คิสซินเจอร์กับอินเดีย
481 views
0
0

ตัวอย่างภาพยนตร์ Emergency
เป็นภาพยนตร์ที่จะฉายต้นปี 2024 นี่คือภาพยนตร์เกี่ยวกับอินทิรา คานธี ที่ท่านผู้ฟังได้ฟังไปคือมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าหน้าที่อินเดียเป็นผู้รับสาย หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ เจ้าหน้าที่คนนี้ก็เดินไปถามนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี ว่า “มิสเตอร์คิสซินเจอร์ใคร่ทราบว่าถ้าประธานาธิบดีนิกสันคุยโทรศัพท์กับท่าน ท่านนิกสันสามารถใช้สรรพนามเรียกท่านว่ามาดามได้ไหมครับ” อินทิรา คานธีก็ตอบว่า “ได้” เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า “ครับ” ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังจะหันหลังเดินกลับ อินทิรา คานธีก็บอกว่า “เดี๋ยวนะ บอกประธานาธิบดีอเมริกาว่า ในสำนักงานข้าพเจ้า ทุกคนเรียกข้าพเจ้าว่าเซอร์ ไม่ใช่ มาดาม”

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยกังคนา ราณาวัต (Kangana Ranaut) ซึ่งเธอแสดงเป็นอินทิรา คานธีในภาพยนตร์ด้วย มีดาราอีกหลายคน ที่ดังมากๆ อีกชื่อหนึ่งก็คืออนุปัม เคร์ (Anupam Kher)

เฮนรี คิสซินเจอร์ (Henry Kissinger) (นาที 4.35)

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2023 เฮนรี คิสซินเจอร์ (Henry Kissinger) อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ถึงแก่กรรมด้วยสิริอายุ 100 ปี

ภายหลังมรณกรรมก็มีข้อเขียนถึงคิสซิงเจอร์ออกมาหลายบท บรรดานักคิดนักเขียนพรรณนาถึงเขาในหลายแง่ บางคนชื่นชมเต็มที่ บางคนก็โจมตีเต็มเหยียดเช่นกัน ขณะที่บางคนก็เขียนเป็นกลางให้ข้อมูลและความรู้ทั้งข้อดีและข้อเสียเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาในสมัยของเขา แต่ละแง่ที่แต่ละคนเขียนถึงคิสซินเจอร์ก็น่าจะสะท้อนมุมมองของตนที่มีต่อการเมืองโลกทั้งในปัจจุบันและอดีต

จำต้องทราบด้วยว่าคิสซินเจอร์เป็นบุคคลที่มีผู้เขียนถึงมากมายอยู่แล้วทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายตั้งแต่เขายังมีชีวิตอยู่ วรรณกรรมมากมายเกี่ยวกับคิสซินเจอร์หาอ่านได้จากในหลายแหล่ง

ในฐานะที่รายการของเราเน้นเรื่องอินเดีย วันนี้เราจะเลือกแง่มุมของคิสซินเจอร์ที่เกี่ยวกับอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่ทราบดีกันอยู่แล้วว่าคิสซินเจอร์คือหนึ่งในตัวแสดงสำคัญที่สุดในช่วงสงครามเย็น ในสมัยที่อินเดียเองก็มีนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กชื่อว่า อินทิรา คานธี

ชีวประวัติ

เฮนรี คิสซินเจอร์ เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ณ เมืองเฟือร์ท (Fürth) ประเทศเยอรมนี ครอบครัวของเขาอพยพมายังสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1938 เพื่อหลบหนีจากการสังหารหมู่ชาวยิวในเยอรมนีโดยพรรคนาซี จากนั้นจึงได้สัญชาติพลเมืองสหรัฐฯ

ปี ค.ศ. 1943 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง คิสซินเจอร์ได้เข้าเป็นทหารในกองทัพบกสหรัฐฯ และภายหลังสงครามเข้าก็ยังคงทำราชการทหารอยู่ในกองทัพสหรัฐฯ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปกครองเยอรมนีด้วย

หลังปลดประจำการแล้วเขาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (Harvard University) ได้รับปริญญาบัณฑิตใน ค.ศ. 1950 และปริญญาดุษฎีบัณฑิตในปี ค.ศ. 1954 ในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้เข้าทำงานเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง จนได้เลื่อนเป็นศาสตราจารย์ภาควิชาการปกครองในปี ค.ศ. 1962 รวมถึงผู้อำนวยการหลักสูตรป้องกันประเทศ จากปี ค.ศ. 1959 – 1969

เขายังเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงในหน่วยงานสหรัฐฯ หลายแห่งภายในช่วงปี ค.ศ. 1955-1968 ซึ่งกินเวลาภายในสมัยการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีสามคน คือ ไดวท์ ดี. ไอเซนเฮาร์ (Dwight D. Eisenhower) จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) และ ลินเดิน บี. จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson)

[ในฐานะที่อาจารย์สุรัตน์เป็นผู้เชี่ยวชาญความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รายการวันนี้คงต้องรบกวนอาจารย์เป็นผู้พูดหลัก]

ทำไมใคร ๆ ถึงเขียนเกี่ยวกับคิสซินเจอร์มากมายนัก ทั้งสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่และจากไปแล้ว

จากที่ผมประมวลได้ เหตุผลมีอย่างน้อยสองข้อ

ข้อแรก อาจเป็นเพราะคิสซินเจอร์เป็นคนแรกที่ดำรงตำแหน่งทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และได้กำหนดนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคงของสหรัฐฯ ในช่วงสำคัญของสงครามเย็น

ข้อที่สอง อาจเป็นเพราะการดำเนินนโยบายการต่างประเทศโดยเฉพาะในสมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) โลกได้เห็นมหาอำนาจสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศและความมั่นคงแบบคิสซินเจอร์ที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและหยาบกระด้างนับตั้งแต่สงครามเย็นบังเกิดขึ้น จะเรียกการดำเนินนโยบายนี้ว่าเรียลลิสม์ (Realism) แบบคิสซินเจอร์ก็คงไม่ผิด

ขยายความเพิ่มเติมคือ คิสซินเจอร์ให้ความสำคัญเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจ ความท้าทายที่จะสร้างระเบียบที่มีเสถียรภาพในโลกที่ปราศจากรัฐบาลโลก และการปะทะกันของผลประโยชน์ที่แข่งขันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในโลกของคิสซินเจอร์ มนุษยธรรมหรือสิทธิมนุษยชนหาได้มีความสำคัญเหนือกว่าผลประโยชน์แห่งชาติ

อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างประกอบที่สะท้อนให้เห็นประเด็นที่ว่านี้ได้ไหม

ตัวอย่างเรื่องที่คิสซินเจอร์ได้รับคำชื่นชมไม่น้อยเลย เช่น

(1) “การทูตแบบเดินสายเจรจา” (shuttle diplomacy) ของคิสซินเจอร์ คือต้องเดินทางไปเจรจากับบรรดาประเทศอาหรับให้ยุติการคว่ำบาตรน้ำมันต่อสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ เข้าไปหนุนอิสราเอลหลังจากอียิปต์และซีเรียโจมตีอิสราเอลอย่างไม่คาดคิด ในที่สุดความเพียรพยายามของคิสซินเจอร์ก็มีส่วนทำให้องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC – โอเปก) ตัดสินใจยกเลิกการคว่ำบาตรดังกล่าว

(2) การหยั่งอิทธิพลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองในบางประเทศ เช่น ชิลี (Chile) แองโกลา (Angola) เป็นต้น

(3) การผ่อนคลายความตึงเครียด ตามด้วยสนธิสัญญาอาวุธกับสหภาพโซเวียต

(4) การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่างล้วนได้รับความชื่นชมจากผู้คนที่มองว่าการจัดการระเบียบโลกของสหรัฐฯ มีลำดับความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

แต่ในความเป็นจริง ใช่ว่าทุกคนจะยึดหลักดังกล่าวเหนือสิ่งอื่นใด ฉะนั้นหลายคนจึงประณามการกระทำของคิสซินเจอร์ในหลายประเด็น เช่น

คริสโตเฟอร์ ฮิตเชนส์ (Christopher Hitchens) ผู้เขียนหนังสือ The Trial of Henry Kissinger (ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2001) เคยเสนอว่า คิสซินเจอร์เจ้าของรางวัลโนเบิลสาขาสันติภาพปี ค.ศ. 1973 ควรนับเป็นอาชญากรสงครามเสียมากกว่า หนังสือเล่มนี้มองว่าความโหดร้ายที่คิสซินเจอร์ได้กระทำไว้ไม่ว่าจะในอินโดจีน บังคลาเทศ ชิลี ไซปรัส ติมอร์ตะวันออก หรืออื่นๆ ล้วนแต่เป็นการกระทำเยี่ยงอาชญากรสงคราม

ขอกล่าวถึงประเด็นคิสซิงเจอร์กับอินเดียโดยเฉพาะ

เรื่องมีอยู่ว่าคิสซินเจอร์ต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งความสัมพันธ์นี้เคยสิ้นสุดลงเมื่อเหมา เจ๋อตง (Mao Zedong) ในนามของคอมมิวนิสต์ยึดจีนแผ่นดินใหญ่สำเร็จในปี ค.ศ. 1949

เหตุที่เขาประสงค์จะฟื้นฟูความสัมพันธ์นี้ก็เพราะสงครามในเวียดนามรุนแรงขึ้น สหรัฐฯ จึงมองหาวิธีปรับปรุงความสัมพันธ์กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในเอเชีย โดยหวังว่านโยบายดังกล่าวอาจช่วยลดความขัดแย้งในอนาคต บั่นทอนความเป็นพันธมิตรระหว่างประเทศคอมมิวนิสต์ โดดเดี่ยวเวียดนามเหนือทางการทูต และเพิ่มอำนาจของสหรัฐฯ ในการต่อต้านโซเวียต

ในฝั่งจีนความตึงเครียดระหว่างจีนกับโซเวียตก็มีส่วนทำให้ผู้นำจีนปรารถนาที่จะสร้างสายสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ขึ้นมาใหม่

บุคคลที่สหรัฐฯ เลือกใช้เพื่อประสานความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนคือ ยะห์ยา ข่าน (Yahya Khan) ผู้นำประเทศปากีสถานตะวันตกในเวลานั้น แท้จริงแล้วสหรัฐฯ ได้สำรวจหนทางต่างๆ มาแล้วหลายหนทางเพื่อติดต่อกับจีน แต่หนทางที่ได้ผลดีคือผ่านทางปากีสถานนั่นเอง

แล้วความกังวลใจของอินเดียอยู่ที่ตรงไหน

เพราะทั้งจีนทั้งปากีสถานล้วนเป็นคู่อริของอินเดีย อีกทั้งเคยทำสงครามกับอินเดียมาแล้วทั้งคู่ ในสายตาของอินเดีย สหรัฐฯ ก็กำลังเข้ามาร่วมวงตรงนี้ด้วย

อีกส่วนหนึ่งมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวปากีสถานตะวันออก (บังคลาเทศในปัจจุบัน) ต้องหนีเข้าไปลี้ภัยในอินเดียมากถึง 10 ล้านคน มูลเหตุมาจากข่านในฐานะผู้ประสานให้คิสซินเจอร์ได้พบปะกับโจว เอินไหล (Zhou Enlai) ได้รับการตอบแทนจากสหรัฐฯ คือสหรัฐฯ นอกจากจะยกเลิกการคว่ำบาตรทางอาวุธต่อปากีสถานตะวันตกแล้ว ยังสนับสนุนหรือเอาหูไปนาตาไปไร่เมื่อข่านปราบปรามชาวปากีสถานตะวันออกอย่างหนัก

สหรัฐฯ ถึงกับเพิกเฉยต่อรายงานที่เจ้าหน้าที่ของตนเขียนพรรณนาความโหดร้ายที่หน่วยงานความมั่นคงปากีสถานตะวันตกกระทำต่อชาวปากีสถานตะวันออก อินทิราจึงจำเป็นต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ว่า ชาวปากีสถานตะวันออกกำลังเผชิญวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุด และอินเดียจำต้องแบกรับภาระที่จะต้องเลี้ยงดูชาวปากีสถานตะวันออกจำนวนมาก

อินทิราตัดสินใจทำอย่างไรกับเรื่องนี้

อินทิราตัดสินใจดึงโซเวียตเข้ามาเป็นพันธมิตร ลงนามใน “สนธิสัญญาสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ” กับโซเวียตในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1971 ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นหลักประกันว่าโซเวียตจะคอยช่วยเหลืออินเดียหากจีนหรือสหรัฐฯ คิดโจมตีอินเดีย

พร้อมกันนี้เธอก็อนุญาตให้อวามีลีก (Awami League) แห่งปากีสถานตะวันออกที่ประสงค์จะปลดแอกตนจากปากีสถานตะวันตกจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในกัลกัตตา (โกลกาตา) ให้จัดตั้งกองกำลังมุกติบาหินี (Mukti Bahini) โดยมีทหารอินเดียคอยให้ความช่วยเหลือด้วย

อินทิราเยือนสหรัฐฯ

ต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1971 อินทิราได้เยือนสหรัฐฯ เพื่อหารือกับนิกสัน คู่ปรับของอินเดียในสถานการณ์นี้

การเยือนครั้งนี้ เธอได้วิงวอนต่อชาวอเมริกันเรื่องปากีสถานตะวันออก และแล้วสภาคองเกรสสหรัฐฯ ก็ได้รีบจัดหางบช่วยเหลือผู้ลี้ภัยนี้บ้าง

ทว่าเธอทราบดีว่า สหรัฐฯ คงดำเนินตามผลประโยชน์ของตน และย่อมไม่มีวันที่จะประณามการกระทำของปากีสถานตะวันตกในปากีสถานตะวันออกอย่างแน่นอน

อินทิราต้องการให้เป็นเรื่องภายในของภูมิภาคเอเชียใต้

3 ธันวาคม ค.ศ. 1971 ภาวะตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานตะวันตกเริ่มหนักขึ้น วันถัดมาอินทิราประกาศสงครามกับปากีสถานตะวันตก

ทหารอินเดียใช้เวลาเพียง 12 วันบุกยึดกรุงธากา กองกำลังทหารปากีสถานตะวันตกมากกว่า 9 หมื่นนายยอมจำนน อินทิรารีบประกาศหยุดยิงทันที เพื่อให้ประชาคมโลกเห็นว่าการใช้กำลังของอินเดียเป็นไปเพียงเพื่อความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย เพราะอินเดียจำต้องปกป้องตนเองจากการเข้ามาของผู้ลี้ภัยชาวปากีสถานตะวันออก ซึ่งนำมาสู่ภาวะตึงเครียดทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมาก

การใช้เหตุผลเช่นนี้ย่อมหมายความด้วยว่า อินทิราต้องการให้วิกฤตการณ์นี้เป็นเรื่องภายในของภูมิภาคเอเชียใต้ แต่หากจีนกับสหรัฐฯ คิดโจมตีอินเดีย เธอก็มีโซเวียตคอยหนุนหลังอยู่ และแล้วทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่อินทิราวางไว้ ทั้งจีนกับสหรัฐฯ ก็หาได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

สหรัฐฯ นำโดยนิกสันและคิสซินเจอร์คิดอย่างไรกับอินทิรา

เอกสารลับซึ่งเปิดเผยภายหลังระบุว่า ในระหว่างการประชุมกลางปี ค.ศ. 1971 นิกสันและคิสซินเจอร์วิพากษ์วิจารณ์อินเดียโดยตราหน้าชาวอินเดียว่าเป็นคนที่ “จืดชืดมากที่สุด” และ “น่าสมเพช” และผู้หญิงอินเดียเป็น “ผู้หญิงที่ไร้เสน่ห์ที่สุดในโลก”

หนึ่งเดือนก่อนการแทรกแซงของอินเดียในปากีสถานตะวันออกเมื่ออินทิราได้พบกับคิสซินเจอร์และนิกสัน หลังการประชุมทั้งสองเรียกอินทิราว่าเป็น “นังแรด” (bitch) โดยคิสซินเจอร์กล่าวหาอินทิราว่า เป็นผู้ “เริ่มสงคราม” และเรียกชาวอินเดียว่า “พวกสารเลว” (bastards) และ “ผู้คนที่ก้าวร้าวที่สุด”

แท้จริงแล้วคำพูดที่เลวร้ายของคิสซินเจอร์ต่ออินเดียยังมีอีก แต่ที่นำมาเล่าให้ฟังก็น่าจะสะท้อนให้เห็นวาจาเสื่อมเสียของคิสซินเจอร์ต่ออินเดีย และสะท้อนอย่างชัดแจ้งด้วยว่า ทั้งนิกสันและคิสซินเจอร์รู้สึกโกรธแค้นกับอินเดียมาก กล่าวอย่างเรียบง่ายเลย เธอไม่ทำตามสหรัฐฯ เธอยืนกรานที่จะดำเนินตามผลประโยชน์แห่งชาติของอินเดีย

ภายหลังความคิดและท่าทีของคิสซินเจอร์ต่ออินเดียเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่

คงต้องเรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปเป็นลำดับ หลังจากที่อินเดียทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในปี ค.ศ. 1974 คิสซินเจอร์ก็เลือกใช้แนวทางเชิงปฏิบัติ ปฏิเสธข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศที่ให้แถลงการณ์เชิงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง กล่าวคือ คิสซินเจอร์ต้องการหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่ออินเดีย และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอินเดียซับซ้อนยิ่งขึ้น

ในช่วงทศวรรษ 2000 คิสซินเจอร์ได้แสดงความรู้สึกเสียใจต่อวาจาเสื่อมเสียดังกล่าว พร้อมกับชื่นชมอินทิรา และชวนให้พิจารณาว่าบทสนทนาดังกล่าวนอกจากจะไม่ใช่บทสนทนาอย่างเป็นทางการแล้ว จำต้องมองบริบทด้วยว่าสหรัฐฯ และอินเดียมีจุดประสงค์ต่างกัน

ใจความตอนหนึ่งที่คิสซินเจอร์ได้กล่าวไว้ในภายหลังระบุว่า “ผมเสียใจที่ใช้คำเหล่านี้ ผมเคารพนับถือนาง[อินทิรา]คานธีในฐานะรัฐบุรุษเป็นอย่างสูง... ความจริง[คือ]เรามีเป้าหมายที่แตกต่างกันในเวลานั้น... เธอเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ผู้ทำสิ่งอันยิ่งใหญ่เพื่อประเทศของเธอ”

ภายหลังสงครามเย็น มุมมองของคิสซินเจอร์เกี่ยวกับอินเดียก็เปลี่ยนไปในเชิงบวกอย่างเห็นได้ชัด คิสซินเจอร์สนับสนุนสหรัฐฯ ให้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับอินเดีย

ในปี ค.ศ. 2008 เขากล่าวว่า “อินเดียมีเป้าหมายคู่ขนานกับสหรัฐฯ” และในปี ค.ศ. 2018 คิสซินเจอร์กล่าวด้วยว่า “เมื่อผมนึกถึงอินเดีย ผมชื่นชมยุทธศาสตร์ของเขา” ในประเด็นนี้ คิสซินเจอร์กล่าวไว้ว่า “อินเดียจะเป็นแกนกลางของระเบียบแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ อิงอยู่กับภูมิศาสตร์ ทรัพยากร และขนบของการเป็นผู้นำที่เจนโลก ในสมการทางยุทธศาสตร์และอุดมการณ์ของภูมิภาค และของระเบียบโลกที่ปฏิสัมพันธ์กัน”

กล่าวกันด้วยว่า ในช่วงไม่กี่ปีหลังนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดีย คิสซินเจอร์ได้กลายเป็น “แฟนตัวยง” ของโมดีด้วยซ้ำไป และในปี 2023 เมื่อโมดีเดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ คิสซินเจอร์ก็ได้เดินทางไปวอชิงตันเพื่อพบปะและฟังคำปราศรัยของโมดีด้วย

ทุกวันนี้ความคิดของคนอินเดียต่อคิสซินเจอร์เป็นไปในทางใด

ไม่รู้ว่าอินเดียจะจดจำคิสซินเจอร์อย่างไร อินเดียไม่น่าจะจดจำเขาในทางที่ดีนัก ในเมื่อนโยบายของคิสซินเจอร์เป็นภยันตรายต่ออินเดียในแง่ที่ว่าทำให้ความสัมพันธ์จีน–ปากีสถานแน่นแฟ้นขึ้น และตราบจนทุกวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศก็ยังเป็นภัยคุกคามหลักของอินเดียอยู่

เรียนรู้จากคิสซิงเจอร์

ทว่าครั้นเมื่อมีโอกาสได้สนทนากับอดีตนักการทูตอินเดียทั้งหมด 3 คน กลับพบว่าทั้งสามไม่ประสงค์จะจดจำคิสซินเจอร์ในทางลบแต่อย่างเดียว

จึงเห็นว่าควรอย่างยิ่งที่จะนำคำพูดของอดีตนักการทูตหนึ่งในสามมาปิดท้ายรายการ

“ที่คิสซินเจอร์เคยพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับอินเดีย จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องแปลก ก็เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงรอยกัน ย่อมไม่แปลกที่คิสซินเจอร์สบถด่าอินเดีย อินเดียก็คงสบถด่าสหรัฐฯ ไม่น้อย ที่อินเดียคงไม่มีใครบันทึกไว้

สำหรับผมเมื่อผลประโยชน์ไม่ตรงกัน มันคือที่มาของความขัดแย้ง ทุกคนต่างดำเนินหน้าที่ตามบทบาทของตน ส่วนตัวผมแล้ว คิสซินเจอร์แม้จะไม่เอื้อต่ออินเดียในสมัยของเขา แต่เขาก็คือครูคนหนึ่ง ครูที่ทำให้เราเห็นว่า การทูตนั้นสามารถทำอะไรได้มากมาย

เวลาเราเรียนรู้ เราไม่จำเป็นต้องทำเหมือนคิสซินเจอร์ทั้งหมด เพราะอินเดียไม่ใช่สหรัฐฯ และสหรัฐฯ ก็ไม่ใช่อินเดีย ทุกเรื่องราวมีบริบทด้วย โลกในวันนี้ก็มิได้มีโครงสร้างเหมือนวันวาน ผมจะไม่มีวันจดจำเฮนรี คิสซินเจอร์ ในทางลบทางเดียว”
.
รายการปกิณกะอินเดีย วันเสาร์ 10.30 น. Chula Radio Plus
รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และ ศูนย์อินเดียศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ณัฐ วัชรคิรินทร์ นักวิชาการอิสระ