นาคะประทีป ได้แปล หิโตปเทศ และ กถาสริตสาคร กรมหมื่นพิทยาลงกรณ (น.ม.ส.) ทรงพระราชนิพนธ์ พระนลคำฉันท์ กนกนคร และ นิทานเวตาล พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ์) แต่งเรื่อง อิลราชคำฉันท์ เป็นต้น

ทุกเรื่องที่กล่าวมาล้วนแต่เป็นวรรณคดีสำคัญของไทย จึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า สมัยรัชกาลที่ ๖ คือยุคทองแห่งการย้อนเยือนวรรณคดีสันสกฤตอย่างแท้จริง และเป็นรากฐานแห่งภารตวิทยาในสมัยต่อมาตราบเท่าปัจจุบัน
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ